หรงจังนั่งอยู่บนตั่งนุ่มพลางใช้สายตาเกลียดชังจับจ้องฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรงหน้าเงียบกริบโดยไร้ซึ่งความสุขุมและนอบน้อมเฉกเช่นปกติอย่างสิ้นเชิง นี่คือความสัมพันธ์และท่าทีที่พวกเขาควรแสดงต่อกันในเดิมที พวกเขาต่างมีความเกลียดชังที่แย่งภรรยาและความแค้นที่ฆ่าภรรยากันทั้งคู่ เรียกว่าเป็นศัตรูร่วมคู่อาฆาต แม้ว่าพวกเขาจะเคยเป็นพ่อลูกกันด้วยซ้ำ
สีหน้าอ่อนโยนในเดิมทีของหรงจังดูขึงขังบูดบึ้ง สายตาที่ใช้มองฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เต็มไปด้วยความอาฆาต ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กลับส่ายศีรษะด้วยความผิดหวัง “ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว แต่เจ้าก็ยังทำให้เราผิดหวัง ในเมื่อเกลียดชังเรานัก…เหตุใดไม่พุ่งเข้ามาฆ่าเราเลยเล่า เจ้ากลัวหรือ กลัวว่าเราจะหลอกเจ้า กลัวว่าจริงๆ แล้วเราจะไม่ได้ป่วยอย่างนั้นหรือ นิสัยของเจ้ากับจิ่นเอ๋อร์ช่างแตกต่างกันนัก”
หากเป็นหรงจิ่น อย่าว่าแต่แย่งคนที่อยู่ในใจเขาไปเลย เกรงว่าแค่แตะต้องนิดหน่อยก็พร้อมพุ่งเข้าใส่โดยที่ไม่สนใจสิ่งใดทั้งนั้น ถึงบอกว่าในบรรดาลูกชายมากมาย เขาชอบนิสัยของหรงจิ่นที่สุดแล้ว ถึงแม้ดูเหมือนจะใจร้อนหัวรั้นไม่เหมือนคนในเชื้อพระวงศ์ แต่คนนิสัยเช่นนี้ต่างหากถึงจะชวนให้รู้สึกไม่เสแสร้งแกล้งทำ ความรักและความเกลียดชังของหรงจิ่นดูเป็นความจริงที่สุด เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะรักหรือเกลียด เขามักแสดงต่อคนอื่นน้อยนัก
หรงจังหมดคำจะตอบโต้ หากว่าด้วยเรื่องศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายแทบทำเอาเขาอยากแก้แค้นใจจะขาด แต่เพราะการอบรมสั่งสอนตั้งแต่เล็กจนโตในฐานะองค์ชายทำให้เขาต้องไตร่ตรองและมีความอดทนอดกลั้น หากเมื่อยี่สิบปีก่อนเขาไม่ได้พุ่งตัวออกไปสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายกับฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ กระทั่งยอมเอาชีวิตและเลือดเนื้อเข้าแลกเหมือนขุนนางข้าหลวงที่ตายไปละก็ ยี่สิบปีให้หลังเขาคงไม่มีทางทำเช่นนี้แน่นอน
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ยิ้มตรัส “เจ้าไม่ต้องกลัว ครั้งนี้เราไม่ได้หลอกเจ้า เราใกล้ตายแล้วจริงๆ” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เอือมมือขึ้นมาปาดรอยเลือดข้างริมฝีปากอย่างไม่ใส่ใจ กระทั่งยังมีแก่ใจรับน้ำที่เจี่ยงปินส่งมาให้เพื่อบ้วนปาก “ในเมื่อเจ้าไม่อยากฆ่าเรา เช่นนั้นก็นั่งเป็นเพื่อนเราแล้วคิดสิว่าจะแสดงละครคืนนี้ต่อไปเช่นไรอย่างว่าง่ายจะดีกว่า เพื่อวันนี้ เราใช้เวลาขบคิดมาไม่น้อย เรายังมีอีกเรื่อง หาก…เราบอกว่า ขอแค่หลังจากเราตาย เจ้าช่วยไล่แต่งตั้งให้ซีเอ๋อร์ขึ้นเป็นฮองเฮาลงหลุมไปพร้อมกับเรา เราก็จะยกบัลลังก์ให้เจ้า เจ้าจะรับปากเราหรือไม่”
หรงจังนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เองก็ไม่ได้สนใจคำตอบของเขา แค่ก้มหน้ายิ้มแล้ววางหมากบนกระดานใหม่อีกครั้ง
“ฝ่าบาท…เมื่อครู่มีข่าวส่งมาว่ากองทัพอวี่หลิน กองทัพประจำการเมืองหลวงและละแวกใกล้เคียง อีกทั้งกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อนอกเมือง กองกำลังเสริมเจี้ยนรุ่ยต่างมีความเคลื่อนไหวผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ” มีคนๆ หนึ่งเข้ามา เขาเหลือบมองหรงจังแวบหนึ่งก่อนทูลรายงานเสียงต่ำ
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เลิกคิ้วยิ้มตรัส “หืม มือแต่ละคนยาวๆ ทั้งนั้น จังเอ๋อร์ ฝั่งไหนเป็นคนของเจ้าเล่า พวกเจ้าไม่คิดบ้างหรือ…หากวันนี้เราไม่ตาย พวกเจ้าจะทำเช่นไร นี่ออกจะใจร้อนเกินไปหน่อยกระมัง”
พอได้ฟังคำพูดขบขันของเขา ทว่าอีกสามคนในพระตำหนักกลับไม่นึกขันขึ้นมาเลยสักนิด ความใจร้อนเป็นความผิดพลาดมหันต์ แต่หากช้าเกินไปก็จะถูกคนชิงตัดหน้าไปก่อนซึ่งก็พลาดมหันต์เช่นกัน เพื่อบัลลังก์อันสูงส่ง หากจะเดิมพันสักครั้งก็ใช่ว่าจะเสียหาย
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์โบกมือตรัสขึ้น “ไปเถิด ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา เราเองก็อยากรอดูเหมือนกันว่าพวกเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”
นอกเมืองมีขบวนม้ามุ่งหน้ามาทางเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ส่วนผู้นำคนหน้าสุดก็คือแม่ทัพใหญ่ทรงอิทธิพลอย่างหนานกงเจวี๋ยนั่นเอง
ทันใดนั้นก็มีขบวนม้าโผล่มาจากอีกฝั่งแล้วมาขวางทางหนานกงเจวี๋ยไว้ ส่วนเขาผู้นี้ก็คือคุณชายเว่ยอู๋จี้ที่ร่ำรวยที่สุดในใต้หล้า หนานกงเจวี๋ยชะงักไป เห็นได้ชัดว่าพอเจอเว่ยอู๋จี้ในสถานการณ์เช่นนี้ออกจะเหนือความคาดหมายไปสักหน่อย เขาหรี่ตาสำรวจกลุ่มชายชุดดำและกองทัพม้าที่ใส่เครื่องแบบเต็มยศด้านหลังเว่ยอู๋จี้ เอ่ยเสียงขรึม “กองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อหรือ ข้าไม่เห็นรู้มาก่อน คุณชายเว่ยสามารถโยกย้ายกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน กองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อเข้าร่วมกับคนในยุทธภพตั้งแต่เมื่อใดหรือ”
หนานกงเจวี๋ยเป็นแม่ทัพเก่าแก่ในแคว้นเย่ว์ ครั้นได้ยินเช่นนั้นหัวหน้ากองทัพรักษาพระองค์ไม่กี่นายก็เผยสีหน้าลำบากใจและกระอักกระอ่วนใจขึ้นมา ทว่าไม่มีผลใดกับเว่ยอู๋จี้เลยสักนิด เขายังคงนั่งอยู่บนหลังม้าด้วยท่วงท่าสง่างามเช่นเคยแล้วยิ้มกล่าว “ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าท่านแม่ทัพใหญ่หนานกงมีสิทธิ์แตะต้องกองทัพกำลังเสริมเจี้ยนรุ่ยด้วย คิดไม่ถึงว่าท่านแม่ทัพใหญ่หนานกงที่ไม่ได้ดูแลกองทัพมาหลายสิบปีจะยังมีอิทธิพลอำนาจอยู่”
ทุกคนต่างโยกย้ายกองทัพเป็นการส่วนตัว ฉะนั้นจึงไม่มีใครดีไปกว่าใครเลย
หนานกงเจวี๋ยสีหน้าขรึมลง กวาดสายตาแหลมคมมองแล้วเอ่ย “คุณชายเว่ย เจ้าขวางทางข้าไว้เช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่”
เว่ยอู๋จี้ยิ้มเอ่ย “ข้าต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถามท่านแม่ทัพหนานกงมากกว่าว่าค่ำคืนเงียบสงบเช่นนี้ ประตูเมืองก็ปิดแล้ว ท่านแม่ทัพหนานกงพาคนมากมายมุ่งไปทางเมืองหลวงเช่นนี้ ไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพหนานกงคิดจะทำอันใดหรือ”
หนานกงเจวี๋ยสีหน้าขรึมลงเล็กน้อยพลางใช้สายตาแหลมคมมองไปทางเว่ยอู๋จี้ ทว่าเว่ยอู๋จี้กลับเผยท่าทีสงบภายใต้สายตาคู่นั้น ผ่านไปนานหนานกงเจวี๋ยถึงเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าประเมินผิดไป คิดไม่ถึงว่าคุณชายเว่ยก็เป็นยอดฝีมือเช่นกัน”
ต่อให้คนธรรมดาจะเก่งกาจมากเพียงใดก็ไม่มีทางตั้งรับแรงดันจากกำลังภายในที่แผ่ออกมาได้แน่นอน สิ่งเดียวที่สามารถอธิบายได้ก็คืออย่างน้อยคุณชายเว่ยที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ต้องเป็นยอดฝีมือที่มีวิทยายุทธทัดเทียมกับเขาเท่านั้น
เว่ยอู๋จี้คลี่ยิ้มอ่อนโยนเอ่ย “ท่านแม่ทัพชมกันเกินไปแล้ว ข้าไม่ได้มีเจตนาจะตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับท่าน แต่…เกรงว่าหากโยกย้ายกองทัพเป็นการส่วนตัวคงไม่เหมาะสมเท่าไร ท่านแม่ทัพหนานกงโปรดไตร่ตรองด้วย”
หนานกงเจวี๋ยยิ้มเยาะกล่าว “ไตร่ตรองหรือ แล้วด้านหลังของเจ้ามิใช่กองกำลังรักษาพระองค์เสินเช่อหรืออย่างไร ข้าจะพาทหารไปคุ้มกันฝ่าบาท เจ้ากล้าขวางหรือ”
เว่ยอู๋จี้ยิ้มกล่าว “คุ้มกันฝ่าบาท? ในเมืองหลวงมีกบฏหรือ เหตุใดถึงกล่าวว่าไปเฝ้าคุ้มกันฝ่าบาทเล่า ท่านแม่ทัพ…เหนื่อยโดยที่ตนเองไม่ได้ผลประโยชน์อะไรมันคุ้มค่าจริงๆ หรือ เกรงว่าสุดท้ายจะโดนเขี่ยทิ้งมากกว่า” หรงเซวียนถูกกำหนดไว้แล้วว่าไร้วาสนาจะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ ส่วนอวี้อ๋องก็ปฏิเสธเข้าพวกกับจวงอ๋อง ดังนั้นคนที่จวนจวงอ๋องจะดันขึ้นและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจวงอ๋องคงเป็นองค์ชายหก หากองค์ชายหกขึ้นครองราชย์จริงๆ เกรงว่าด้วยอิทธิพลของจวนจวงอ๋องและตระกูลหนานกงคงเป็นได้แค่หุ่นเชิด แต่ต่อให้เป็นหุ่นเชิด…ขอแค่ไม่ถูกถอดจากตำแหน่งก็คงเติบโตขึ้นสักวัน การเดิมพันของตระกูลหนานกงครั้งนี้ออกจะอันตรายไปสักหน่อย
หนานกงเจวี๋ยเงียบกริบ เว่ยอู๋จี้ยิ้มกล่าว “ข้าเองก็ไม่อยากทำให้ท่านแม่ทัพลำบากใจ เกรงว่าหากเราทั้งสองฝ่ายปะทะกันนอกเมืองหลังจบเรื่องก็คงหนีไม่พ้น ขอแค่ท่านแม่ทัพเอาชนะฝีมือข้าไปได้ ข้าก็จะรีบพาพวกเขาออกไปจากที่นี่ทันทีและไม่ขวางทางท่านแม่ทัพอีกต่อไป เป็นอย่างไรเล่า”
“ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่โอหังนัก” หนานกงเจวี๋ยมองเว่ยอู๋จี้พร้อมเอ่ยเสียงเรียบ
เว่ยอู๋จี้ยิ้มบางไม่พูดอะไร
หนานกงเจวี๋ยหัวเราะลากเสียงยาวก่อนเอ่ย “เอาเถอะ หากแม้แต่ด่านของคุณชายเว่ยข้ายังผ่านไปไม่ได้ เมืองหลวงก็ไม่ต้องไปแล้ว! ประกาศคำสั่งข้าออกไปว่าถอยทัพทั้งหมด”
เว่ยอู๋จี้พยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วโบกมือให้กองทัพด้านหลังเอ่ย “ถอย!” ไม่นานกองทัพทั้งสองฝ่ายก็หายไปท่ามกลางความมืด เว่ยอู๋จี้ลงจากม้าอย่างรวดเร็ว เอ่ยกับหนานกงเจวี๋ยด้วยรอยยิ้ม “เชิญท่านแม่ทัพ”
หนานกงเจวี๋ยแค่นเสียงเบาก่อนจะลงจากหลังม้าตามมา พวกเขาสองคนสบตากันแต่ไม่มีใครเป็นฝ่ายเปิดฉากก่อน ทว่าบรรยากาศรอบด้านกลับค่อยๆ อึมครึมลงเรื่อยๆ
ไม่รู้ว่าในมือของหนานกงเจวี๋ยปรากฏดาบยาวตั้งแต่เมื่อไร เว่ยอู๋จี้วางพัดที่ตนชอบใช้ลงก่อนในมือจะปรากฏดาบแผ่ไอเย็นยะเยือกปรากฏให้เห็น