ครั้นเห็นหนุ่มน้อยชุดขาวที่วางตัวสูงส่งตรงหน้ากางร่มเช่นนั้น เสิ่นติ้งอู่ก็พลันรู้สึกดูแคลนหนุ่มน้อยผู้ว่าการที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วทั้งเมืองหลวงมาตลอดครึ่งปีนี้เล็กน้อย
“ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว เหตุใดใต้เท้ากู้ไม่พักผ่อนอยู่ในจวนดีๆ แต่ออกนอกเมืองมาเช่นนี้เล่า” เสิ่นติ้งอู่เลิกคิ้วกล่าว
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบาง “ดึกดื่นป่านนี้แล้วแต่ท่านแม่ทัพเสิ่นก็อยู่ตรงนี้เหมือนกันมิใช่หรือ หากฝ่าบาททรงทราบว่าท่านแม่ทัพเสิ่นตั้งใจทำงานขนาดนี้คงชื่นชมมากเป็นแน่” ครั้นเสิ่นติ้งอู่นึกถึงเป้าหมายในคืนนี้ก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ ยิ่งเห็นคนที่อยู่ด้านหลังมู่ชิงอีดูไม่เหมือนองครักษ์ธรรมดาๆ อย่างเห็นได้ชัด ภายในใจก็รู้สึกหวาดระแวงขึ้นมา สายตาสอดส่องไปทางด้านหลังมู่ชิงอี “นี่อยู่ในหน้าที่รับผิดชอบของข้า ใต้เท้ากู้พาคนมากมายมาที่นี่ในเวลาดึกดื่นเช่นนี้หมายความอย่างไรกันแน่”
มู่ชิงอีหยิบป้ายคำสั่งสีทองในมือขึ้นมา เอ่ยเสียงเรียบ “ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้ท่านแม่ทัพเสิ่นเปิดประตูเมือง”
แม้เสิ่นติ้งอู่จะตกใจแต่ก็เอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว “เลิกคิดไปได้เลย ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าป้ายสีทองนี้เป็นของจริงหรือของปลอม”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ต่อให้ข้าจะใจกล้าบ้าบิ่นเพียงใดก็มิบังอาจปลอมป้ายสีทองนี้กระมัง ในเมื่อท่านแม่ทัพเห็นป้ายสีทองชัดเจนเช่นนี้แล้ว แต่ก็ยังจะไม่เปิดประตูจริงๆ น่ะหรือ”
เสิ่นติ้งอู่จ้องป้ายคำสั่งที่เขียนว่า ‘ดั่งเรามาเอง’ ตาเขม็งพลางลังเลใจ เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าป้ายคำสั่งนี้เป็นของจริง แต่เขารู้ว่าอวี้อ๋องเองก็มีป้ายสีทองเช่นนี้ติดตัวด้วยเช่นกัน หากป้ายสีทองของกู้หลิวอวิ๋นตรงหน้าเป็นชิ้นของอวี้อ๋องแต่ไม่ใช่ชิ้นที่ฝ่าบาททรงประทานให้เล่า…
“ดึกจนป่านนี้แล้ว ไม่ทราบว่าใต้เท้ากู้จะออกนอกเมืองไปทำอะไรหรือ” เสิ่นติ้งอู่ถามหยั่งเชิง
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางกล่าว “ข้าไม่ออกนอกเมือง แต่รบกวนท่านแม่ทัพเสิ่นปล่อยคนไม่กี่คนเข้ามาด้วยเถิด”
“เห็นที…ต้องขออภัยที่ข้าคงทำให้ไม่ได้” เสิ่นติ้งอู่เอ่ยเสียงขรึม “ความปลอดภัยของเมืองหลวงเกี่ยวข้องกับฝ่าบาทและความปลอดภัยของแคว้นเย่ว์ หากใต้เท้ากู้อยากออกเมืองในเวลาดึกดื่นเช่นนี้ ข้าอาจจะพอผ่อนปรนได้บ้าง แต่หากจะพาคนเข้ามา…มิได้เด็ดขาด!”
มู่ชิงอีหัวเราะเสียงเบา เอ่ยเสียงเย้ยหยัน “ท่านแม่ทัพเสิ่นรอจนมืดค่ำเช่นนี้ก็ไม่ใช่เพื่อรอปล่อยคนเข้าเมืองหรอกหรือ เวลานี้พอคนมาแล้วแต่ดันไม่เปิดประตูเมือง เป็นเพราะอะไรกันเล่า”
“อะไรนะ เจ้า…” เสิ่นติ้งอู่รู้สึกชาวาบในใจ เงยหน้าจ้องมู่ชิงอีด้วยสายตาขึงขัง ในขณะเดียวกันข้างขวาก็กุมดาบตรงเอวไว้
ถึงแม้เขาจะว่องไวเพียงใดกระนั้นมีคนว่องไวมากกว่าเขาอยู่ดี ดาบในมือของเขายังไม่ทันได้ชักออกมา ดาบยาวเปล่งแสงวิบวับด้ามหนึ่งก็จ่อมาที่คอของเขาแล้ว กระทั่งอีกฝ่ายชักดาบออกมาเช่นไรเขาก็ยังเห็นไม่ชัดด้วยซ้ำ
จากนั้นก็เห็นบุรุษชุดดำที่เดิมทียืนอยู่ด้านหลังหนุ่มน้อยชุดขาวห่างไปไม่กี่ก้าว แต่เวลานี้กลับมาประชิดข้างกายพลางจ่อดาบมาที่คอตนเสียแล้ว เสิ่นติ้งอู่รู้สึกเพียงเม็ดเหงื่อบนหน้าผากไหลรินลงมาทีละหยด
“พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกัน” เสิ่นติ้งอู่เอ่ยเสียงแข็ง
มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “เปิดประตูเมือง แล้วเอาป้ายคำสั่งทหารของกองกำลังป้องกันเมืองหลวงมาให้ข้าเสีย”
ในที่สุดเสิ่นติ้งอู่ก็สีหน้าเปลี่ยน “เหิมเกริมยิ่งนัก เป็นแค่ผู้ว่าการเฟิ่งเทียนตัวเล็กๆ แต่บังอาจแก่งแย่งอำนาจทหารของกองกำลังป้องกันเมืองหลวง เจ้าคิดจะก่อกบฏอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอีคลี่ยิ้ม “ท่านแม่ทัพเสิ่นรออยู่ที่นี่ดึกดื่นขนาดนี้ก็ไม่ใช่เพื่อ…หืม?”
เสิ่นติ้งอู่ไร้ซึ่งคำตอบโต้ เพียงแค่กัดฟันแน่นเอ่ย “ข้าเป็นแม่ทัพบัญชาการกองกำลังป้องกันเมืองหลวงที่พระองค์ทรงแต่งตั้งให้ เจ้าเลิกคิดไปได้เลย!”
มู่ชิงอีถอนหายใจ จากนั้นก็ยกมือลูบปลายดาบที่เซี่ยซิวจู๋จ่ออยู่บนคอของเสิ่นติ้งอู่แล้วกล่าวด้วยท่าทีเสียดาย “ถึงแม้บอกว่าคืนนี้คงหลีกเลี่ยงความโกลาหลได้ยาก แต่ข้าก็ไม่อยากเห็นเลือดเลยจริงๆ ในเมื่อท่านแม่ทัพดึงดันเช่นนี้ ข้าคงต้องช่วยทำให้ท่านสมหวังเสียแล้ว ฆ่าเถิด”
“เจ้า!” เสิ่นติ้งอู่ทันพูดแค่คำว่าเจ้าคำเดียว จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บแปล๊บที่ลำคอก่อนตามมาด้วยเสียงดัง ฟึ่บ! เซี่ยซิวจู๋ไม่แม้แต่ขยับดาบก็บั่นคอของเขาขาดเสียแล้ว
หลังจากมู่ชิงอีรับป้ายคำสั่งจากเซี่ยซิวจู๋มาไว้ในมือแล้วก็มองรองแม่ทัพและพลทหารเฝ้าประตูเมืองไม่กี่คนที่รีบวิ่งตามเสียงมาอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าคงคิดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าสังหารแม่ทัพบัญชาการประจำเมืองหลวงอย่างเปิดเผยในสถานที่แบบนี้ ชั่ววินาทีนั้นพวกเขาต่างก็ทำอะไรไม่ถูก
มู่ชิงอียกป้ายคำสั่งของฝ่าบาทในมือขึ้น เอ่ยเสียงเรียบ “ข้ากระทำหน้าที่ตามพระราชโองการ แต่เสิ่นติ้งอู่ดึงดันที่จะขัดขวาง ข้าเลยต้องจัดการอย่างไร้ความปรานี ทุกคนยังคิดดึงดันทำตามความคิดของตนเองเหมือนท่านแม่ทัพเสิ่นด้วยหรือไม่”
เมื่อรองแม่ทัพและพลทหารไม่กี่นายเผชิญกับสายตาเย็นยะเยือกของเซี่ยซิวจู๋และคนมากมายด้านหลังมู่ชิงอีแล้วก็อดตัวสะท้านเฮือกไม่ได้ จากนั้นก็มองป้ายคำสั่งในมือของมู่ชิงอีแล้วก้มศีรษะลงอย่างรู้กาลเทศะ “ใต้เท้ากู้โปรดรับสั่งมาเถิด”
มู่ชิงอีพยักหน้าอย่างพึงพอใจ คนพวกนี้คิดอะไรอยู่นางย่อมรู้ดี ในเมื่อนางมีป้ายสีทองในมือ คนพวกนี้ย่อมต้องฟังคำสั่งนางอยู่ดี ต่อให้ภายหลังจะเกิดเรื่องใดขึ้นพวกเขาก็สามารถอ้างได้ว่าเพราะป้ายสีทองของฝ่าบาทในมือนางทำให้พวกเขาต้องฟังคำสั่ง แต่นางไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ เวลานี้นางไม่มีเวลามากมายมากำราบคนพวกนี้ ขอแค่ตอนนี้พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งนางก็พอ รอหลังจากเรื่องคืนนี้จบลง คนพวกนี้ย่อมยอมศิโรราบเอง
“ดีมาก ตอนนี้…เปิดประตูเมืองเถิด” มู่ชิงอีเอ่ยสั่ง
“ขอรับ”
รองแม่ทัพออกปากสั่ง ประตูเมืองก็ค่อยๆ ถูกเปิดออกท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด คนที่แอบซ่อนตัวอยู่นอกเมืองตอนแรกพอเห็นสัญญาณก็รีบพุ่งทะลักเข้ามาทางเมืองหลวง ไม่นานก็เข้ามาอยู่ในเมืองเรียบร้อย
“ใต้เท้ากู้ แบบนี้จะไม่เป็นไรแน่หรือ” ครั้นรองแม่ทัพเห็นกองทัพทหารม้าพุ่งเข้าเมืองมาเช่นนั้นก็อดเอ่ยอย่างหวาดกลัวไม่ได้ เขาคิดว่าคืนนี้ต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่นอน เห็นทีตอนนี้จะเกิดเรื่องแล้วจริงๆ
มู่ชิงอีอมยิ้มมองเขาแล้วกล่าว “ไม่ต้องกังวลไป หากเกิดเรื่องใดขึ้นข้าจะรับผิดชอบเอง ผ่านคืนนี้ไปไม่แน่รองแม่ทัพอาจจะเลื่อนขึ้นเป็นแม่ทัพก็ได้ แต่ตอนนี้…คงต้องขอให้รองแม่ทัพช่วยให้ความร่วมมือกับเซี่ยซิวจู๋ก่อน ทหารม้าป้องกันเมืองหลวงพวกนี้ขอมอบให้ท่านก็จัดการแล้วกัน”
เซี่ยซิวจู๋ขมวดคิ้วกล่าว “ไม่ได้ ข้าไปไหนไม่ได้” หากเซี่ยซิวจู๋รับช่วงดูแลกองกำลังทหารป้องกันเมืองหลวงต่อย่อมไม่มีปัญหาใดแน่นอน ต่อให้เขาไม่ถนัดเรื่องกลศึก แต่เขาก็มาจากตระกูลใหญ่โต เติบโตมากับการเป็นหัวหน้าองครักษ์วังหน้าและตระกูลแม่ทัพ แต่เรื่องคืนนี้วุ่นวายโกลาหล มู่ชิงอีไม่มีวิทยายุทธติดตัว ข้างกายขาดคนคุ้มกันไม่ได้เด็ดขาด
มู่ชิงอีเอ่ยอย่างจนใจ “ซิวจู๋ มีพวกอู๋ซินคอยปกป้องข้าอยู่ อีกไม่นานพวกเทียนซูก็กลับมาแล้ว แต่ทางนี้ขาดท่านไม่ได้จริงๆ อู๋ซินไร้ประสบการณ์ด้านนี้ เขาควบคุมไพร่พลและม้าขนาดนี้ไม่ไหวหรอก”
เซี่ยซิวจู๋เงียบไป จากนั้นก็มีเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นด้านหลัง “คืนนี้ข้าจะดูแลนางโดยที่เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลเลย”
ทุกคนหันหน้าไปมองอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นก็เห็นมั่วเวิ่นฉิงในชุดสีขาวโรยตัวลงมาบนกำแพงท่ามกลางความมืดอย่างรวดเร็ว สีหน้าราบเรียบกวาดตามองทุกคนแวบหนึ่ง สุดท้ายก็ดิ่งตัวลงข้างกายมู่ชิงอี ดังนั้นคนที่ถูกสายตาของเขากวาดมองต่างอดรู้สึกเหมือนถูกปลายดาบคมกริบกรีดผิวหนังไม่ได้ ทั้งเหน็บหนาวทั้งเจ็บปวด รีบก้มหน้าลงทันที
เซี่ยซิวจู๋มองมั่วเวิ่นฉิงก่อนหันไปมองมู่ชิงอี มู่ชิงอีฉีกยิ้มกว้างพร้อมประสานมือกล่าว “งั้นต้องขอรบกวนเจ้าสำนักมั่วแล้ว”
ได้ยินเช่นนั้น เซี่ยซิวจู๋ถึงยอมพยักหน้า ไม่ว่าจะเป็นความสามารถทางวิทยายุทธหรือนิสัย อย่างน้อยก็เชื่อใจมั่วเวิ่นฉิงได้ทั้งสิ้น มู่ชิงอีเอาป้ายคำสั่งทหารและป้ายสีทองมอบให้เซี่ยซิวจู๋ เอ่ยเสียงขรึม “ลำบากเซี่ยจู๋แล้ว”