หรงเซวียนเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่งด้วยสายตาเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มเอ่ย “น้องสี่ไม่ต้องกังวลไปหรอก มาถึงตอนนี้แล้ว…ก็ต้องเป็นไปตามที่เสด็จพ่อตรัสอยู่แล้วมิใช่หรือ”
หรงเหยี่ยนยิ้มแหยลอบสบถด่าในใจ หากไม่ใช่เพราะหวาดเกรงผลกระทบของตระกูลหนานกงที่มีต่อพวกทหาร เขาจำเป็นต้องระวังหรงเซวียนขนาดนี้ที่ไหนกัน
ภายในพระตำหนักชิงเหอ หลังจากหรงจังย่างกรายเดินเข้ามาในพระตำหนักก็เห็นฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ที่ถูกเล่าลือกันว่าใกล้ไม่ไหวเต็มทีกำลังนั่งบนตั่งเตี้ยพลางขบคิดกระดานหมากรุกตรงหน้า ถึงแม้สีหน้าจะดูไม่ดีนัก แต่กลับไม่ถึงขั้นใกล้สิ้นใจเลยสักนิด
หรงจังกวาดตามองภายในพระตำหนักอย่างรวดเร็ว ทว่ากลับไม่เห็นเงาของหรงจิ่น
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เงยหน้าขึ้นตรัสเสียงเรียบ “เจ้ามาแล้วหรือ มานั่งตรงนี้เถิด”
หรงจังเดินมาอย่างเงียบๆ แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เอ่ยตรัส“เล่นหมากรุกเป็นเพื่อนเราสักตา หรงจิ่นไม่มีความอดทนมาตั้งแต่เด็กเลยไม่เคยเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนเราเลย” องค์ชายคนอื่นๆ ปรารถนาอยากเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนเสด็จพ่อใจจะขาด แต่น่าเสียดายที่แต่ไหนแต่ไรมาฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเลยสักครั้ง
หรงจังหยิบหมากตัวสีขาวขึ้นมาด้วยท่าทีเคร่งขรึมแล้ววางลงบนกระดาน ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ส่ายศีรษะแล้ววางหมากสีดำตามไปเม็ดหนึ่ง ตรัสเสียงหดหู่ “ในบรรดาองค์ชายมากมาย ฝีมือของเจ้านับว่าไม่เลว แถมมีความอดทนด้วย”
วินาทีนั้นสีหน้าของหรงจังก็ผุดความสับสนขึ้นมาชั่วขณะ ทว่าก็หายไปโดยไร้ร่องรอยอย่างรวดเร็ว ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กับเขาไม่ได้แย่มาตั้งแต่แรก ยามที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ยังเป็นกษัตริย์ที่เก่งกาจความสามารถรอบด้านครานั้น ถึงแม้จะไม่สนิทสนมกับเหล่าสนมและลูกๆ แต่เขาก็ยังมีงานอดิเรกของเขาบ้าง เมื่อยี่สิบปีก่อนหรงจังโดดเด่นเหนือใคร ฉลาดหลักแหลม ทำอะไรเด็ดขาดมากกว่าหรงหวงซึ่งเป็นองค์ชายคนโต ดีกว่าหรงเซวียนที่เก่งรอบด้านแต่ไม่มีอะไรโดดเด่น และดีกว่าหรงเหยี่ยนที่ถึงแม้จะฉลาดแต่ภูมิหลังตระกูลมารดากลับย่ำแย่ หรงจังจึงเป็นองค์ชายที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์พึงพอใจมากที่สุด เพียงแต่น่าเสียดาย…ตลอดยี่สิบปีมานี้สองพ่อลูกเจอกันแทบนับครั้งได้ ดังนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเล่นหมากรุกเลย
ภายในพระตำหนักตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงวางหมากเบาๆ ดังขึ้นเป็นครั้งคราว ถึงแม้หมากบนกระดานจะดุเดือดเพียงใด แต่พวกเขาสองคนต่างรู้แก่ใจดีว่าไม่มีใครใส่ใจหมากบนกระดานเหล่านั้นสักนิด
สุดท้ายฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็เป็นต่อ หรงจังก้มหน้ามองหมากบนกระดานแล้วเงียบไปชั่วขณะ จู่ๆ ก็ทิ้งหมากในมือลงพร้อมเอ่ยเสียงเรียบว่า “ลูกแพ้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเล่นต่อหรอก”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มองเขาแน่นิ่ง “คิดไม่ถึงว่าเจ้าเก็บตัวเงียบมาตั้งยี่สิบปี แต่ไอสังหารที่แผ่ออกมาจะหนักมากขนาดนี้ เมื่อยี่สิบปีก่อนเราเคยบอกเจ้าแล้วว่า อย่างแรกเจ้าผิดที่ใจร้อนอยากสำเร็จเกินไป อย่างที่สองผิดที่ไม่ยืนหยัดมากพอ ถ้าชนะก็จะแผ่อำนาจไปได้ไกล แต่ถ้าพ่ายแพ้ก็จะไม่เหลืออะไรเลย จุดนี้เจ้ายังสู้จิ่นเอ๋อร์ไม่ได้”
หรงจังหลุบตาลงราวกับฟังคำสั่งสอนของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์อย่างยำเกรง
“เจ้าอยากครองบัลลังก์หรือไม่” ทันใดนั้นฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็เปิดปากตรัสถามขณะที่มองลูกชายผู้นิ่งขรึมตรงหน้า
หรงจังผงะไป มองฮ่องเต้แคว้นเย่ว์อย่างไม่คาดคิด เขารู้ดีมาตั้งนานแล้วว่าไม่ว่าเสด็จพ่อจะมอบบัลลังก์ให้ใครก็ไม่มีทางให้ตนแน่นอน ทว่าตอนนี้เขาถามคำถามนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ยิ้มตรัส “เจ้าเป็นคนหลักแหลม ดังนั้นตลอดยี่สิบปีมานี้เจ้าถึงไม่เคยนึกถึงโอกาสขึ้นครองราชย์เลย เจ้ากำลังปูทางเพื่อช่วยจิ่นเอ๋อร์อยู่ใช่หรือไม่เล่า เจ้าคิดว่า…หากเขาได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้วจะเหมือนที่เจ้าขึ้นเป็นเองหรือ”
นอกจากท่าทีตกใจในตอนแรก เห็นได้ชัดว่าหรงจังดูสงบผิดปกติ “ไม่มีเรื่องใดปิดบังเสด็จพ่อได้เลยจริงๆ จิ่นเอ๋อร์…” หรงจังแอบกังวลใจอยู่ลึกๆ หากเสด็จพ่อรู้ตัวตนของหรงจิ่นขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้น…
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มองกระดานตรงหน้าราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเขา แต่เหมือนสายตาทอดมองทะลุผ่านหรงจังไปไกลไม่รู้เท่าไรแล้ว
“เรื่องซีเอ๋อร์” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรัสขึ้นเสียงเรียบ
“หยุดนะ!” ครั้นได้ยินชื่อซีเอ๋อร์ ชั่วขณะนั้นก็เหมือนหรงจังถูกทิ่มแทงตรงแผลเก่า คำพูดดุดันที่เปล่งออกมากลับถูกเสียงไอหนักหน่วงตัดบท ผ่านไปนานถึงจะดีขึ้น ไม่รู้เพราะเสียงไออันหนักหน่วงหรือเพราะความโกรธ สีหน้าที่เคยซีดขาวในเดิมทีพลันแดงก่ำ เขามองฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ด้วยความโกรธเอ่ย “ห้ามพูดถึงซีเอ๋อร์!”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กวาดตามองเขาด้วยท่าทีสงบ เงียบไปนานก่อนจะยิ้มเยาะตรัส “เรื่องของซีเอ๋อร์ ตอนนั้นเราผิดก็จริง แต่…เจ้าไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือ”
สีหน้าแดงก่ำเมื่อครู่ของหรงจังกลับมาซีดลงอีกครั้ง จับจ้องฮ่องเต้แคว้นเย่ว์แน่นิ่งด้วยดวงตาแดงก่ำ ราวกับคนตรงหน้าไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของเขา ทว่าเหมือนศัตรูที่อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ก็มิปาน
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เงยหน้ามองหรงจังแน่นิ่ง ตรัสยิ้มเยาะ “เราเป็นฮ่องเต้ ทั่วทั้งแคว้นเย่ว์เป็นของเรา หากเราอยากได้ซีเอ๋อร์แล้วจะทำไมเล่า หากเจ้ามีความกล้าจริงๆ ตอนนั้นคงฆ่านางตายในคราเดียวแล้ว ไม่แน่เราอาจชื่นชมว่าสมแล้วที่เป็นลูกชายของเราด้วยซ้ำ หากไม่กล้า เจ้ามีสิทธิ์ใดมาแก่งแย่งกับเราเล่า แม้ซีเอ๋อร์จะเข้าวังแต่กลับไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับเจ้า หากไม่ใช่เพราะเจ้า…นางจะจากโลกนี้ไปเร็วขนาดนี้หรือ หรงจัง…หากไม่ใช่เพราะรับปากซีเอ๋อร์ว่าช่วงเวลาที่เรามีชีวิตอยู่จะไม่มีทางทำอะไรเจ้า เจ้าคิดว่า…หลายปีนี้เจ้าจะแอบหนีไปไหนมาไหนได้หรือ”
หรงจังโมโหสุดขีด คำรามเสียงต่ำ “ซีเอ๋อร์เป็นภรรยาของข้า!”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เหยียดยิ้มอย่างไม่สบอารมณ์ “น่าเสียดายที่เจ้าไม่สามารถรักษานางไว้ได้ และไม่มีความสามารถให้ชีวิตที่สุขสงบแก่นางได้”
นิ้วเรียวบางของหรงจังกำเบาะนุ่มที่นั่งทับอยู่ไว้แน่น ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง หากไร้ความสามารถปกป้องภรรยาของตนเองนับว่าเป็นเรื่องน่าอับอายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เขาเป็นถึงองค์ชายสูงส่ง ย่อมน่าภาคภูมิกว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว ทว่าผู้ชายน่ารังเกียจที่แย่งภรรยาของเขาไปกลับเป็นพ่อแท้ๆ ที่เขาเคยให้ความเคารพที่สุด…
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กลับไม่สนใจท่าทีกระฟัดกระเฟียดของเขาเลยสักนิด ตรัสต่อขึ้นว่า “เดิมทีซีเอ๋อร์เข้าวังมาก็ไม่ได้เกี่ยวอันใดกับเจ้า แต่เจ้า…กลับใช้ความสัมพันธ์ในอดีตบงการให้นางแอบฆ่าเรา ช่างเป็นลูกที่ดีจริงๆ จังเอ๋อร์…ความจริงเมื่อก่อนเราเคยคิดว่าเป็นเพราะความโกรธแค้นที่เราแย่งซีเอ๋อร์มาเลยทำให้เจ้าอยากฆ่าเราให้ตาย หรือ…เพราะรู้ว่าเราสนใจซีเอ๋อร์ตั้งแต่แรกเลยวางแผนส่งตัวนางเข้าวังมาเพื่อลอบฆ่าเรากันแน่ ในเมื่อ…ตอนนั้นองค์ชายสามเป็นคนที่เราให้ความสำคัญมากที่สุด หากเราตายและซีเอ๋อร์สมรู้ร่วมคิดกับเจ้าละก็ การที่เจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้วมิใช่หรือ”
“เสด็จพ่อพูดจาเหลวไหล!” หรงจังลุกขึ้นด้วยท่าทีขึงขัง ดวงตาเกรี้ยวโกรธที่จับจ้องฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ใกล้ปะทุไฟขึ้นมาเต็มที “ข้าไม่มีทางทำเรื่องอัปยศเช่นนั้นแน่นอน! เสด็จพ่อพรากพวกเราออกจากกันต่างหาก เสด็จพ่อเป็นคนบีบให้ซีเอ๋อร์ต้องตาย! เสด็จพ่อมีใต้หล้านี้อยู่แล้ว เหตุใดยังต้องทำเช่นนี้อีก ข้าเป็นลูกของท่าน และซีเอ๋อร์ก็เป็นลูกสะใภ้ของท่านด้วย!”
“หุบปาก!” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรัสเสียงเย็นชา “ซีเอ๋อร์เป็นสนมของเรา เจ้าจำไว้ให้ดี เจ้าเป็นคนทำลายซีเอ๋อร์ หากไม่ใช่เพราะเจ้าบีบให้ซีเอ๋อร์วางยาข้า นางจะตายได้เช่นไร”
เหตุใดถึงทำเช่นนั้น ภายในใจของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ยังนึกฉงนอยู่บ้าง บางทีอาจเป็นเพราะยามที่เห็นรอยยิ้มใสซื่อบริสุทธิ์ดั่งหิมะขาวโพลนของหญิงสาวในสวนดอกเหมยจวนสวินอ๋องแล้วทำให้เขาหลงลืมธรรมเนียมและศีลธรรมทั้งหมดบนโลกใบนี้จนสิ้น เขาค่อยๆ ไต้เต่ามาจากองค์ชายตัวเล็กๆ ในวังหลวงที่ทั้งมืดมนและกลับกลอกที่สุดจนขึ้นมาเป็นฮ่องเต้ได้ทีละก้าวๆ ใจของเขาตกสู่ห้วงลึกมืดมนมานานแล้ว คนรอบกายต่างวางแผนอยากทำลายเขา เขาจึงต้องคอยปกป้องระวังตัวจากคนอื่นๆ อยู่ตลอดเวลา ทว่าชั่ววินาทีที่เห็นผู้หญิงคนนั้น ในที่สุดเขาถึงค้นพบว่าบนโลกนี้ยังมีสิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์หลงเหลืออยู่ ความปรารถนาที่อยากจะครอบครองผู้หญิงที่งดงามบริสุทธิ์เช่นนี้เลยเริ่มเอาชนะทุกสิ่งอย่างในช่วงเวลานั้น