ภายในพระตำหนัก ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กำลังนอนมองบุรุษรูปงามที่นั่งอยู่ข้างเตียงตนเองอย่างสงบ ทันใดนั้นก็ค่อยๆ ผุดประกายแสงอบอุ่นในแววตาขึ้นมาราวกับเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นได้ฉับพลัน จากนั้นก็กุมมือของหรงจิ่นไว้แล้วตรัสเสียงเบา “จิ่นเอ๋อร์ เจ้าจำไว้ว่าเจ้าคือหรงจิ่น คือองค์ชายเก้าลูกของเรา และจะเป็นไปตลอดชั่วชีวิต”
หรงจิ่นมุ่นคิ้วเล็กน้อยแล้วพยักหน้านิ่งๆ
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เผยรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากก่อนจะหยิบขวดเล็กๆ ออกมาจากอกอย่างยากลำบาก “นี่คือยาชะล้างหยก…เดิมทีก็ควรมอบให้เจ้าอยู่แล้ว แต่…เจ้าจำไว้ เจ้าจะใช้สิ่งนี้อีกไม่ได้แล้ว” ครั้งวัยเยาว์หรงจิ่นเคยกินไปครึ่งหนึ่ง วันหน้าไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น อีกครึ่งเม็ดที่เหลือไม่มีผลใดต่อเขาอีกต่อไป หากกินทั้งเม็ดละก็คงไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย
เดิมทีเขาก็ไม่ได้คิดจะกินเองอยู่แล้ว หรงจิ่นพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจ ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กุมขวดเล็กในมือไว้ ตรัสเสียงเบา “จิ่นเอ๋อร์ไม่รู้หรอกว่า…ตอนนั้นต้องใช้เลือดของน้องสาวเจ้าปรุงยานี้ออกมา เพียงแต่น่าเสียดาย…” เพียงแต่น่าเสียดายอะไรนั้น ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กลับตรัสไม่หมด แต่หรงจิ่นก็พอจะเดาได้ ยาชะล้างหยกถูกหลอมขึ้นสี่เม็ด ตอนนั้นเขากินไปแค่ครึ่งเม็ดเท่านั้น ทว่าบัดนี้กลับเหลือแค่สองเม็ดครึ่ง อีกเม็ดหนึ่งต้องถูกใครกินไปอย่างแน่นอน
ทว่าสิ่งที่เรียกความสนใจจากหรงจิ่นกลับเป็นน้องสาวที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรัสถึง หรงจิ่นจับจ้องขวดในมือของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์แน่นิ่ง เขาเองก็เกิดช่วงกิ่งฟ้าสิบ[1] ประจวบกับยาชะล้างหยกถูกปรุงขึ้นในปีนั้นพอดี ดังนั้นยามที่มั่วเวิ่นฉิงกล่าวถึงช่วงเวลาที่ปรุงยาชะล้างหยกนี้ถึงชวนให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีน้องสาวฝาแฝดคนหนึ่งด้วยจริงๆ ที่แท้ยาเม็ดเล็กๆ นี้ก็เกิดจากการเสียสละชีวิตของเด็กทารกน้อยที่เพิ่งเกิดได้ไม่นานคนหนึ่ง ไม่แปลกใจที่มั่วเวิ่นฉิงถึงบอกว่าผิดกฎธรรมชาติ จะเป็นการเอาเลือดไม่กี่หยดง่ายดายแค่นั้นได้อย่างไรกัน
“เสด็จพ่อไม่คิดเสียใจบ้างหรือ” หรงจิ่นเอ่ยถามพลางมองหน้าเขา
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เลิกคิ้วตรัส “เสียใจหรือไม่น่ะหรือ เหตุใดเราต้องเสียใจด้วย หากไม่ใช่เพราะเจ้านี่…แม่ของเจ้าคงตายไปนานแล้ว หากไม่ใช่เพราะยานี้ ครานั้นก็คงช่วยชีวิตเจ้าไว้ไม่ได้ ถึงแม้…เราจะอยากเห็นลูกสาวที่หน้าตาคล้ายซีเอ๋อร์ว่าจะเป็นเช่นใดบ้างก็ตาม แต่…หากเพื่อชีวิตของซีเอ๋อร์แล้ว ไม่ว่าอะไรก็ย่อมเสียสละได้ทั้งนั้น” เพียงแต่น่าเสียดายที่ซีเอ๋อร์ไม่ได้ดวงดีเหมือนจิ่นเอ๋อร์ ถึงแม้จะช่วยถ่วงเวลาได้บ้างแต่ก็ไม่ทันหมอเทวดามาถึงอยู่ดี
“หากกินยาชะล้างหยกเข้าไปจะช่วยยืดอายุได้หนึ่งปี แต่เสด็จแม่ของข้าอยู่ได้ไม่ถึงสามเดือนก็ไปแล้ว ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าเป็นเพราะเหตุใด” แม้แต่คนเย่อหยิ่งอย่างองค์ชายเก้ายังอดแสดงท่าทีขยะแขยงขึ้นมาไม่ได้ ครั้นมองของที่บรรจุอยู่ภายในขวดเล็กกะทัดรัดก็เผยท่าทีเหมือนเห็นสิ่งสกปรกที่น่ารังเกียจมากก็มิปาน
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สีหน้าเปลี่ยน เผยสีหน้าบิดเบี้ยวครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ผ่อนลมหายใจ “พูดตอนนี้แล้วจะมีประโยชน์อันใด เจ้าเป็นคนนิสัยประหลาดหัวรั้น วันหน้าดูแลตัวเองให้ดีเถิด เราว่า…มู่ชิงอีก็ไม่เลวเหมือนกัน จิ่นเอ๋อร์สายตาหลักแหลมเหมือนเรานัก เพียงแต่น่าเสียดาย…ซีเอ๋อร์ไม่ได้เจ้าแผนการและมีความอดทนเหมือนมู่ชิงอี”
หรงจิ่นอยากพูดว่าข้าสายตาหลักแหลมมากกว่าท่านเสียอีก แต่พอเห็นสีหน้าซีดเซียวซูบผอมของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์แล้ว สุดท้ายเลยเงียบไปไม่พูดอะไร
ถึงแม้พวกเขาสองคนด้านในจะสนทนากันไม่มีหยุด ทว่าคนด้านนอกกลับไม่ได้ยินเสียงใดเลยอย่างน่าประหลาด ทุกคนทำได้แค่มองหรงจิ่นนั่งแน่นิ่งอยู่หน้าเตียงผ่านฉากกั้นลมเช่นนั้น
จวนผู้ว่าการเฟิ่งเทียน
“รายงานคุณชาย ได้รับสัญญาณจากท่านอ๋องแล้วขอรับ” มีร่างเงาดำฝีเท้าเบาโผล่มากลางจวนพร้อมเอ่ยขึ้นเสียงเคร่งขรึม
มู่ชิงอีพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ลุกขึ้นเอ่ย “ไปจวนผู้บัญชาการทหารประจำเมืองหลวงเป็นเพื่อนข้าหน่อยเถิด”
“ขอรับคุณชาย”
เมืองหลวงถูกปกคลุมด้วยค่ำคืนอันมืดมิด ถึงแม้ผู้คนนอกเมืองจะเงียบสงบเฉกเช่นยามปกติ แต่หากจะบอกว่าคนในเมืองที่สามารถนอนหลับได้ภายใต้แสงไฟเปิดไฟสว่างไสวเช่นนี้คงมีไม่มากนัก ประตูเมืองระหว่างด้านในและนอกเมืองถูกปิดสนิท ดังนั้นพอองครักษ์เฝ้าประตูเห็นกลุ่มคนโผล่มาท่ามกลางความมืดมิดเลยนึกระหวาดระแวงขึ้นมาทันที
“ใครกัน”
ด้านล่างกำแพงเมือง อู๋ซินยกป้ายสีทองในมือขึ้นแล้วเอ่ยเสียงขรึม “ผู้ว่าการเฟิ่งเทียนใต้เท้ากู้ ฝ่าบาททรงรับสั่งให้แม่ทัพจวนบัญชาการทหารประจำเมืองหลวงเข้าเฝ้า”
องครักษ์ชั่งใจครู่หนึ่งกล่าว “คืนนี้ท่านแม่ทัพออกไปลาดตระเวนนอกเมืองแล้ว”
อู๋ซินหัวเราะเสียงเย็นชาก่อนเอ่ยอย่างหงุดหงิดใจ “พวกเราย่อมรู้อยู่แล้วว่าท่านแม่ทัพออกไปนอกเมือง นี่ก็จะไปหาเขามิใช่หรือ ยังไม่เปิดประตูอีก” ภายในเมืองหลวงเป็นถิ่นของกำลังทหารอวี่หลิน กำลังหลักอย่างแม่ทัพใหญ่ประจำเมืองหลวงล้วนอยู่นอกเมือง เพื่อคอยรับหน้าที่คุ้มกันบริเวณประตูเมืองทั้งสี่ด้านนอกเมือง
ด้านบนมีคนวิ่งลงมาอย่างรวดเร็ว เขามองแวบหนึ่งจนแน่ใจว่าเป็นใต้เท้ากู้บุรุษรูปงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวงจริงๆ แล้วถึงตรวจดูป้ายคำสั่งสีทองว่าเป็นของจริงหรือไม่ก่อนจะรีบเปิดประตูปล่อยพวกเขาไป มู่ชิงอีพากลุ่มคนเดินออกประตูเมืองมา จากนั้นก็มองอู๋ฉิงและปู้อวี้ถังที่อยู่ข้างกายนางแวบหนึ่ง พวกเขาสองคนพยักหน้าเล็กน้อย มู่ชิงอียกยิ้มแผ่วเบา จากนั้นก็เดินผ่านประตูเมืองมุ่งหน้าออกไปยังนอกเมือง
ด้านบนกำแพงประตูนอกเมืองฝั่งตะวันออก เสิ่นติ้งอู่แม่ทัพบัญชาการทหารเมืองหลวงเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายใจ พลางทอดสายตามองออกไปนอกเมืองเป็นระยะๆ ทั้งๆ ที่คุณชายเว่ยบอกไว้แล้วว่าจะนำกองกำลังเสินเช่อเข้าเมืองทางประตูเมืองฝั่งตะวันออก เหตุใดเวลานี้ยังไม่เห็นเงาใครโผล่มาเลยสักคน
เสิ่นติ้งอู่รู้ความสำคัญของเรื่องคืนนี้ดี หากไม่ระวังอาจได้รับโทษประหารยกครัวได้เลย แต่ถึงอย่างไรขุนนางย่อมเปลี่ยนไปตามฮ่องเต้ ตำแหน่งแม่ทัพบัญชาการเมืองหลวงสำคัญมาก หากไม่ยืนอย่างมั่นคงตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่ว่าใครจะได้ขึ้นครองราชย์ต่อก็อย่าได้หวังว่าเขาจะได้นั่งในตำแหน่งนี้เลย มีฮ่องเต้คนใดไม่อยากดึงเมืองหลวงมาไว้ในมือของตนเองบ้างเล่า
เสิ่นติ้งอู่ก็ไม่รู้เช่นกันเพราะเหตุใดตนถึงถูกคุณชายเว่ยพูดโน้มน้าวให้เข้าข้างองค์ชายสามที่เหมือนจะไร้วี่แววผู้นี้เสียได้ บางทีคุณชายเว่ยอาจจะกำหนดไว้ตั้งแต่ช่วยใช้หนี้ก้อนโตแทนเขาเมื่อปีก่อนก็เป็นได้ เพียงแต่หวังว่า…แผนการของคุณชายเว่ยกับองค์ชายสามจะสำเร็จลุล่วงด้วยดี หากเป็นเช่นนี้ไม่แน่เขาอาจจะพลอยได้คุณงามความดีไปด้วยก็ได้
“บ้าเอ๊ย! บอกว่าคืนนี้ให้ระวังมิใช่หรือ เหตุใดถึงมีคนออกเมืองมาได้อีก” พอหันไปก็เห็นไฟที่อยู่ไม่ไกลนักกำลังเดินโค้งมาทางนี้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีจำนวนคนไม่น้อย เสิ่นติ้งอู่จึงเอ่ยขึ้นอย่างหัวเสีย
“ข้าจะรีบส่งคนไปถามขอรับ!” รองแม่ทัพข้างกายตกใจกับท่าทีโมโหที่แตกต่างไปจากวันปกติ จากนั้นก็รีบส่งคนไปถามทันที สักพักคนที่ลงไปก็กลับมากล่าวรายงานว่า “รายงานท่านแม่ทัพ เป็นใต้เท้ากู้ผู้ว่าการเฟิ่งเทียนขอรับ บอกว่าฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ออกไปทำธุระนอกเมือง”
“ผู้ว่าการเฟิ่งเทียน กู้หลิวอวิ๋น?” เสิ่นติ้งอู่ขมวดคิ้วมุ่นแล้วเอ่ยอย่างคลางแคลงใจว่า “ดึกขนาดนี้แล้วเขาจะไปทำอันใดอีก ทั้งๆ ที่ได้ยินมาว่าฝ่าบาททรงประชวรหนักจนแทบไม่ไหว พระองค์จะทรงรับสั่งให้ผู้ว่าการเฟิ่งเทียนตัวเล็กๆ คนหนึ่งออกไปทำธุระอะไรได้”
“บอกให้เขากลับไป รอฟ้าสว่างก่อนค่อยว่ากัน” พอขบคิดดูแล้วเสิ่นติ้งอู่ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ท่านแม่ทัพเสิ่นช่างเหิมเกริมนัก หากจัดการเรื่องของฝ่าบาทล่าช้าแล้วจะรับผิดชอบไหวหรือ” เสียงใสกังวานดังขึ้นด้านหลัง ตรงบันไดกำแพงเมืองปรากฏหนุ่มน้อยชุดขาวพร้อมชุดคลุมสีขาวกำลังเดินขึ้นมาอย่างช้าๆ เพราะยังมีละอองฝนโปรยปราย ในมือของหนุ่มน้อยจึงถือร่มกระดาษลายภูเขาแม่น้ำไอหมอกสีขาวไว้ในมือ
เสิ่นติ้งอู่ลอบแค่นเสียงเย้ยหยันอย่างดูแคลน ช่างเป็นเด็กน้อยที่อ่อนแอเสียจริงๆ แค่ฝนปรอยๆ เช่นนี้ยังกางร่มอีก!
[1]กิ่งฟ้าสิบ ราศีตามตำราจีนโบราณที่แบ่งออกเป็นครึ่งท่อนบนล่าง โดยมีกิ่งฟ้าสิบและก้านดินสิบสอง ซึ่งกิ่งใหญ่กว่า มีพลังบริสุทธิ์มากกว่าก้าน ฉะนั้นกิ่งจะเป็นหยางและก้านเป็นหยิน ความหมายเปรียบดั่งฟ้าที่อยู่คู่ดิน