หรงจิ่นเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขาแวบหนึ่ง ฉับพลันแววตาก็จับจ้องใบหน้าเรียบตึงของหรงจัง เอ่ยเสียงเรียบ “ลูกไม่อยากรู้”
“เจ้าลูกไม่รักดี!” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรัสอย่างไม่สบอารมณ์ ทว่ากลับไม่ได้เกรี้ยวโกรธแต่อย่างใด เพียงแค่ตรัสอย่างจนใจว่า “แม่ของเจ้ารักเจ้ามาก เราเองก็ไม่ได้สั่งสอนเจ้าให้ดี...เมื่อก่อนมองแต่ว่าเจ้าไม่รู้ความ แต่ถึงเวลาควรบอกเรื่องนี้กับเจ้าได้แล้ว”
“เสด็จพ่อทรงเงียบไปเลย!” ทันใดนั้นหรงจังก็ร้องแหวเสียงสูงมองฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตาเขม็ง
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เลิกคิ้วด้วยสีหน้าราบเรียบ ในเมื่อเป็นฮ่องเต้มาหลายสิบปี ต่อให้หรงจังจะคิดหาอุบายอย่างยากลำบากมาหลายปี แต่หากว่ากันด้วยเรื่องความน่ายำเกรงกลับสู้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไม่ได้เลยสักนิด
เห็นได้ชัดว่าการตายของพระสนมเหมยเป็นบาดแผลเจ็บปวดที่มิอาจแตะต้องได้ ครั้นได้ยินเช่นนั้นแม้แต่ความเกรงกลัวที่เคยมีต่อฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก่อนหน้านี้ก็ยังถูกโยนทิ้งไปจนสิ้น แววตาดุดันปนเคียดแค้นในดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปทางฮ่องเต้แคว้นเย่ว์
ทว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กลับไม่สนใจเขาเลยสักนิด เพียงแค่มองหรงจิ่นแล้วตรัสว่า “ตอนนั้นหลังจากที่แม่ของเจ้าตั้งครรภ์เจ้าแล้วก็ใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบมาโดยตลอด กระทั่งหรงจังส่งคนลอบเข้ามาในวังติดต่อกับนาง สั่งให้นางแอบใส่ยาพิษลงไปในชาที่เราดื่มทุกวัน อีกทั้งยังให้คำมั่นสัญญาว่าหากวันหน้าเขาขึ้นครองราชย์แล้วก็พร้อมยินดีแต่งตั้งแม่ของเจ้าขึ้นเป็นฮองเฮา หลังจากนั้น…” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็ส่ายศีรษะพลันถอนหายใจตรัสว่า “แม่ของเจ้าถ่วงเวลาจนให้กำเนิดเจ้าแล้วก็ยังไม่ลงมือสักที สุดท้ายจนใจเลยกลืนยาพิษลงไปเสียเอง”
“ข้าบอกให้ท่านหุบปาก! ข้าไม่ได้บีบบังคับซีเอ๋อร์ ข้าไม่ได้ทำ!” หรงจังตวาดใส่ด้วยความโกรธ ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจนกระโจนเข้าใส่โดยไม่คิดสนใจใดๆ ทั้งสิ้น ถึงแม้หลายปีมานี้ร่างกายของเขาจะถูกทำลายจนแทบไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ครั้งวัยเยาว์หรงจังก็เคยเรียนวิทยายุทธมาบ้าง ไม่รู้ว่าในมือมีมีดสั้นอยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไร เขาพุ่งเข้าหาฮ่องเต้แคว้นเย่ว์อย่างรวดเร็ว
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์แค่นเสียงเบา ยกมือขึ้นอย่างว่องไวปานสายฟ้า ทว่าชั่วพริบตาเดียวมีดสั้นในมือของหรงจังก็ถูกเขาแย่งไปไว้ในมือได้ อีกทั้งร่างยังถูกสะบัดทิ้งลงพื้นด้วย
จู่ๆ หรงจังก็จะลอบสังหารฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เลยยิ่งทำให้เจี่ยงปินที่อยู่ด้านข้างตื่นตระหนก “ฝ่าบาท?”
“ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ยกมือขึ้นตรัสสีหน้าราบเรียบ “อย่าโวยวายไป เราไม่เป็นไร”
“แต่ฝ่าบาท…” เจี่ยงปินมองรอยเลือดที่ไหลรินออกมาจากมุมปากอย่างเป็นกังวล ครึ่งปีมานี้สุขภาพของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรุมโทรมลงอย่างรวดเร็ว บัดนี้แทบขยับมือไม่ไหว ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กลับไม่สนใจสักนิด เพียงแค่มองหรงจังที่ถูกเขาสลัดทิ้งลงพื้นอย่างเย็นชา เล่นมีดสั้นในมือแล้วตรัสว่า “ลำพังแค่เจ้าจะคิดลอบฆ่าเราอย่างนั้นหรือ ไม่รู้จักประมาณตนเอาเสียเลย”
“จิ่นเอ๋อร์ ฆ่าเขาเสีย!” นัยน์ตาหรงจังมีประกายความดุดันพาดผ่าน ทันใดนั้นก็เอ่ยกับหรงจิ่นที่นั่งอยู่ด้านข้าง
หรงจิ่นยกมือขึ้น มีดซิวหลัวปรากฏขึ้นในมือ จับจ้องมีดสั้นที่วิจิตรงดงามอย่างจดจ่อ หรงจิ่นเลิกคิ้วเอ่ยถาม “ทำไมเล่า”
หรงจังกัดฟันเอ่ย “เขาเป็นคนทำร้ายแม่ของเจ้า ฆ่าเขาเพื่อแก้แค้นแทนแม่ของเจ้า!”
หรงจิ่นเงยหน้าขึ้น เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าไม่เคยเห็นหน้าเสด็จแม่ แต่…ท่านสองคนตายไปพร้อมกันก็ได้นี่นา ในเมื่อพวกท่านก็รักนางกันทั้งคู่ ไปอยู่กับนางพร้อมกันเลยเป็นอย่างไรเล่า”
มีลูกชายที่บงการอะไรไม่ได้นับว่าไม่ใช่เรื่องดีเลยจริงๆ เวลานี้หรงจังนึกเสียใจที่ปล่อยปละละเลยหรงจิ่นมาตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้เขาไม่ฟังคำพูดของใครเลยทั้งสิ้น ต่อให้หมากกระดานนี้จะสมบูรณ์แบบเพียงใด หากหมากไม่ฟังคำสั่งก็คงต้องจบสิ้นอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ราวกับฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ได้ฟังเรื่องน่าขันมากก็มิปานเลยระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ “ฮ่าๆ สมแล้วที่เป็นลูกข้า น่าสนใจดีนี่…จิ่นเอ๋อร์ ตอนนี้เราชักไม่อยากตายแล้วสิ เราอยากเห็นนักว่า…เมืองหลวงแคว้นเย่ว์ในวันข้างหน้าจะกลายเป็นเช่นใดบ้าง”
“เจี่ยงปิน เจ้าไปหยิบสาสน์สั่งเสียของเรามาเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เจี่ยงปินรีบไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กลับมาพร้อมสาสน์สั่งเสียสีเหลืองอร่ามในมือ ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์รับมาแล้วกวักมือเรียกหรงจิ่นมาหาด้วยรอยยิ้ม เอ่ยตรัส “จิ่นเอ๋อร์ มาดูสิว่าเราเลือกเป็นอย่างไรบ้าง”
หรงจิ่นลุกขึ้นเดินไปหา มองสาสน์สั่งเสียในมือของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์แวบหนึ่ง ขมวดคิ้วพลางคว้าหมับกลับมา เส้นไหมที่ถักทออย่างดีแหลกกระจุยในมือของเขาในชั่วพริบตา ทว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กลับไม่โมโหเลยสักนิด ยิ้มตรัส “ทำไมเล่า จิ่นเอ๋อร์ไม่ชอบหรือ เราทิ้งของไว้ให้เจ้าไม่น้อยเลย”
“ไม่มีตำแหน่งฮ่องเต้ ข้าจะเอาของพวกนั้นไปทำอันใดได้ ตายยังไม่เร็วพอหรืออย่างไรกัน” หรงจิ่นเบะปากกล่าว ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มองเขาอย่างระอาใจ “ผิดที่เมื่อก่อนเรามองข้ามไป จิ่นเอ๋อร์…เจ้าเองก็รู้ ต่อให้เราสั่งเสียให้เจ้าสืบทอดตำแหน่งต่อ เจ้าก็ขึ้นครองบัลลังก์ไม่ได้อยู่ดี” จุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหรงจิ่นก็คือเขาไม่มีขุนนางในราชสำนักและทหารคอยหนุนหลัง เดิมทีตนคิดจริงๆ ว่าหากตัวเองตายไปก็จะพาเจ้าเด็กนี่ไปพร้อมกันด้วย ทว่าไม่รู้ว่าเหตุใดพอยามเผชิญความตายขึ้นมาจริงๆ กลับใจอ่อนเสียได้ หากให้เวลาเขาอีกสองปี หรงจิ่นต้องขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้อย่างมั่นคงแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้…ยังขอยืนยันคำเดิมว่ารากฐานยังเปราะบางเกินไปนัก
“เขียนใหม่!” หรงจิ่นขมวดคิ้วกล่าว “จะตายอยู่รอมร่อยังมัวแต่พูดเรื่องไร้สาระอยู่ได้ วันหน้าจะเป็นเช่นไรก็เรื่องของข้า”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์อดคลี่ยิ้มบางไม่ได้ “เจ้าไม่กลัวเราโมโหเลยจริงๆ หรือ”
หรงจิ่นยิ้มเย็นชา “เสด็จพ่อคิดว่าข้ากำลังล้อเล่นแกล้งกระฟัดกระเฟียดใส่อย่างนั้นหรือ ข้า…กำลังขู่เสด็จพ่อต่างหาก” ภายในพระตำหนักที่แสนอบอุ่นในเดิมทีก็ผุดกลิ่นอายเย็นยะเยือกเข้ามาแทนที่ เจี่ยงปินจับจ้องมีดสั้นวิจิตรงามตาที่เหมือนของเล่นในมือของอวี้อ๋องด้วยท่าทีหวาดผวา หากองค์ชายเก้าไม่ทันระวังเผลอแทงฝ่าบาทขึ้นมาจริงๆ ละก็
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เลิกคิ้วยิ้มตรัส “จิ่นเอ๋อร์เจ้าก็ไม่ใช่เด็กใสซื่อ เจ้าคิดว่าหากถือสาสน์สั่งเสียของเราออกไปแล้วพวกพี่น้องด้านนอกเหล่านั้นของเจ้าจะยอมให้เจ้าขึ้นเป็นฮ่องเต้อย่างว่าง่าย?”
หรงจิ่นยิ้มบางกล่าว “จะยอมอย่างว่าง่ายหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่…เกรงว่าตอนนี้พวกเขาคงทำได้แค่ยอมฟังคำสั่งอย่างว่าง่ายแล้ว” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ผงะไป ไม่นานก็ผุดนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้ “เจ้าคุมกองกำลังองครักษ์อวี่หลินได้แล้วอย่างนั้นหรือ ใครกัน…ตงฟังซวี่?”
หรงจิ่นยิ้มเยาะแค่นเสียงเบาแต่ไม่ได้ตอบกลับอะไร ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรัส “ต่อให้เจ้าคุมกองกำลังองครักษ์อวี่หลินได้ แต่ยังมีกองทัพประจำการเมืองหลวง กองทัพเจี้ยนรุ่ยและกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อที่อยู่นอกเมืองอีก หรือเจ้ารวบรวมมาไว้ในมือได้หมดแล้วหรือ”
หรงจิ่นมองหรงจังตรงหน้าด้วยท่าทีเย็นชา “มีคนไปช่วยขวางกองทัพเจี้ยนรุ่ยของหนานกงเจวี๋ยแทนข้าแล้วมิใช่หรือ ท่านว่า…ทั้งเว่ยอู๋จี้ทั้งเนี่ยอวิ๋นจะขวางทางหนานกงเจวี๋ยไว้ได้หรือไม่เล่า เสด็จพ่อ…ท่านว่าชิงชิงของข้าจะขวางเว่ยอู๋จี้ได้หรือไม่”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์พยักหน้าตรัส “เป็นความคิดที่ดี ไม่ต้องเสียแรงมากก็สามารถขวางสองกองกำลังไว้ได้”
หรงจิ่นยิ้มเหมือนเด็กน้อยที่ได้ใจก็มิปาน “ไม่เพียงเท่านี้ แต่ชิงชิงยังยืมคนของเว่ยอู๋จี้มาได้ด้วย แบบนี้…ด้วยสถานะผู้ว่าการเฟิ่งเทียนที่คิดไม่ถึงนี้….กองทัพประจำการเมืองหลวงคงยอมศิโรราบบ้างกระมัง”
“เจ้าไม่คิดหรือ หากหลังจบเรื่องแล้วกองทัพเจี้ยนรุ่ยและกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อเกิดวุ่นวายขึ้นมาจะทำเช่นใด” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เลิกคิ้วตรัสถาม หรงจิ่นยกยิ้ม “ลูกยังเตรียมทหารห้าหมื่นนายและกองทัพม้าอีกหมื่นนายไว้นอกเมืองอีก เสด็จพ่อคิดว่าพอหรือไม่”
เวลานี้แม้ว่าจะเป็นฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็ยังพลอยสีหน้าเปลี่ยนไปด้วย เงยหน้ามองบุรุษหนุ่มหล่อเหลาตรงหน้า พยักหน้าตรัส “สามารถนำกองทัพหกหมื่นนายเข้ามาในเมืองหลวงโดยไม่มีใครรู้ใครเห็นเช่นนี้ได้ ดูท่าทางเราจะดูแคลนเจ้าเกินไปจริงๆ หากตอนนี้เราถามเจ้าว่าไปเอากองทัพเหล่านี้มาจากที่ใด เจ้าคงไม่ตอบเรากระมัง ดูท่าแล้วเจ้าไปเมืองเผิงครั้งก่อนคงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์มาได้ไม่น้อยทีเดียว”