เว่ยอู๋จี้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “คุณชายกู้ เจ้ามั่นใจหรือว่าจะสามารถแย่งกองทัพไปจากมือของข้าได้” ไม่ใช่เพราะเว่ยอู๋จี้ดูแคลนมู่ชิงอี แต่เป็นเพราะอย่างมากวิทยายุทธของเซี่ยซิวจู๋ก็พอๆ กับเขา ถึงแม้จะมีอู๋ซินติดตามมาด้วย แต่เขายังต้องคอยคุ้มกันไก่อ่อนอย่างมู่ชิงอี ยิ่งไปกว่านั้นหันเสวี่ยโหลวของเขาก็อยู่ละแวกนี้ “แต่ถ้ารวมกับพวกเราเล่า” จากนั้นก็มีเสียงแว่วดังมาพร้อมรอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นด้านหลังมู่ชิงอี เว่ยอู๋จี้เงยหน้ามองก็เห็นหนุ่มสาวในชุดดำหลายคนโผล่มาพร้อมอาวุธนานาชนิดในมือ แต่ละคนจับจ้องเว่ยอู๋จี้ด้วยสายตาดุดัน ถึงแม้จะไม่ใช่ยอดฝีมืออันดับหนึ่ง ทว่าก็ดูแคลนไม่ได้เช่นกัน
สิ่งที่ทำให้เว่ยอู๋จี้เป็นกังวลมากที่สุดก็คือจากมุมที่ไม่ใกล้ไม่ไกลนักปรากฏคนในชุดดำโผล่มาไม่น้อย ซึ่งแตกต่างจากนักฆ่าของหันเสวี่ยโหล นอกจากคนพวกนี้จะมีฝีมือวิทยายุทธที่ไม่ธรรมดาแล้ว อีกทั้งพอได้ยินเสียงฝีเท้าฮึกเหิมพร้อมเพรียงเช่นนั้นก็รู้เลยว่าคนเหล่านี้เป็นพวกฝีมือดีที่ผ่านการฝึกฝนมาก่อน หากว่าด้วยเรื่องศักยภาพย่อมแข็งแกร่งกว่ากองทหารรักษาพระองค์ที่ขึ้นชื่อว่าเก่งกาจที่สุดแห่งแคว้นเย่ว์แน่นอน เลยทำให้เว่ยอู๋จี้อดนึกถึงทหารหกสิบนายที่มู่ชิงอีและหรงจิ่นนำติดตัวมาตอนอยู่เมืองเผิงไม่ได้ แต่สุดท้ายก็สืบหาไม่เจอว่าตกลงแล้วพวกเขานำคนพวกนี้มาจากที่ใด “พวกเจ้าเป็นใคร” เว่ยอู๋จี้เลิกคิ้วถามแล้วกวาดตามองแวบหนึ่งก็จำได้สองคนเพราะเคยเจอพวกเขาที่เมืองเผิงครานั้น ผู้หญิงหนึ่งในนั้นมีนามว่าฮั่วซู หัวหน้าคนหนึ่งประสานมือกล่าว “ข้าเทียนซูลูกน้องของอวี้อ๋องขอคารวะคุณชายเว่ย”
เว่ยอู๋จี้ถอนหายใจอย่างจนใจ “คิดไม่ถึงว่าอวี้อ๋องจะมีไพ่เด็ดเช่นนี้ด้วย”
มู่ชิงอีขมวดคิ้วเล็กน้อย เงยหน้ามองความมืดมิดอันว่างเปล่าแวบหนึ่งกล่าว “คุณชายเว่ยไตร่ตรองอย่างไรแล้วบ้าง ข้ามีเรื่องที่ยังต้องจัดการ คิดว่าคุณชายเว่ยก็คงไม่ได้ว่างมากเช่นกัน หรือคุณชายเว่ยคิดจะให้พวกเราสู้กับหันเสวี่ยโหลก่อนสักยก?”
เว่ยอู๋จี้มองคนชุดดำที่ขวางรอบด้านของตนไว้ก่อนส่ายศีรษะแล้วล้วงหยิบป้ายสีทองจากอ้อมอกโยนให้ อู๋ซินรับมาตรวจสอบก่อนจะพยักหน้าให้มู่ชิงอี เว่ยอู๋จี้ยิ้มขมขื่นเอ่ย “มัวแต่วางแผนทำร้ายคนอื่น สุดท้ายดันโดนวางแผนตลบหลังเสียเอง คิดไม่ถึงว่าข้าจะตกอยู่ในกำมือของคุณชายกู้ได้ ความจริงคุณชายกู้ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เจ้าก็รู้ว่า…ระหว่างเจ้ากับข้าไม่ได้มีความขัดแย้งใดกัน”
ก็เพื่ออวี้อ๋องเหมือนกันมิใช่หรือ เว่ยอู๋จี้ไม่เข้าใจการกระทำที่มู่ชิงอีมาสกัดตนไว้เช่นนี้เท่าไรนัก ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบใจแต่เขาไม่มีทางขวางทางมู่ชิงอีแน่นอน หากล้มกันทั้งสองฝ่าย ยังไม่พูดถึงว่าเสียเปรียบคนอื่น แต่แผนการที่ทำมาตลอดหลายปีจะพังไม่เป็นท่าไปด้วย
มู่ชิงอียิ้มบางพลางเล่นตราประทับในมือเอ่ย “จะขัดแย้งกันหรือไม่ ใช่ว่าจะเป็นไปตามที่ท่านกับข้าพูดมิใช่หรือ”
เว่ยอู๋จี้จนใจ เห็นได้ชัดว่าหรงจิ่นยังไม่ยอมจำนนต่อพ่อบุญธรรม แต่หากยังมัวแต่ดึงดันกันไปมาเวลานี้จะไม่ดูเหมือนเด็กน้อยไปหน่อยหรือ
“ต่อให้มีตราคำสั่ง แต่คุณชายกู้จะเคลื่อนกองทัพเช่นใดเล่า ควรรู้ว่าต่อให้พวกเขาทำตามคำสั่งและไม่สนใจว่าเป็นใคร แต่ไม่มีทางที่คนๆ หนึ่งอาศัยแค่ตราคำสั่งแล้วจะสามารถเคลื่อนกองทัพได้” มู่ชิงอีเลิกคิ้วคลี่ยิ้มเอ่ย “เรื่องนี้คงไม่ต้องให้คุณชายเว่ยเป็นกังวล ข้าขอตัวก่อนล่ะ”
“หมายความว่าเช่นไร” เว่ยอู๋จี้สีหน้าเปลี่ยน มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “เทียนซู เจ้าอยู่ชมจันทร์เป็นเพื่อนคุณชายกู้เถิด”
“ขอรับ!” เทียนซูเอ่ยเสียงขรึม
แต่คืนนี้ไม่มีแสงจันทร์เลยสักนิด! เว่ยอู๋จี้จับจ้องใครบางคนอย่างไม่สบอารมณ์นัก มู่ชิงอีอมยิ้มแล้วเด็ดก้านดอกพลัมข้างกายมาเล่น “ดอกพลัมมักนำสายฝนมาด้วย แต่ไม่ควรหวั่นไหวไปตามความงามของมันมิใช่หรือ”
“ฮัดชิ้วๆ!” สิ่งมีชีวิตที่ฟุบนอนนิ่งอยู่บนไหล่ของมู่ชิงอีถูกดอกพลัมปัดที่ปลายจมูกจนจามสะดุ้งตื่น อุ้งมือตะปบก้านดอกไม้ไว้อย่างโมโห มู่ชิงอีลูบหางของมันด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หมุนตัวเดินมุ่งหน้าไปทางเมืองหลวง
“คุณชายเว่ย ข้าเพิ่งซ้อมวิชาใหม่มา คุณชายเว่ยโปรดชี้แนะด้วย ทางที่ดีคุณชายเว่ยอย่าใช้วิชาตัวเบาหนีไปดีกว่า หากทำคุณชายเว่ยบาดเจ็บเข้า ท่านอ๋องกับคุณชายต้องลงโทษข้าแน่” เทียนซูโบกมือทีหนึ่ง บุรุษชุดดำสองกลุ่มก็เข้ามาประกบปิดทั้งสองทางอย่างรวดเร็ว กระทั่งล้อมเว่ยอู๋จี้ไว้ตรงกลาง เดิมทีเว่ยอู๋จี้คิดจะพูดสร้างความอับอายให้เท่านั้น ทว่าพอเห็นแสงสีเงินประกายวิบวับในที่มืดเป็นระยะๆ เลยทำได้แค่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นคงต้องล่วงเกินแล้ว!”
เพิ่งกลับมาถึงศาลเฟิ่งเทียน ปู้อวี้ถังก็พุ่งเข้าไปต้อนรับ “คุณชาย เป็นอย่างไรบ้าง”
มู่ชิงอีถอดเสื้อคลุมกันลมออก ยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร เมืองหลวงเป็นเช่นไรบ้าง”
ปู้อวี้ถังเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “กองทัพประจำการเมืองหลวงกับกองทหารรักษาพระองค์มีความเคลื่อนไหวผิดปกติ กองทหารรักษาพระองค์น่าจะมีทั้งในจวนฟู่เอินโหวและจวนจวงอ๋อง กองทัพประจำการเมืองหลวงน่าจะเป็นคนของตวนอ๋อง แต่พวกเขายังไร้หนทางจะควบคุมกองทหารรักษาพระองค์กับกองทัพประจำการเมืองหลวงได้ น่าจะมีคนแค่บางส่วนที่ฟังคำสั่งของพวกเขาเท่านั้นนคน็” แต่สถานที่เล็กคับแคบอย่างเมืองหลวง เดิมทีก็เก็บกองทัพทหารจำนวนหลายล้านคนไม่ได้ ลำพังแค่หลายพันหลายหมื่นคนก็ใช้งานไม่มีวันหมด
มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ย “ลำบากอวี้ถังแล้ว ในวังมีข่าวคราวใดบ้างหรือไม่”
ปู้อวี้ถังเอ่ย “ท่านอ๋องสั่งคนมาส่งข่าวว่ารอสัญญาณจากเขาแล้วรีบเข้าควบคุมกองทัพประจำการเมืองหลวงทันที ส่วนกองทหารรักษาพระองค์ไม่ต้องไปสนใจ ท่านอ๋องมีวิธีของตนเอง” ปู้อวี้ถังรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย หลายวันนี้เขาติดตามพวกมู่ชิงอีมาย่อมมองแผนการของท่านอ๋องและคุณชายออก หากเป็นก่อนหน้านี้เขาคงคิดไม่ถึงว่าผู้ว่าการเมืองเผิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งอย่างเขาคนหนึ่งจะเข้ามามีส่วนร่วมในการแก่งแย่งราชบัลลังก์เฉกเช่นวันนี้ได้
มู่ชิงอีพยักหน้าก่อนจะค่อยๆ ย่างกรายเดินเข้าไปนั่งในห้องโถง ถอนหายใจเอ่ยเสียงเบา “เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้วก็ดี ต่อจากนี้…ก็รอดูเถิด”
ครั้นเห็นท่าทีสุขุมหนักแน่นของนาง ปู้อวี้ถังก็อดเก็บอาการของตัวเองไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ฝึกวางตัวสุขุมนิ่งขรึมอย่างคุณชายกู้ เกรงว่าตอนที่ตน…อายุสี่สิบปีก่อนหน้านี้คงไม่มีหวังอะไรแล้วกระมัง
พระตำหนักชิงเหอในวังหลวงที่อยู่ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย เหล่าองค์ชายและหลานๆ ทำได้แค่คุกเข่าอยู่เช่นนั้น เม็ดฝนโปรยปรายชะล้างกายชวนให้รู้สึกไม่สบายตัวอยู่บ้าง แต่ในเมื่อฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มิทรงรับสั่งก็ไม่มีองค์ชายคนใดกล้าลุกขึ้นหรือหาที่หลบฝน กระนั้นเลยทำได้แค่ทนร่างกายเปียกปอนไป หรงเซวียนที่สุขภาพไม่ค่อยดีนักยังดีหน่อยเพราะมีคนคอยถือร่มบังไว้ให้ ส่วนคนอื่นๆ ทำได้แค่ทนฝนเทลงมาบนตัว
ภายในพระตำหนัก หรงจังกำลังนั่งมองฮ่องเต้แคว้นเย่ว์พินิจพิเคราะห์กระดานตรงหน้าด้วยท่าทีนิ่งขรึม ภายในใจกำลังขบคิดว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ลอบแสร้งสร้างสถานการณ์เช่นนี้ด้วยจุดประสงค์ใดกันแน่ “ฝ่าบาท อวี้อ๋องมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เจี่ยงปินเดินมากราบทูลเสียงกระซิบ
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์วางหมากในมือยิ้มตรัสเอ่ย “หืม รีบให้เขาเข้ามาเถิด”
เพียงครู่เดียวหรงจิ่นก็เดินเข้ามาอย่างช้าๆ ไอหมอกจางๆ ท่ามกลางความมืดมิดขับให้ชุดสีดำยิ่งเหมือนหมึกสีดำเข้มงดงามดั่งภาพวาด งามสง่าโดดเด่นเหนือใครทว่ากลับแฝงความปราดเปรียวซึ่งหาเห็นได้น้อยนัก
หรงจิ่นกวาดตามองฮ่องเต้แคว้นเย่ว์และหรงจังแวบหนึ่งเงียบๆ “เสด็จพ่อ”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์อมยิ้มกวักมือเรียก “จิ่นเอ๋อร์มาแล้ว รีบมานี่เร็วเข้า ดึกดื่นขนาดนี้ไปไหนมาเล่า” หรงจิ่นแค่นเสียงเบาแต่ไม่พูดอะไร เขาแค่เดินเข้ามาคว้าเก้าอี้มานั่ง
หรงจังอดกำมือแน่นไม่ได้ พลางจับจ้องรอยยิ้มสดใสราวกับรักใคร่ยิ่งนักของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรงหน้าไม่วางตา
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรัสเสียงเรียบ “จิ่นเอ๋อร์ เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเหตุใดแม่ของเจ้าต้องตายลง”