ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา เหล่าพระสนมของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็เอะอะโวยวายขึ้นมาทันที ในช่วงครึ่งแรกของชีวิตฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มีจิตใจที่เย็นชา ย่อมไม่ได้สนใจเสาะหาสาวงามในหมู่บ้านแต่อย่างใด พระสนมเหล่านี้ล้วนมาจากตระกูลที่มีชื่อเสียงและอำนาจ ตอนนี้เมื่อฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์กลับถูกโยนเข้าไปในวังเย็นแล้วจะทนได้อย่างไร
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบรรดาพระสนมที่ให้กำเนิดองค์ชายหรือบุตรชาย ในเวลานี้พวกนางไม่สามารถนั่งนิ่งได้แล้ว
“ฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไร หม่อมฉันรับใช้ฮ่องเต้องค์ก่อนมาตลอดชีวิต ได้ให้กำเนิดองค์ชายแก่ฝ่าบาท…ตอนนี้กระดูกของฮ่องเต้องค์ก่อนยังไม่ทันเย็น ฝ่าบาทก็จะให้พวกเราไปอยู่วังเย็นแล้วหรือ” พระสนมในวัยห้าสิบต้นๆ คนหนึ่งยืนขึ้นพลางกล่าวด้วยความโกรธ
หรงจิ่นก็จำไม่ได้ว่าเป็นพระมารดาขององค์ชายองค์ไหน เพียงแต่เอนตัวลงบนเก้าอี้อย่างเกียจคร้านพลางเหลือบมองนางแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นท่านจะเอาอย่างไร ราชวงศ์เย่ว์ปฏิบัติต่อพระสนมของฮ่ององค์ก่อนเช่นนี้เสมอ ท่านมีอะไรไม่พอใจอย่างนั้นหรือ หรือว่า…ท่านยังอยากอยู่ที่วังหลัง” หรงจิ่นพูดพลางเหลือบมองนางด้วยท่าทางรังเกียจ “ไม่มองดูตัวเองเลยด้วยซ้ำว่าแก่จนอายุปูนนี้แล้ว รกหูรกตาข้า หากไม่อยากอยู่วังหลังก็ไปอยู่เป็นเพื่อนเสด็จพ่อในโลงศพ ท่านปรนนิบัติเสด็จพ่อมาชั่วชีวิตแล้วไม่ใช่หรือ เช่นนั้นก็จงปรนนิบัติต่อไป”
“หรงจิ่น!” องค์ชายเจ็ดลุกขึ้นยืน มองหรงจิ่นด้วยความโกรธ เห็นได้ชัดว่าพระสนมท่านนี้เป็นพระมารดาขององค์ชายเจ็ด
“บังอาจ…” รอยยิ้มบนใบหน้าของหรงจิ่นจางหายไป เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม แรงกดดันแผ่ไปถึงองค์ชายเจ็ดในทันที สีหน้าขององค์ชายเจ็ดเปลี่ยนไป รู้สึกราวกับว่าตัวเองถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง รู้สึกเย็นวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้แต่จะดิ้นรนต่อสู้ก็ทำไม่ได้ ภายในเจ็บปวดจนกระอักเลือดออกมา
หรงจิ่นสบถอย่างเย็นชา เอนหลังพิงเก้าอี้อีกครั้ง กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “จงอยู่กันอย่างว่าง่าย ควรทำอะไรก็ควรทำตามนั้น”
ทันทีที่หรงจิ่นผ่อนคลายลง องค์ชายเจ็ดรู้สึกได้ทันทีว่าความรู้สึกกดขี่บนร่างกายของเขาที่ทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้หายไปในทันที ราวกับว่ามันไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน อดมองหรงจิ่นด้วยความกลัวและประหลาดใจไม่ได้ พูดไม่ออกอยู่นาน
ผู้คนที่นั่งอยู่อดมองหน้ากันไม่ได้ ตั้งแต่คืนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนสิ้นพระชนม์พวกเขาต่างก็รู้ว่าหรงจิ่นไม่ธรรมดา แต่ก็นึกไม่ถึงว่าหรงจิ่นจะร้ายกาจขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องลงมือก็สามารถทำให้องค์ชายเจ็ดกระอักเลือดจากอาการบาดเจ็บภายในได้ วรยุทธ์เช่นนี้เกรงว่าคงจะเก่งไม่แพ้หนานกงเจวี๋ย
ในชั่วขณะหนึ่งสีหน้าของทุกคนซับซ้อนเล็กน้อย ในใจของหรงเหยี่ยนเต็มไปด้วยความคิดมากมาย พวกเขาจะสามารถรับมือกับฝีมือที่แอบซ่อนของหรงจิ่นได้จริงๆ น่ะหรือ แต่…ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ จากการแสดงออกของหรงจิ่นในช่วงหลายวันมานี้จะเห็นได้ว่าเขาไม่ได้มีเจตนาที่จะจับมือกับพี่น้องในราชวงศ์อย่างแน่นอน และไม่ได้มีเจตนาที่จะอ่อนข้อให้เพื่อโน้มน้าวพวกเขาด้วย เช่นนั้นต่อจากนี้คงมีเพียงสองทาง หากไม่ใช่พวกเขาร่วมมือกันลากหรงจิ่นลงจากบัลลังก์ วันหนึ่งหรงจิ่นก็จะกำจัดพวกเขาทีละคนจนหมด
“หวงเอ๋อร์!” เมื่อพระมารดาขององค์ชายเจ็ดเห็นว่าบุตรชายกระอักเลือดก็ยิ่งตกใจ รีบเข้าไปพยุงบุตรชายโดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น “หวงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ฝ่าบาท…องค์ชายเจ็ดเป็นพี่ชายแท้ๆ ของท่าน เหตุใดท่านจึงได้โหดเหี้ยมเช่นนี้…”
หรงจิ่นแค่นเสียงอย่างดูหมิ่น โหดเหี้ยม? หากวันนี้คนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ไม่ใช่เขา หรือหากเขาไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ในเมืองหลวงได้ เกรงว่าชะตากรรมของเขาคงจะแย่กว่าคนพวกนี้อีกกระมัง
“พวกเจ้าพากันไสหัวออกไปไว้อาลัยให้เสด็จพ่อเดี๋ยวนี้! ในเมื่อพวกเจ้าไม่มีอะไรทำ คืนนี้ก็ไม่ต้องนอน พวกเจ้าทุกคนจงไปคุกเข่าต่อหน้าป้ายวิญญาณของเสด็จพ่อ” หรงจิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ท่าน…” องค์ชายสิบเอ็ดที่อายุน้อยที่สุดคิดจะคัดค้าน หรงจิ่นเหลือบมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “นี่คือพระราชโองการ เข้าใจหรือไม่”
คำสั่งของฮ่องเต้ยากที่จะคัดค้านได้ แค่คำว่าพระราชโองการคำเดียวก็สามารถบังคับให้บรรดาองค์ชาย พระราชนัดดา และบรรดาพระสนมวังหลังไปคุกเข่าหน้าป้ายวิญญาณของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ ในกลางดึก แม้ว่าตอนนี้จะเดือนสามแล้ว แต่กลางคืนก็ยังคงหนาวเย็นอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นในวังหลวงที่อยู่ลึกแห่งนี้ยิ่งหนาวเย็นกว่าที่อื่น
บรรดาองค์ชายและพระราชนัดดายังพอไหว มีเพียงสีหน้าอิดโรย เพียงแค่อดทนสักหน่อยทุกอย่างก็ผ่านไปแล้ว แต่พระสนมวังหลังเหล่านี้เคยต้องเผชิญความลำบากเช่นนี้เสียเมื่อไรกัน ตอนกลางวันก็คุกเข่ามาทั้งวันแล้ว กลางคืนยังต้องมาคุกเข่าทั้งคืน เสียงบ่นเลยดังขึ้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ในใจเริ่มรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่หรงเหยี่ยนและคนอื่นๆ ยุยงให้พวกนางมาหาเรื่องที่ตำหนักหันจัง
หรงซิงคุกเข่าอยู่ข้างหรงเหยี่ยน มองผู้คนรอบตัว กล่าวด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยว่า “พี่สี่ หรงจิ่นทำเกินไปแล้ว พวกเราจะปล่อยให้เขาทำให้ต้องอับอายเช่นนี้หรือ”
หรงเหยี่ยนหันไปเหลือบมองเขา กล่าวเสียงเบาว่า “เขาเป็นฮ่องเต้ พวกเราเป็นคนใต้อาณัติ ยังจะทำอะไรได้อีก” หรงซิงกัดฟันกล่าวอย่างดูถูกว่า “เขาเป็นฮ่องเต้ประสาอะไรกัน เสด็จพ่อลำเอียงเกินไปแล้ว!” หรงซิงเงยหน้ามองไปที่แท่นวิญญาณฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ในพระตำหนัก แววตาเผยให้เห็นความขุ่นเคืองเล็กน้อย บรรดาองค์ชายอย่างพวกเขาคงจะไม่เคยอยู่ในสายตาของเสด็จพ่อเลยตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาเกิดมา ตอนแรกคิดว่าเสด็จพ่อพึ่งมารักและเอ็นดูหรงจิ่นในตอนหลังก็เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะมอบบัลลังก์ให้เขาอีกด้วย การต่อสู้ทั้งอย่างเปิดเผยและที่เป็นความลับของพวกเขาในตลอดหลายปีที่ผ่านมา อีกทั้งความทุ่มเทของพวกเขาคงดูเหมือนเป็นเรื่องตลกในสายตาของหรงจิ่น
“น้องสิบ ระวังคำพูดด้วย” หรงเหยี่ยนกล่าวเสียงเบา
หรงซิงสบถเบาๆ แต่ก็รู้ว่าสิ่งที่หรงเหยี่ยนพูดนั้นถูกแล้ว แม้ว่าหรงจิ่นจะยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ แต่การควบคุมพระราชวังของเขาทำให้คนรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก บางทีหรงจิ่นอาจได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดตลอดเวลา อดกลั้นความโกรธในใจ หรงซิงเปลี่ยนบทสนทนา “พี่สองไม่มา ดูเหมือนว่า…พี่สองจะยอมแพ้แล้ว แต่ก็ถือว่าโชคดีที่รอดพ้นจากการลงโทษในวันนี้ด้วย”
ตั้งแต่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สิ้นพระชนม์ หรงเซวียนก็สงบเสงี่ยมอย่างคาดไม่ถึง แม้ว่าเขาจะถูกขังอยู่ในวังเช่นเดียวกันกับพวกเขา แต่หรงเซวียนก็ออกไปคุกเข่าที่หน้าประตูของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทุกวัน ส่วนเวลาที่เหลือก็อยู่แต่ในตำหนักที่เขาต้องอาศัยอยู่เป็นการชั่วคราวไม่ยอมออกไปไหน คืนนี้พวกเขามาหาเรื่องหรงจิ่น หรงเซวียนก็ไม่มีความเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
หรงเหยี่ยนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวเสียงเบาว่า “พี่สองสุขภาพไม่ดี เกรงว่าจะทนความทรมานไม่ไหว”
หรงซิงยิ้มเย้ยหยัน เลิกคิ้วกล่าว “ข้าว่าเขากลัวหรงจิ่น นึกว่าเขาจะแน่เสียอีก”
หรงเหยี่ยนแอบถอนหายใจด้วยความท้อแท้ พูดไม่ออกเรื่องที่พวกเขาทั้งหมดถูกหรงจิ่นวางแผน ความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจว่าเหตุใดหรงเซวียนจึงไม่เข้ามายุ่ง ร่างกายของหรงเซวียนไม่รู้ว่าจะกลับคืนดังเดิมได้เมื่อไร ทุ่มเทต่อสู้ไปจะมีประโยชน์อะไร บรรดาพระราชนัดดารุ่นต่อไปต่างก็ขาดการฝึกประสบการณ์ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับหรงเซวียน เกรงว่าจวนจวงอ๋องจะกลายเป็นจวนจื้ออ๋องสอง
หากตอนนั้นไม่รีบหรงมือกับหรงเซวียน…หรงเหยี่ยนยิ้มเจื่อนๆ ใครจะคิดว่าเสด็จพ่อที่ดูสุขภาพแข็งแรงอยู่เสมอจะจากไปเร็วเช่นนี้ ยิ่งกว่านั้น…ต่อให้รู้ความคิดในตอนนั้น เกรงว่าการกำจัดหรงเซวียนก็เหมือนกับลดศัตรูไปได้หนึ่งคนอยู่ดี
น้องเก้าผู้นี้…สุดยอดจริงๆ
“พี่สี่ พวกเราจะปล่อยไปเช่นนี้อย่างนั้นหรือ” อีกด้านหนึ่ง เสียงขององค์ชายหกดังขึ้นเบาๆ
หรงเหยี่ยนหันไป สำรวจมององค์ชายหกที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย องค์ชายหกเป็นคนของหรงเซวียน แต่หลังจากหรงเซวียนถูกวางยาพิษเขาก็ค่อยๆ เริ่มเคลื่อนไหว ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาหลังจากที่เสด็จพ่อสิ้นพระชนม์ ก็เริ่มขยับเข้ามาใกล้ๆ ตน แน่นอนว่าหรงเหยี่ยนรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่หรงเหยี่ยนไม่ได้ให้ความสนใจกับพี่น้องที่มีความทะเยอทะยานเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าตอนนี้หรงเซวียนจะสงบลง แต่การจัดการองค์ชายหกก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หรงเหยี่ยนก็ไม่ต้องการมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับหรงเซวียนเพราะเขาตอนนี้ จนทำให้หรงเซวียนไปอยู่ข้างหรงจิ่นอย่างสมบูรณ์แบบ