ผ่านไปนานเว่ยอู๋จี้ถึงเป่าปากเสียงเบา จากนั้นดาบยาวก็ฟาดฟันแผ่ไอเย็นยะเยือกสีเขียวพุ่งไปทางหนานกงเจวี๋ย หนานกงเจวี๋ยเหวี่ยงดาบยาว ไอดาบหนาแน่นหมุนเป็นระลอกคลื่นพุ่งไปหาเว่ยอู๋จี้อย่างดุดัน สมแล้วที่เป็นแม่ทัพเก่าแก่ที่ผ่านสมรภูมิรบมานับไม่ถ้วน ฝีดาบของหนานกงเจวี๋ยไม่ได้รวดเร็วและยอดเยี่ยมเท่าไรนัก แต่ทุกกระบวนท่ามักแผ่รังสีสังหารแข็งแกร่งจนไม่ว่าใครก็ไร้หนทางที่จะเลี่ยงได้ กระทั่งไม่กล้าปะทะอย่างประมาท
เว่ยอู๋จี้รับรู้กิตติศัพท์ของหนานกงเจวี๋ยมาตั้งแต่แรกเลยไม่ได้ใจร้อนอยากเอาชนะ เขาแค่เริ่มจากลองหยั่งเชิงโดยการกระโดดหลบคมดาบของหนานกงเจวี๋ยอย่างระมัดระวังก่อน ในเมื่อหนานกงเจวี๋ยเป็นแม่ทัพเก่าแก่ผ่านสมรภูมิรบมามากมายแล้วจะเดาแผนการของเขาไม่ออกเลยได้เช่นไร หนานกงเจวี๋ยแค่นเสียงยิ้มเยาะก่อนใช้ดาบในมือฟาดฟันโจมตีใส่เว่ยอู๋จี้ไม่หยุด ช่วงเวลานั้นเว่ยอู๋จี้เลยแข้งขาพัลวันไปชั่วขณะ
ไม่รู้ว่ามุมที่อยู่ไม่ไกลจากพวกเขาปรากฏเงาคนกลุ่มหนึ่งโผล่มาตั้งแต่เมื่อไร มู่ชิงอีสวมชุดคลุมกันลมเนื้อบางสีขาวยืนอยู่ใต้ต้นลูกพลัมริมทางพร้อมเจ้าหั่วเอ๋อร์ตัวเล็กน่ารักที่ซบอยู่บนไหล่ ขณะเดียวกันก็แลบลิ้นเลียแก้มขาวนวลของนางบ้างเป็นระยะๆ
เซี่ยซิวจู๋กับอู๋ซินยืนขนาบข้างซ้ายขวาคอยรับใช้อยู่ด้านหลัง ในมือของเซี่ยซิวจู๋มีอาวุธคล้ายหอกสีเงินด้ามหนึ่งอยู่ด้วย เพียงแต่หอกสีเงินนั้นมีขนาดความสั้นยาวครึ่งหนึ่งของหอกทั่วไป เหมาะกับใช้ทำเหล็กท่อนหรือกระบองมากกว่า ขณะที่อู๋ซินกำดาบไว้ในมือ ส่วนอีกมือถือร่มกระดาษเพื่อช่วยบดบังละอองฝนและกลีบดอกไม้ที่โปรยปรายลงมาให้มู่ชิงอี
พวกเขาทั้งสองต่างจับจ้องการต่อสู้จากมุมที่ไม่ไกลนัก ทว่าสายตาของมู่ชิงอีกลับเหม่อมองไปไกลแสนไกลพลางลอบถอนหายใจเงียบๆ ถึงแม้จะเป็นหยาดฝนในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่ฝนที่จู่ๆ ก็ตกลงมาในค่ำคืนเช่นนี้กลับชวนให้รู้สึกกระวนกระวายและไม่สบายใจเหลือเกิน
เว่ยอู๋จี้และหนานกงเจวี๋ยต่างเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในใต้หล้าย่อมรับรู้การปรากฏตัวของพวกเขาสามคนได้เป็นธรรมดา พวกเขาทั้งสองผละออกจากกัน จากนั้นสายตาก็หันไปมองมุมที่ไม่ไกลนักอย่างพร้อมเพรียง เว่ยอู๋จี้กลับคลี่ยิ้มบาง วิทยายุทธของหนานกงเจวี๋ยสุดยอดสมกับที่ไท่สื่อเหิงขนานนามว่าเป็นอันดันหนึ่งในยอดฝีมือทั้งห้าเลยทีเดียว เว่ยอู๋จี้รู้แก่ใจดีว่าหากสู้กันต่อไปเช่นนี้ สุดท้ายเขาเองก็จะไร้หนทางถอยออกมาได้ แต่เวลานี้กลับต่างกันออกไป วิทยายุทธของเซี่ยซิวจู๋ไม่ได้แย่ไปกว่าเขา และเว่ยอู๋จี้ก็มั่นใจมากว่ามู่ชิงอีไม่มีทางเข้าข้างหนานกงเจวี๋ยแน่นอน
“ใต้เท้ากู้ ช่างบังเอิญนัก ดึกดื่นขนาดนี้แล้วยังมีเวลาว่างออกมาเดินเล่นอีกหรือ” เว่ยอู๋จี้เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มราวกับสนิทสนมกับมู่ชิงอีมากก็มิปาน
มู่ชิงอียืนใต้ต้นไม้พลางกระตุกยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก “คุณชายเว่ย ท่านแม่ทัพหนานกง รบกวนพวกท่านแล้ว”
“จะเป็นไปได้เช่นใดกัน ใต้เท้ากู้มาได้เวลาพอดี” เว่ยอู๋จี้ยิ้มกล่าว นางมาได้จังหวะจริงๆ ถึงแม้การร่วมมือเพื่อต่อกรกับตาแก่นี่จะทำให้เว่ยอู๋จี้รู้สึกเสียศักดิ์ศรีความเป็นยอดฝีมือ แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องนี้ คืนนี้คงเกิดเรื่องขึ้นไม่น้อย หากเขาบาดเจ็บหนักหรือเสียเวลาตลอดทั้งคืนอยู่ที่นี่ ถ้าในเมืองเกิดเรื่องขึ้นมาคงวุ่นวายแน่
“ใต้เท้ากู้ เจ้ามาทำอะไรที่นี่” หนานกงเจวี๋ยมองพวกมู่ชิงอีทั้งสามคนด้วยท่าทีระแวงซึ่งแตกต่างจากท่าทีผ่อนคลายมีความสุขของเว่ยอู๋จี้ลิบลับ สุดท้ายสายตาก็มาหยุดอยู่ที่เซี่ยซิวจู๋
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางกล่าว “คืนนี้…เหมือนว่าเมืองหลวงจะคึกคักไม่น้อย ข้านอนไม่หลับเลยออกมาเดินเล่น คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอพวกท่านเอาเสียได้”
หากคนที่ยืนข้างกายมู่ชิงอีไม่ใช่เซี่ยซิวจู๋ หากเปลี่ยนเวลาและสถานที่ ท่าทีเช่นนี้ก็เหมือนออกมาเดินเล่นจริงๆ แต่เหตุใดหนานกงเจวี๋ยถึงรู้สึกระแวงและไม่เชื่อว่ากลางคืนดึกดื่นเช่นนี้จะมีคนออกมาเดินเล่นด้วย
หนานกงเจวี๋ยถอนหายใจเสียงเบาเอ่ยเสียงเรียบ “ดูท่าทางพวกเจ้ามาเพื่อขวางข้ากระมัง”
มู่ชิงอีเองก็ลอบถอนหายใจอย่างจนใจเอ่ย “ท่านแม่ทัพสร้างคุณงามความดี ชื่อเสียงโด่งดังไกลไปทั่วหล้า เหตุใดต้องเข้ามายุ่มย่ามเรื่องนี้…จนทำลายชื่อเสียงขาวสะอาดของท่านแม่ทัพด้วยเล่า”
หนานกงเจวี๋ยเผยสีหน้านิ่งขรึม เขาอยากเข้ามายุ่มย่ามกับเรื่องนี้เสียเมื่อไรกัน แต่เพราะอยู่ในเหตุการณ์เลยจำใจก็เท่านั้น “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเจ้าก็ลงมือเลยเถิด”
เซี่ยซิวจู๋มองไปทางมู่ชิงอี มู่ชิงอีพูดเสียงเบา “อย่าทำร้ายท่านแม่ทัพ”
เซี่ยซิวจู๋พยักหน้าเงียบๆ แค่บิดดึงหอกขนาดสั้นในมือ หอกสีเงินด้ามนั้นก็ค่อยๆ ขยายขึ้นจนความยาวเท่ากับขนาดปกติ เดิมทีหอกสีเงินนี้ทำมาจากเหล็กชั้นดี แถมกะทัดรัดมีกลไกขยายสั้นยาวได้ด้วย
“เชิญท่านแม่ทัพ”
หนานกงเจวี๋ยพยักหน้าเอ่ย “ลงมือเถิด”
เซี่ยซิวจู๋ไม่ขบคิดนานนัก ในเมื่อหนานกงเจวี๋ยบอกให้เขาลงมือเขาก็ลงมือ หอกยาวในมือพุ่งเข้าตรงกลางอกหนานกงเจวี๋ยโดยตรง หนานกงเจวี๋ยยกดาบขึ้นรับ ชั่ววินาทีนั้นพวกเขาทั้งสองส่งลูกรับลูกต่อกันอย่างดุเดือด
ครั้งนี้เว่ยอู๋จี้ไม่ได้ร้อนใจลงมือ แต่เดินย่างกรายช้าๆ มาหยุดอยู่ข้างกายมู่ชิงอียิ้มกล่าว “คืนนี้ติดค้างบุญคุณใต้เท้ากู้แล้ว หากเจ้าไม่มาข้าคงวุ่นวายไม่น้อย สมแล้วที่หนานกงเจวี๋ยถูกขนานนามว่าแม่ทัพอันดับหนึ่งของแคว้นเย่ว์”
มู่ชิงอีเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “คุณชายเว่ยไม่ไปช่วยหรือ”
เว่ยอู๋จี้ยิ้มกล่าว “ตอนนี้ไม่ต้องหรอก เมื่อครู่ปะทะกับหนานกงเจวี๋ยไปรอบหนึ่งทำเอาข้าหายใจแทบไม่ทัน หากสองรุมคนแก่คนเดียวคงดูไม่ดีนัก รอคุณชายเซี่ยเหนื่อยแล้วข้าค่อยลุยต่อ”
หากเทียบกับสองรุมหนึ่ง ผลัดกันสู้กับคนๆ เดียวจนหมดแรงเช่นนี้ยิ่งน่าอับอายมากกว่ากระมัง
มู่ชิงอีกวาดตามองเว่ยอู๋จี้ด้วยท่าทีประหลาดใจแวบหนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไร
นานๆ ทีเว่ยอู๋จี้จะอยู่ว่างๆ เช่นนี้ ครั้นเห็นมู่ชิงอีไม่พูดอะไร ตนเลยหาเรื่องไร้สาระพูดคุยพลางมองพวกเขาต่อสู้จากมุมที่ไม่ไกลนักไปพร้อมกัน รอกระทั่งสังเกตเห็นว่าเขาไม่สามารถดึงดูดความสนใจของมู่ชิงอีได้เลยถอนหายใจอย่างพ่ายแพ้ จากนั้นก็เงยหน้าเหม่อมองหยาดฝนบนฟากฟ้าที่โปรยปรายตกลงมาบนใบหน้า ถอนหายใจกล่าว “สิบเก้าปีแล้ว…ในที่สุดก็จบสักที”
มู่ชิงอีหันไปมองเว่ยอู๋จี้ เว่ยอู๋จี้ยิ้มเอ่ย “คุณชายกู้อยากรู้เรื่องตอนนั้นหรือไม่เล่า”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วกล่าว “คุณชายเว่ย...เป็นลูกบุญธรรมของสวินอ๋องหรือ” มู่ชิงอีได้ยินเว่ยอู๋จี้เรียกหรงจังว่าพ่อบุญธรรมมาก่อน เดิมทีคิดมาตลอดว่าเว่ยอู๋จี้มีแผนการบางอย่างของตนเอง แต่ไม่เคยคิดว่าเขาจะทำทุกอย่างตามคำสั่งมาโดยตลอด
เว่ยอู๋จี้ลูบคางแล้วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “คงอย่างนั้นกระมัง”
มู่ชิงอีไม่เข้าใจ เว่ยอู๋จี้ส่ายศีรษะกล่าว “ไม่มีอะไรหรอก หรือหากเทียบกับเรื่องของหรงจิ่นแล้ว คุณชายกู้ใคร่รู้เรื่องของข้ามากกว่าอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “คุณชายเว่ยพอจะบอกข้าได้หรือไม่”
เว่ยอู๋จี้ยิ้มกล่าว “ไม่มีเรื่องใดที่พูดไม่ได้ เรื่องนี้…เจ้าเองก็รู้ว่าแม่แท้ๆ ของอวี้อ๋องเคย…เอาเป็นว่านับตั้งแต่พระสนมเหมยลาโลกนี้ไป อวี้อ๋องก็ถูกทิ้งเดียวดายอยู่ในตำนักเหมย ตอนนั้นอวี้อ๋องอายุยังไม่ถึงหนึ่งชันษาดีด้วยซ้ำ แต่แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน เพราะศัตรูของพระสนมเหมยก็มีไม่น้อย หากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้ทิ้งเขาอยู่ในตำหนักเหมยโดยไม่สนใจไถ่ถาม อีกทั้งปิดตำหนักเหมยห้ามใครเข้าออกโดยพลการ เกรงว่าเขาคงไม่มีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้หรอก”
มู่ชิงอีสะดุ้งวาบในใจ เด็กน้อยอายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบถูกทิ้งอยู่ในตำหนักใหญ่โตแล้วมีเพียงขันทีคนเดียวคอยดูแลเท่านั้น โชคดีที่เซวียเริ่นเป็นคนจงรักภักดี หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ไม่ใส่ใจมากพอ เกรงว่าหรงจิ่นคงไม่ต้องรอให้คนอื่นมาเอาชีวิตด้วยซ้ำ
“ถึงแม้ตำหนักเหมยจะปลอดภัย แต่อวี้อ๋องก็ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก เพื่อให้เขารับรู้ความโหดร้ายของโลกภายนอก ท่านพ่อจึงมักส่งคนไปข่มขวัญเด็กคนหนึ่งเป็นครั้งคราว แต่คิดไม่ถึงว่าตอนที่เขาอายุได้หกชันษาจะกล้าฆ่าคนแล้ว หลังจากที่เขาฆ่าคนครั้งแรก ทุกครั้งที่ส่งใครไปก็มักจะถูกฆ่าตายเรียบ ตอนนั้นข้ารู้สึกประหลาดใจนักว่าตกลงเด็กแบบไหนกันนะที่เก่งกาจมากถึงเพียงนี้ ข้าถึงฉวยโอกาสตอนเข้าวังแอบแฝงตัวเข้าไปในตำหนักเหมยเพื่อดูเขา อืม…จะว่าอย่างไรดีล่ะ ก็ถือว่าเขาเป็นน้องชายข้ามิใช่หรือ เดิมทีข้าคิดว่าจะได้เจอปีศาจน้อยที่ทั้งสุขุมเย็นชาและร้ายกาจ แต่คิดไม่ถึงว่าอวี้อ๋องในวัยแปดชันษาจะน่ารักถึงเพียงนั้น ขอแค่เขาสัมผัสถึงเจตนาร้ายในตัวเจ้าไม่ได้ เขาก็แทบไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าความเกลียดชังคืออะไร ความชั่วร้ายคืออะไร ความเกลียดแค้นคืออะไร แม้แต่ตอนฆ่าคนยังไม่มีความรู้สึกใดด้วยซ้ำ แต่ก็ทำเอาข้าตกใจไม่น้อยเลย” เว่ยอู๋จี้เอ่ยพลางนึกย้อนถึงวันวาน