หรงจิ่นจับมือมู่ชิงอี มองหรงจังพลางกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าแค่ต้องการรู้ว่า…ตอนที่พระสนมซูต้องการให้เสด็จแม่วางยาพิษเสด็จพ่อ ท่านรู้หรือไม่”
มีร่องรอยความรู้สึกผิดปรากฏบนใบหน้าของหรงจัง แต่เขาไม่ได้ตอบอะไร
“ข้ารู้แล้ว” หรงจิ่นยืนขึ้นพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า “ชิงชิง พวกเราไปกันเถอะ” มู่ชิงอีถอนหายใจ เรื่องของราชวงศ์…มักทำให้ผู้คนพูดไม่ออกเลยจริงๆ
“จิ่นเอ๋อร์!” เมื่อเห็นว่าเขาจะไป หรงจังรีบเรียกรั้งเขาไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “จิ่นเอ๋อร์…ไม่ว่าสิ่งที่เขาพูด…จะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม เจ้าเป็นบุตรของซีเอ๋อร์ ถือเป็นบุตรของข้า…”
หรงจิ่นหันกลับมา ตัดบทสนทนาอย่างเย็นชา “ข้าไม่ใช่ใครทั้งนั้น! ข้าก็คือข้า”
หลังจากพูดจบก็จูงมือมู่ชิงอีเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามอง
ในห้องขังซอมซ่อ หรงจังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ค่อยๆ เปิดภาพม้วนบนโต๊ะด้วยท่าทางเหม่อลอย รอยหมึกบนม้วนภาพยังคงใหม่อยู่ เห็นได้ชัดว่าพึ่งวาดได้ไม่นาน ในม้วนภาพมีสตรีงดงามในชุดขาวกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ใต้ต้นท้อ มีดอกท้อบานสะพรั่งอยู่ในมือ แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและเปราะบาง แม้แต่ดอกท้อสีสดใสก็ไม่สามารถปกปิดความเศร้าของนางได้…
“ซีเอ๋อร์…”
ทั้งสองคนเดินเคียงกันออกมาจากคุกหลวง เมื่อรู้สึกว่าหรงจิ่นกำลังอารมณ์ไม่ดี มู่ชิงอีจึงปลอบโยนเบาๆ “เรื่องพวกนี้…ไม่ว่าใครจะถูกหรือใครจะผิด…ล้วนไม่ใช่ความผิดของท่าน เหตุใดต้องเก็บมาใส่ใจ”
หรงจิ่นหันมามองมู่ชิงอี ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “ชิงชิง เจ้า…รังเกียจข้าหรือไม่”
มู่ชิงอีชะงักไปครู่หนึ่ง มองเขาด้วยความสงสัย “ท่านมีอะไรจะทำให้ข้ารังเกียจหรือ” รูปร่างหน้าตาและวรยุทธ์ขององค์ชายเก้าในไม่ช้าจะกลายเป็นหนึ่งในใต้หล้า จะมีใครกล้ารังเกียจเขาด้วยหรือ
หรงจิ่นมองนางอย่างช้าๆ มู่ชิงอีกะพริบตา ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ทันที ยิ้มอย่างหมดปัญญาเอ่ย “เหตุใดหม่อมฉันถึงไม่รู้ว่าองค์ชายเก้าเป็นคนอารมณ์อ่อนไหว หากหม่อมฉันจะรังเกียจใครสักคนก็ต้องเป็นเพราะพฤติกรรมที่ไม่ดีและไร้ความสามารถของคนผู้นั้น จะ…”
องค์ชายหรงเก้ารู้สึกผิดเล็กน้อย ดูเหมือนว่าพฤติกรรมของเขาจะไม่ค่อยดีนัก แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ “ชิงชิงไม่เกลียดข้าจริงๆ หรือ” หรงจิ่นไม่เคยรู้สึกว่ามีอะไรที่ต้องรู้สึกน้อยใจเกี่ยวกับภูมิหลังของตัวเอง ต่อให้เขาไม่ใช่บุตรชายของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จริงๆ เขาก็ไม่ได้สนใจ เขาไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองเขาอย่างไร แต่ตอนนี้…เพียงแค่คิดถึงเรื่องยุ่งๆ ของตัวเองเหล่านี้เขาก็กังวลว่าชิงชิงจะชอบหรือไม่ชอบ
แม้ว่าโดยพื้นฐานชิงชิงจะเป็นคนใจกว้าง ไม่ยึดถือยศตำแหน่ง แต่อย่างไรเสียนางก็มาจากตระกูลผู้มีความรู้ที่มีชื่อเสียง ในอดีตตระกูลกู้เป็นตระกูลที่รักใคร่กลมเกลียว สามีภรรยาเคารพซึ่งกันและกัน บรรดาพี่น้องมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง เรื่องวุ่นวายของราชวงศ์ในแคว้นเย่ว์เช่นนี้อย่าว่าแต่นางเคยเห็นเลย เกรงว่าจะไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำ คนที่มีภูมิหลังจากตระกูลบัณฑิตมักจะไม่ชอบเรื่องราวเลวร้ายเช่นนี้
มู่ชิงอีได้แต่ถอนหายใจอย่างหมดปัญญา นางคิดว่าหรงจิ่นกำลังกังวลเรื่องหรงจัง ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ และพระสนมเหมย แต่กลับกลายเป็นว่าเขากำลังคิดถึงเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย นางเหลือบมองเขาด้วยความโกรธ ยื่นมือไปดึงเขาเดินไปข้างหน้าเอ่ย “ล่วงเลยเวลามามากแล้ว ควรกลับได้แล้วเพคะ”
หรงจิ่นมีความสุขที่ถูกนางจูงมือเดินไปข้างหน้า แต่ก็อดหันหลังกลับไปมองประตูคุกหลวงที่อยู่ด้านหลังไม่ได้ ภายใต้แสงจันทร์ทำให้ความหม่นหมองบนใบหน้าหายไปไม่น้อย
คำพูดเหล่านั้นของหรงจังที่ได้ฟัง ย่อมทำให้เขาไม่มีความสุข แต่ไม่ว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กับหรงจังจะรักและคิดถึงพระสนมเหมยมากแค่ไหน แม้ว่าพระสนมเหมยจะเป็นเสด็จแม่แท้ๆ ของเขา แต่เขาก็ไม่ได้มีความทรงจำเกี่ยวกับนาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความรู้สึก เมื่อเทียบกับชิงชิงแล้ว สิ่งเก่าๆ ในอดีตเหล่านั้นไม่ได้สำคัญเลย องค์ชายหรงเก้ารู้มาเสมอว่าตัวเองต้องการอะไร ความสุขในอนาคตของเขาอยู่ที่สตรีที่อยู่ข้างหน้าเขา ไม่ใช่เสด็จแม่ที่จากไปเกือบจะยี่สิบปีแล้ว
เมื่อกลับมาที่วัง เจี่ยงปินก็รีบนำกลุ่มคนมาต้อนรับ ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สิ้นพระชนม์แล้ว เจี่ยงปินในฐานะหัวหน้าขันทีในวังของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ ตอนนี้ก็ยังคงเป็นหัวหน้าขันที เมื่อเทียบกับขันทีและนางกำนัลในวังที่พากันเล่าลือว่าหรงจิ่นเป็นคนชั่วร้าย เจี่ยงปินก็นับว่าเป็นคนที่รู้จักเจ้านายคนใหม่ผู้นี้ดีที่สุด ดังนั้นในช่วงสองสามวันมานี้จึงรับใช้เขาได้โดยไม่มีปัญหาอะไร
ยังไม่ทันเข้าประตูมาหรงจิ่นก็ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเอ่ย “มีคนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์พึ่งสิ้นพระชนม์ หรงจิ่นก็ไม่ได้มาอยู่ที่พระตำหนักชิงเหอ แต่เลือกอยู่ที่ตำหนักหันจังที่อยู่ถัดจากพระตำหนักชิงเหอเป็นการชั่วคราว เดิมทีอยากจะอยู่ที่ตำหนักเหมย แต่ตำหนักเหมยใหญ่เกินไป อย่างไรเสียก็เป็นสถานที่ที่หรงจิ่นอาศัยอยู่เป็นเวลานานเมื่อเขายังเป็นเด็ก หรงจิ่นไม่ต้องการให้ใครเข้าไป ตอนนี้ผู้คนเข้าๆ ออกๆ ทุกวัน มีเรื่องหยุมหยิมเกิดขึ้นตลอดเวลา หรงจิ่นจึงเลือกอยู่ตำหนักหันจังที่อยู่ใกล้พระตำหนักชิงเหอมากที่สุด
เจี่ยงปินปาดเหงื่อ ยิ้มพลางกล่าวอย่างนอบน้อม “กราบทูลฝ่าบาท เป็น…บรรดาท่านอ๋องและพระสนมของฮ่องเต้องค์ก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิ่นแสยะยิ้ม “พากันกินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำใช่หรือไม่ เสด็จพ่อสวรรคต บรรดาพระสนมเหล่านี้ไม่อยู่ในวังอย่างว่าง่าย กลับมาตำหนักหันจังดึกๆ ดื่นๆ อยากจะถูกฝังไปอยู่เป็นเพื่อนฮ่องเต้องค์ก่อนกระมัง”
หรงจิ่นไม่ได้พูดเสียงเบาเลยแม้แต่น้อย พูดพลางเดินเข้าไปด้านใน ยิ่งเป็นประโยคที่บอกว่า ‘อยากจะถูกฝังเป็นเพื่อนฮ่องเต้องค์ก่อน’ ได้ดังไปถึงหูของบรรดาพระสนมที่รออยู่ในพระตำหนักอย่างชัดเจน ทุกคนพลันหน้าซีดทันที หลายคนมีสีหน้าคิดอยากจะถอยออกไป
หรงจิ่นดึงมือมู่ชิงอีเข้ามา กวาดสายตามองทุกคนในห้องอย่างเย็นชาเอ่ย “ดึกป่านนี้แล้ว มาทำอะไรกันที่นี่”
ขณะที่พูดหรงจิ่นได้เดินไปยังที่นั่งแล้วนั่งลง “จื่อชิง นั่งลงเถิด”
มู่ชิงอียิ้มแผ่วเบา หย่อนกายนั่งลงถัดจากตำแหน่งของหรงจิ่น
“ใต้เท้ากู้ ดึกป่านนี้แล้วยังอยู่ในวังหลวงอีกหรือ ดูเหมือนว่าจะเป็นที่รักของฝ่าบาทจริงๆ ด้วย” ทันทีที่นั่งลงองค์ชายหกก็กล่าวอย่างมีนัยยะแปลกๆ ข่าวลือเกี่ยวกับกู้หลิวอวิ๋นและหรงจิ่นแพร่สะพัดในเมืองหลวงมาเป็นเวลานาน เพียงแต่ว่าไม่ได้มีใครสนใจ แต่ตอนนี้หรงจิ่นกำลังจะขึ้นครองบัลลังก์ และไม่ว่าไปที่ไหนก็จะพามู่ชิงอีไปด้วยจึงทำให้หลายๆ คนรู้สึกขัดหูขัดตา
บุรุษที่เข้าไปพัวพันกับองค์ชาย อย่างมากก็ถูกด่าว่าเป็นคนเหลวไหล แต่การที่เข้าไปพัวพันกับฮ่องเต้นั้นช่างเป็นโชคดีเสียจริง
มู่ชิงอีไม่ได้สนใจ ยิ้มบางเอ่ย “องค์ชายหกชมเกินไปแล้ว”
องค์ชายหกยิ้มมุมปาก เขาชมมู่ชิงอีอย่างนั้นหรือ
หรงจิ่นกวาดสายตามองทุกคนด้วยความไม่พอใจ “ดึกป่านนี้พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อดื่มชา?”
ทุกคนพากันมองหรงเหยี่ยนที่นั่งอยู่ด้านหน้า หรงเหยี่ยนมีสีหน้าหม่นลงเล็กน้อย แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความเคารพเอ่ย “กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องอยากจะปรึกษาฝ่าบาท แต่สองสามวันมานี้ฝ่าบาทยุ่งอยู่กับงาน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกเวลานี้ โปรดอภัยให้ด้วย”
หรงจิ่นมองหรงเหยี่ยนพลางเลิกคิ้วแล้วกล่าวว่า “อย่างนั้นหรือ เรื่องอันใดสำคัญถึงขนาดต้องมาขอคำปรึกษาถึงกลางดึก”
หรงเหยี่ยนตอบกลับ “บรรดาพระสนมของเสด็จพ่อ ไม่ทราบว่าฝ่าบาทมีแผนจะจัดการอย่างไร”
หรงจิ่นไม่เข้าใจ “จัดการ เรื่องนี้ต้องจัดการด้วยหรือ ย้ายไปอยู่ที่วังเย็นก็จบเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ เกิดอะไรขึ้นกับกรมพิธีกรรม เรื่องแค่นี้ก็จัดการไม่ได้!” วังหลวงนั้นใหญ่โต วังหลังของแคว้นเย่ว์ก็กว้างขวางเช่นกัน แต่ทั้งหมดเหล่านี้เป็นของฮ่องเต้ผู้ครองราชย์ เมื่อฮ่องเต้องค์ใหม่ครองบัลลังก์ ต่อให้วังหลังจะยังคงว่างอยู่ แต่พระสนมของฮ่องเต้องค์ก่อนก็ไม่มีสิทธิ์อยู่อีกต่อไป ตอนนี้หรงจิ่นยังไม่ได้อภิเษกสมรส จึงไม่มีคนจัดการวังหลัง ดังนั้นยิ่งต้องให้ความสำคัญ เพียงแต่ว่าหรงจิ่นอยู่หน้าราชสำนักตลอดเวลา หลายวันมานี้เขาไม่ได้ย่างเท้าเข้าไปในวังหลังด้วยซ้ำจึงได้ลืมเรื่องนี้ไป