องค์หญิงใหญ่อึ้งตะลึง “ฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไร”
ตงฟังซวี่ก้มหน้ากล่าว“ท่านพ่อ ท่านต้องทำให้ดี ชีวิตของบุตรชายท่านอยู่ในกำมือท่านแล้ว”
ตงฟังเฟยต่อว่าด้วยความโมโห “เจ้าก็ดีแต่หาเรื่องให้พ่อเจ้า” ตงฟังซวี่เลิกคิ้วกล่าว “เช่นนั้นท่านพ่อจะทำหรือไม่ หากไม่ทำก็เอาคืนมาให้ข้า ข้าจะเอาไปคืนฝ่าบาท” ตงฟังเฟยยกมือปัดมือตงฟังซวี่ออก กำป้ายคำสั่งแม่ทัพไว้ในมือแน่น ตระกูลตงฟังถูกกดขี่มาตั้งแต่รุ่นพ่อของเขา แต่ในฐานะตระกูลแม่ทัพมีใครบ้างที่ไม่อยากควบม้าต่อสู้ในสนามรบและทำงาน แต่ผลงานทางการทหารของตระกูลตงฟังนั้นยิ่งใหญ่เกินไป หากต้องการจบลงด้วยดีก็ต้องมีความระมัดระวังและถ่อมตน ตงฟังเฟยรู้ดีว่านี่อาจเป็นโอกาสเดียวในชีวิตของเขาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นบุตรชายก็ได้ติดตามฮ่องเต้องค์ใหม่แล้ว เขาจะทำลายความตั้งใจของฮ่องเต้ได้หรือ
องค์หญิงใหญ่มองสามีและบุตรชายด้วยความเป็นห่วง แม้ว่านางจะเป็นองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเย่ว์ของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ที่ไม่ได้สนใจบุตรชาย ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบุตรสาวอย่างตน ดังนั้นจึงไม่ได้รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับหรงจิ่น น้องชายของตนที่เสด็จพ่อรักและเอ็นดูมากกว่าคนอื่น “ซวี่เอ๋อร์…”
ตงฟังซวี่กอดมารดาด้วยรอยยิ้มแล้วเอ่ยปลอบโยน “ท่านแม่ไม่ต้องกังวล หากลูกประสบความสำเร็จแล้วท่านก็จะได้มีความสุข เมื่อถึงเวลานั้นท่านก็จะเป็นองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเย่ว์”
ตงฟังเฟยมองภรรยาด้วยรอยยิ้ม ถอนหายใจเบาๆ กล่าว “ช่างเถิด ปล่อยเขาไปเถิด สายตาและความกล้าหาญของซวี่เอ๋อร์นั้นถือว่าไม่เลวเลย” ตงฟังเฟยไม่รู้ว่าบุตรชายมองออกได้อย่างไรว่าองค์ชายเก้าไม่เหมือนคนอื่น แต่ความจริงในตอนนี้คือองค์ชายเก้าเป็นคนที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ในท้ายที่สุด เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว ตระกูลตงฟังภักดีต่อแคว้นเย่ว์มาหลายชั่วอายุคน ตอนนี้ก็ย่อมภักดีต่อฮ่องเต้องค์ใหม่ซึ่งสืบทอดบัลลังก์ต่อจากฮ่องเต้องค์ก่อน
องค์หญิงใหญ่ถอนหายใจ พยักหน้ากล่าว “ช่างเถิด ข้าเองก็ไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ ขอแค่พวกท่านสองคนพ่อลูกรู้ขอบเขตก็พอแล้ว”
ตงฟังซวี่ยิ้มกล่าว “ท่านแม่วางใจได้ ลูกรู้ขอบเขตดี ท่านพ่อ กองทัพเจี้ยนรุ่ย…ไม่มีปัญหาหรอกกระมัง” ตงฟังเฟยจ้องเขาตาเขม็ง “จะมีปัญหาอะไรได้ แม้ว่าข้าจะไม่เคยนำกองทัพ แต่ก็ยังพอมีสหายอยู่สองสามคน ในกองทัพเจี้ยนรุ่ยมีผู้บัญชาการสองสามคนที่เมื่อก่อนเคยอยู่ใต้บังคับบัญชาท่านปู่ของเจ้า…คาดว่าฝ่าบาทก็คงรู้เรื่องนี้จึงได้ให้ข้าไป”
ตงฟังซวี่กะพริบตา เขาจะไปรู้ได้อย่างไร หรืออาจจะ…รู้?
เมื่อเห็นสีหน้ามึนงงของบุตรชาย ตงฟังเฟยก็หันหน้าหนีอย่างสิ้นหวัง ในที่สุดตนก็เข้าใจว่าเด็กคนนี้เป็นเพียงแมวตาบอดที่บังเอิญโชคดีเจอหนูตาย
แม้ว่าจะยังไม่ได้จัดพิธีขึ้นครองราชย์ แต่หรงจิ่นในฐานะฮ่องเต้ที่กำลังจะได้สืบทอดบัลลังก์นั้นได้ย้ายเข้ามาในวังแล้ว แน่นอนว่ามู่ชิงอีย่อมอยู่ในวังด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนงานในที่ว่าการเฟิ่งเทียนทั้งหมดได้ถูกส่งมอบให้ปู้อวี้ถัง
กลางดึก เสียงร้องไห้คร่ำครวญเบาๆ ยังคงดังมาจากทางพระตำหนักเฟิ่งเทียน ฮ่องเต้องค์ก่อนพึ่งสิ้นพระชนม์ หน้าป้ายวิญญาณมีคนคอยเฝ้าไว้อาลัยเป็นเวลาสิบสองชั่วยามต่อวัน
หรงจิ่นจับมือมู่ชิงอีเดินอยู่ในพระราชวังที่มีผู้คนหนาแน่นอย่างเชื่องช้า ด้านหลังมีนางกำนัลและขันทีเดินตามอยู่ไกลๆ เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินจับมือกันก็ทำได้เพียงก้มหน้าลงราวกับว่ามองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
ประตูใหญ่ถูกคนเปิดออก มู่ชิงอีขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางมองแสงเทียนสลัวๆ ที่อยู่ด้านใน ที่นี่คือคุกหลวง มีไว้เพื่อคุมขังสายเลือดราชวงศ์โดยเฉพาะ แต่ตอนนี้มีองค์ชายของอดีตฮ่องเต้อยู่ที่นี่ นั่นก็คือองค์ชายสามหรงจัง
หรงจิ่นจับมือมู่ชิงอีเดินเข้าไปในห้องขัง ยกมือขึ้นโบกบอกเป็นสัญญาณให้เจ้าหน้าที่และผู้คุมขังถอยออกไป แม้ว่าคุกหลวงจะค่อนข้างเย็น แต่ก็ดีกว่าห้องขังทั่วไปหลายเท่า แม้ว่าจะทำผิด แต่คนในราชวงศ์เหล่านี้ก็สูงส่งกว่าคนทั่วไป ที่นี่จึงเหมือนเป็นห้องธรรมดามากกว่าห้องคุมขัง มีทั้งเตียง โต๊ะ เก้าอี้ หรือแม้กระทั่งตู้หนังสือเล็กๆ พู่กัน กระดาษ และแท่นฝนหมึกก็ไม่มีขาด ตอนที่พวกเขาเข้าไปหรงจังกำลังนั่งเขียนหนังสืออยู่หลังโต๊ะ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจึงได้เงยหน้าขึ้น มองไปที่หรงจิ่นที่ยืนอยู่ด้านนอกด้วยสีหน้าสับสนเล็กน้อย
“เจ้ามาแล้วหรือ” หรงจังวางพู่กันลง มองหรงจิ่นพลางเอ่ยเสียงเรียบ
หรงจิ่นยกมือขึ้น โซ่ที่คล้องประตูพลันขาดสะบั้น ยกมือผลักประตูเปิดออก หรงจิ่นจับมือมู่ชิงอีแล้วเดินเข้าไป
หรงจังมองสำรวจหรงจิ่นเป็นเวลานาน จากนั้นก็มองมู่ชิงอีที่ถูกเขาจับมืออยู่ “ข้าประเมินพวกเจ้าต่ำไป”
หรงจิ่นแค่นเสียงเอ่ย “ข้าบอกแล้วว่าท่านไม่ต้องมายุ่ง”
หรงจังเลิกคิ้วแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากไม่ใช่เพราะข้า เจ้าจะหาโอกาสที่ดีเช่นนี้ในการควบคุมกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อได้อย่างไร หากไม่มีอู๋จี้ อาศัยเพียงแค่กู้หลิวอวิ๋น เกรงว่าอาจหยุดหนานกงเจวี๋ยไม่ได้หรอกกระมัง” พูดไปพูดมาก็เหมือนกับว่าเขาถูกหรงจิ่นกับมู่ชิงอีหลอกใช้ ตั้งแต่ต้นจนจบหรงจิ่นไม่เคยเชื่อคำพูดใดๆ ของเขาเลย
“ตอนนี้เจ้าคิดจะทำอะไร ฆ่าข้าตามพระประสงค์ของเสด็จพ่อ…จากนั้นก็เป็นฮ่องเต้แคว้นเย่ว์องค์ใหม่อย่างสบายใจอย่างนั้นหรือ” หรงจังมองหรงจิ่น ถามพลางเลิกคิ้ว
หรงจิ่นยิ้มมุมปาก “นี่เป็นความปรารถนาของท่านไม่ใช่หรือ ท่านต้องการให้ข้าขึ้นครองบัลลังก์…ต่อให้ตายในตอนนี้ก็คงจะตายตาหลับแล้วกระมัง”
หรงจังสีหน้าพลันแข็งทื่อ ที่เขาต้องการให้หรงจิ่นสืบทอดบัลลังก์นั้นเป็นเพราะโดยพื้นฐานแล้วหรงจิ่นเป็นบุตรชายของเขา หากตั้งแต่ต้นจนจบเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง เช่นนั้นเขาจะไม่ทำไปโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือ หรงจังจ้องมองชายหนุ่มชุดดำตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา พยายามหาความคล้ายคลึงกับตัวเองจากตัวของหรงจิ่น แต่เขากลับรู้สึกหงุดหงิดที่พบว่าหรงจิ่นรูปร่างเหมือนซีเอ๋อร์แปดเก้าในสิบส่วน ส่วนท่าทางและอารมณ์ของเขานั้นเหมือนกับเสด็จพ่อที่ตัวเองเกลียดชังมายี่สิบปีอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากมองหรงจิ่นอยู่นาน ในที่สุดหรงจังก็กลับไปนั่งที่เก้าอี้ด้วยท่าทางผิดหวัง ยกมือขึ้นโบก “ช่างเถิด ข้าแพ้แล้ว จะฆ่าจะแกงก็แล้วแต่เจ้า”
เมื่อมองไปที่ชายที่ดูเหมือนจะแก่ลงสิบกว่าปีในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ มู่ชิงอีทำได้เพียงแอบถอนหายใจ
หรงจิ่นแค่นเสียงเอ่ย “ข้าไม่ได้สนใจที่จะฆ่าคนไร้ประโยชน์ ท่านจงอยู่ที่นี่อย่างเชื่อฟังอย่าสร้างปัญหาให้ข้า มิเช่นนั้น…” หรงจังมองใบหน้างดงามไร้ที่ติดของเขาพลางกล่าวอย่างลังเล “เจ้า…ไม่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นหรือ”
หรงจิ่นเลิกคิ้ว “หากท่านอยากพูดข้าก็ไม่ถือสาที่จะฟัง”
มู่ชิงอียิ้มบางแล้วกล่าวเสียงเบา “หม่อมฉันขอตัวออกไปก่อน พวกท่านค่อยๆ คุยกันเถิด”
หันหลังกำลังจะเดินออกไปแต่กลับถูกหรงจิ่นยื่นมือไปจับไว้ “เหตุใดชิงชิงต้องไปเล่า อยู่ฟังด้วยกันเถิด”
มู่ชิงอีมองเขาอย่างจนปัญญา ท่านคิดว่านี่เป็นแค่การฟังนิทานอย่างนั้นหรือ
ข้าคิดว่าเป็นเช่นนั้น
เมื่อเห็นหรงจิ่นดึงมู่ชิงอีให้นั่งลงตรงข้ามตัวเองด้วยท่าทางสนิทสนม หรงจังก็เริ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็รู้ว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้ จึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ก้มหน้ามองถ้วยชาที่อยู่ตรงหน้า
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ราวกับกำลังคิดว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี ผ่านไปนานหรงจังก็เปิดปากกล่าวอย่างเนิ่บนาบ “ตอนนั้นท่านแม่ของเจ้าเป็นบุตรสาวภรรยาเอกตระกูลเหมยที่ร่ำรวยเป็นอันดับต้นๆ ในแคว้นเย่ว์ แม้ว่าตระกูลเหมยจะร่ำรวยเป็นอันดับต้นๆ ก็ตาม แต่หากมองเรื่องภูมิหลังของตระกูลแล้วย่อมไม่มีทางได้เป็นพระสนมเอกขององค์ชาย ในปีนั้นข้าได้รับคำสั่งจากเสด็จพ่อให้ไปยังพื้นที่ประสบภัยเพื่อบรรเทาทุกข์ เมื่อผ่านเมืองเผิงโจว บังเอิญพบกับตระกูลเหมยที่กำลังแจกโจ๊กอยู่ ตอนนั้น…ท่านแม่ของเจ้าสวมชุดธรรมดาและแจกโจ๊กให้ผู้ประสบภัยด้วยตัวเอง รอยยิ้มของนางในตอนนั้นชาตินี้ทั้งชาติข้าก็ไม่มีวันลืมเลือน…”