เซี่ยซิวจู๋มองมู่ชิงอี สุดท้ายก็ทำได้แค่พยักหน้าแล้วไม่พูดอะไรต่ออีก
ทหารและม้าของเมืองหลวงจำนวนนับหมื่น ต่อให้จะระมัดระวังมากเพียงใดก็ย่อมสร้างความหวาดผวาให้ผู้คนอยู่ดี แต่ประชาชนนอกเมืองไม่มีความใคร่รู้ใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนเหล่าประชาชนที่อยู่ภายในเมืองหลวงกลับเข้าใจหลักการเอาตัวรอดได้เป็นอย่างดี เวลาเช่นนี้หากใคร่รู้มากเท่าไรก็จะยิ่งตายเร็วมากเท่านั้น
ขณะยืนตรงประตูทางเข้าวัง มั่วเวิ่นฉิงก็ใช้สีหน้าไม่สู้ดีจับจ้องหนุ่มน้อยชุดขาวที่ทั้งรูปงามและอ่อนโยนตรงหน้าด้วยแววตาซับซ้อน ถึงแม้หนุ่มน้อยที่กางร่มอยู่ท่ามกลางความมืดจะชวนให้รู้สึกอ่อนแอกว่าในยามปกติ แต่เขารู้ดีว่าหนุ่มน้อยที่ดูไร้พิษภัยตรงหน้าสามารถวางอุบายปั่นหัวคนได้เพียงในระยะเวลาอันสั้น กระทั่งทำให้เหล่าลูกหลานท่านอ๋องทั้งหลายที่ทะเยอทะยานวางมือไปเงียบๆ
“เจ้าจะเข้าไปจริงๆ หรือ” มั่วเวิ่นฉิงขมวดคิ้วเอ่ยถาม
มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ย “แน่นอน” ถึงแม้ข่าวคราวที่หรงจิ่นส่งมาจะสื่อว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมแล้ว แต่หากไม่ได้เห็นกับตาคงวางใจไม่ได้ นางอาจมอบหมายเรื่องนี้ให้ลูกน้องจัดการได้เช่นกัน แต่…มู่ชิงอียิ้มขมขื่น เวลานี้นางเพิ่งรู้ว่าตนไม่ใช่คนที่เก่งเรื่องการวางกลศึก ลำพังแค่จัดการเรื่องเบื้องหน้าเสร็จก็ใช่ว่าจะสำเร็จจริงๆ เสมอไป
เพราะภายในวังหลวงแห่งนี้มีคนๆ หนึ่งที่นางอาวรณ์หา นางไม่เข้าไปคงไม่ได้
มั่วเวิ่นฉิงมองนางเงียบๆ อยู่นานก่อนพยักหน้ากล่าว “ข้าเข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า” ถึงแม้ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงสามสิบปีตลอดชีวิตมานี้เขาจะเคยเจอผู้หญิงมามากมาย กระทั่งใบหน้างดงามหรือความสามารถเหนือใครมาไม่น้อย ทว่าแต่ไหนแต่ไรมามั่วเวิ่นฉิงไม่เคยเจอผู้หญิงแบบนี้เลย
ยามเป็นหญิงก็งดงามอ่อนช้อย สติปัญญาเฉียบแหลมว่องไว ยามเป็นบุรุษก็อ่อนโยนสง่างาม จัดการเรื่องใดล้วนไม่แพ้ผู้ชายเลย หากไม่ใช่เพราะเขามีฝีมือการรักษาอันยอดเยี่ยม เกรงว่ามั่วเวิ่นฉิงคงไม่สามารถมองตัวตนของมู่ชิงอีได้ทะลุปรุโปร่งง่ายดายขนาดนี้ สตรีที่เกิดมาจากตระกูลชื่อดังและฉลาดหลักแหลม โดดเด่นเหนือใคร กระทั่งได้ตำแหน่งองค์หญิงสถานะสูงส่ง เดิมทีนางควรจะเป็นเป้าหมายที่ใครต่อใครต่างรักใคร่อยากทะนุถนอมดูแล แต่นางกลับยอมละทิ้งทุกอย่างตามองค์ชายแคว้นเย่ว์คนหนึ่งมาแคว้นเย่ว์สถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเลยในชีวิต กระทั่งยอมสละตำแหน่งผู้ว่าการระดับสามทั้งๆ ที่ทำได้ดีมากทีเดียว จนบัดนี้ยังคิดช่วยอวี้อ๋องช่วงชิงบัลลังก์โดยไม่คิดกลัวตายเลยสักนิด
มั่วเวิ่นฉิงอดยอมรับไม่ได้ว่าผู้หญิงอย่างมู่ชิงอีหากจะสรรหาคนอย่างนางจากผู้หญิงนับพันนับหมื่นในโลกใบนี้ก็ยังยากจะหาได้ หรงจิ่น...ช่างมีบุญจริงๆ ฉับพลันภายในใจก็อดผุดความอิจฉาบางๆ ขึ้นมาไม่ได้
“ขอบคุณท่านมาก” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเบา บัดนี้สถานการณ์เป็นเช่นไรมิอาจวิเคราะห์ได้ แต่มั่วเวิ่นฉิงยินดีเข้าไปเผชิญอันตรายเป็นเพื่อนนางเพราะมิตรภาพระหว่างพวกเขาสองคน นอกจากคำขอบคุณนางก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว
“ข้ารับปากกับคนอื่นไว้ว่าจะปกป้องเจ้า” มั่วเวิ่นฉิงเอ่ยเสียงเรียบ “อีกอย่างข้าคิดว่าเราก็เป็นสหายกัน”
มู่ชิงอียิ้มบางพยักหน้ากล่าว “พูดถูก เราเป็นสหายกัน”
มั่วเวิ่นฉิงรีบปรับสีหน้าอย่างไม่ใส่ใจ “ไปเถิด” ณ มุมที่มู่ชิงอีมองไม่เห็น มั่วเวิ่นฉิงเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ที่เย็นชาไร้ความรู้สึกในสายตาคนอื่นกลับหูแดงซ่าน แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าสำนักมั่วอยู่สูงส่ง นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากว่าเป็นสหายก่อน แถมยังเป็นแค่สาวน้อยอ่อนวัยที่อายุยังไม่ครบสิบแปดปีด้วยซ้ำ
ภายในพระตำหนักชิงเหอ หรงจิ่นเดินออกมาจากฉากกั้น เหล่าองค์ชายที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นในเดิมทีก็ค่อยๆ ทยอยลุกขึ้น นอกเสียจากหรงจังที่ถูกฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สกัดจุดจนขยับตัวไม่ได้
หรงเหยี่ยนมองหรงจิ่นแวบหนึ่งด้วยท่าทีประหลาดใจ เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล “น้องเก้า เสด็จพ่อเป็นอย่างไรบ้าง”
หรงจิ่นเอ่ยเสียงเรียบ “สวรรคตแล้ว”
ทุกคนสีหน้าเรียบตึงและไร้ท่าทีปฏิกิริยาใดไปชั่วขณะ มองชายชราที่นอนอยู่บนเตียงภายหลังฉากกั้นพลางชะงักไป สวรรคตแล้วหรือ เร็วขนาดนี้เชียว…
พอได้สติ หรงเหยี่ยนก็บุกเข้าไปเป็นคนแรก องค์ชายคนอื่นๆ ก็รีบตามหลังไปเช่นกัน ไม่นานด้านในก็มีเสียงร้องไห้เศร้าสร้อยดังแว่วมา เจี่ยงปินยืนถือพระราชโองการอยู่ตรงนั้นตลอด ครั้นเห็นเหตุการณ์นี้ก็รู้ว่าเจ้านายที่ตนปรนนิบัติดูแลมาหลายสิบปีสิ้นใจแล้วจริงๆ
“ฝ่าบาททรงสิ้นพระชนม์แล้ว!” ผ่านไปไม่นานบนกำแพงวังหลวงที่สูงที่สุดในวังก็มีเสียงระฆังไว้ทุกข์ดังขึ้น ทั่วทั้งเมืองหลวงได้ยินเสียงของระฆังดังก้อง แสดงถึงการเปลี่ยนผ่านของกษัตริย์อีกยุค
ความจริงวันนี้คนมากมายในเมืองหลวงต่างเตรียมตัวไว้แล้ว ดังนั้นเพียงครึ่งชั่วยามเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางใหญ่ระดับหนึ่งขึ้นไปก็มาชุมนุมกันในวัง ทว่าคนที่สามารถเข้ามาในพระตำหนักชิงเหอได้มีแค่เหล่าเชื้อพระวงศ์เท่านั้น
เครือญาติในราชวงศ์แคว้นเย่ว์ที่สนิทสนมกับฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มีไม่มากนัก ในรุ่นของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์นั้นเหลือเพียงพี่ชายคนหนึ่ง น้องชายหนึ่งคนและหลานๆ ไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนความสัมพันธ์กับญาติคนอื่นๆ ก็ห่างไกลจนไม่มีสิทธิ์มาร่วมงานของตระกูลเชื้อพระวงศ์ได้
เพราะด้วยรูปแบบการทำงานของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ วันเวลาของชินอ๋องจวิ้นอ๋องที่เหลืออยู่เหล่านี้จึงไม่ได้สบายไปกว่าเหล่าอ๋องทั้งหลายของแคว้นอื่นๆ สักเท่าไร วันๆ เอาแต่เดินตามคนอื่นต้อยๆ ในที่สุดฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็ตายแล้ว ไม่แน่ภายในใจของพวกเขาอาจลอบดีใจมากก็เป็นได้
“เสด็จลุง เสด็จอา” เหล่าองค์ชายรีบรุดหน้าเข้าไปต้อนรับ
อ๋องสองคนนี้ก็คือพี่น้องร่วมตระกูลของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ที่เหลืออยู่ในเวลานี้ ลู่อ๋องหรงมู่หลี่และฉีอ๋องหรงมู่เฟิง หรงมู่หลี่อายุมากกว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สี่ปี ปีนี้อายุเจ็ดสิบสามชันษาแล้ว ถึงแม้เส้นผมจะขาวโพลน แต่เพราะอาจดูแลบำรุงร่างกายตามหลักอย่างเหมาะสมเลยทำให้ดูมีกำลังวังชา หรงมู่เฟิงเป็นลูกคนสุดท้องของฮ่องเต้องค์ก่อน ฉะนั้นจึงอายุน้อยกว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์และหรงมู่หลี่มาก ปีนี้อายุยังอยู่ในช่วงห้าสิบชันษาต้นๆ ถึงแม้ดวงตาแดงก่ำจะดูเศร้าสร้อยไปบ้าง แต่กลับไม่ได้ดูแย่นัก
หรงมู่หลี่อายุมากแล้วจึงถูกลูกชายของเขาพาเดินพยุงเข้ามา เขาโบกมือกล่าว “ไม่ต้องพิธีรีตองนักหรอก ฝ่าบาททรงสิ้นพระชนม์ข้าเองก็เสียใจมากเช่นกัน แต่เรื่องหลังจากนี้…ต้องมีลูกหลานอย่างพวกเจ้าคอยจัดการ อย่าเสียใจกันจนร่างกายทรุดโทรมเล่า”
“ขอบพระทัยคำชี้แนะของเสด็จลุงด้วย” ทุกคนกล่าวขอบคุณ
หรงมู่หลี่เอ่ยถาม “ขณะที่ฝ่าบาททรงมีชีวิตอยู่ได้ทิ้งพระราชโองการใดไว้หรือไม่”
เจี่ยงปินเดินรุดหน้าขึ้นมาแล้วถวายสาสน์พระราชโองการพร้อมเอ่ย “ทูลท่านอ๋อง คำสั่งเสียของฝ่าบาทอยู่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” หรงมู่หลี่ผุดความลังเลใจผ่านนัยน์ตา พลันเงยหน้าขึ้นมองทุกคน หรงมู่เฟิงเอ่ยเสียงขรึม “ที่นี่ก็มีแต่คนกันเองทั้งนั้น ท่านอาวุโสที่สุด ท่านจัดการเถิด”
เวลานี้หรงมู่หลี่ถึงรับสาสน์สั่งเสียมาแล้วค่อยๆ คลี่เปิดออก
“ด้วยอำนาจบัญชาจากสวรรค์ ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการว่า…” เห็นได้ชัดว่าขณะที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มีชีวิตอยู่คงมีชีวิตชีวาดีไม่น้อยถึงได้เขียนยาวเหยียดขนาดนี้ รอกระทั่งหรงมู่หลี่อ่านถึงจุดสำคัญก็พลันชะงักไป “องค์…อืม องค์ชายเก้าหรงจิ่นสติปัญญาหลักแหลมเหนือใครเหมือนเราไม่มีผิด จึงขอมอบให้องค์ชายเก้าสืบทอดบัลลังต่อจากเรา จบแต่เพียงเท่านี้”
อย่าว่าแต่เหล่าองค์ชายที่นั่งคุกเข่าเลย แม้แต่หรงมู่หลี่ที่ถือสาสน์อยู่ก็ยังกะพริบตาปริบๆ ดูว่าตนตาลายอ่านผิดไปหรือเปล่า แต่ต่อให้เขาจะกะพริบตาจนเหน็บกินก็อดยอมรับไม่ได้ว่าตัวหนังสือบนสาสน์ที่ส่องประกายแสงวิบวับนั้นก็ยังเป็นคำว่าองค์ชายเก้าหรงจิ่นอยู่ดี
หรงมู่หลี่อดลอบถอนหายใจไม่ได้ น้องชายคนนี้ของเขาเก่งกาจเหนือใคร ตอนขึ้นครองราชย์ครานั้นใครๆ ต่างก็ยอมรับทั้งสิ้น เพียงแต่น่าเสียดายที่หลังจากเจอผู้หญิงคนนั้นก็หน้ามืดตามัว กระทั่งผ่านมายี่สิบปีจนวันตายก็ยังเลอะเลือนไม่ได้สติ ใครๆ ต่างก็รู้เรื่องที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานองค์ชายเก้า แต่หากกล่าวว่าฮ่องเต้จะยกบัลลังก์ให้องค์ชายเก้าสืบทอดกลับเป็นเรื่องที่ใครๆ ยากที่จะเชื่อได้ นอกจากความโปรดปรานของฮ่องเต้แล้ว องค์ชายเก้ายังมีอะไรอีก ความสามารถ? ความดีความชอบ? แรงหนุนจากตระกูลทรงอิทธิพล? ชื่อเสียงในหมู่ราษฎร? องค์ชายเก้าไม่มีอะไรเลยสักอย่าง