“ไม่เป็นไร…น้องหกคิดเช่นไรเล่า” หรงเหยี่ยนเลิกคิ้วเอ่ยอย่างนิ่งเฉย
องค์ชายหกกัดฟันแต่ไม่พูดอะไร หรงเหยี่ยนกล่าว “ฝ่าบาทไม่ได้ทำอะไรที่มันเกินเลย แล้วเราจะทำอะไรได้” ลงโทษให้คุกเข่าต่อหน้าป้ายฮ่องเต้แคว้นเยว่มันเกินไปเช่นนั้นหรือ แน่นอนว่าไม่เกินไป ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เป็นเสด็จพ่อของพวกเขา ไม่ต้องพูดถึงให้คุกเข่าตรงนั้นทั้งคืน ถึงแม้จะคุกเข่าตรงนั้นสิบสองชั่วโมงต่อวันก็ถือเป็นความกตัญญูที่พวกเขาควรทำ ถึงแม้เรื่องนี้จะแพร่ออกไป คนนอกก็ไม่มีทางต่อว่าหรงจิ่นแน่นอน
เห็นได้ชัดว่าน้องเก้าคนนี้ไม่ใช่ลูกผู้ลากมากดีที่เอาแต่ก่อเรื่องเหมือนที่พวกเขาคิด
หรงซิงมององค์ชายหกอย่างไม่เป็นมิตร ดึงแขนเสื้อของหรงเหยี่ยนแล้วพูดเบาๆ ว่า “พี่สี่ แล้วบรรดาเสด็จแม่จะทำเช่นไรเล่า” ถึงแม้เสด็จแม่ของหรงเหยี่ยนจะเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่เสด็จแม่ของหรงซิงยังมีชีวิตอยู่ ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เข้มงวดต่อบรรดาสนมมาตลอด ถึงแม้จะเข้ามาอยู่ในพระราชวังนานกว่ายี่สิบปี ให้กำเนิดองค์ชายอย่างหรงซิง แต่เสด็จแม่ของหรงซิงก็ยังเป็นเพียงสนม
ที่พวกเขายุให้บรรดาสนมไปหาเรื่องหรงจิ่นก็เพราะเห็นว่าหรงจิ่นยังเด็ก ไม่มีทางจัดการเรื่องพวกนี้ได้ แล้วอีกอย่าง ถึงอย่างไรบรรดาสนมก็ถือเป็นผู้อาวุโสของหรงจิ่น แต่คิดไม่ถึงว่าหรงจิ่นกลับไม่ติดกับ จะส่งบรรดาสนมเข้าไปอยู่ในวังเย็นทันที เกรงว่าบรรดาสนมคงจะพากันเกลียดเขา ผู้หญิงเหล่านี้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว แต่ตระกูลที่อยู่ข้างหลังพวกนางยังคงดำรงอยู่
หรงเหยี่ยนยิ้มอย่างเย็นชา “คนที่จะส่งบรรดาสนมเข้าไปในวังเย็นคือฝ่าบาท มันไม่เกี่ยวกับพวกเรา สำหรับสนมเหอ... ประเดี๋ยวน้องสิบไปขอร้องฝ่าบาท รับเสด็จแม่กลับไปดูแลที่จวนก็ได้”
หรงซิงตกใจ เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนี้…จะดีหรือ”
หรงเหยี่ยนพูดอย่างเฉยเมย “นี่คือความกตัญญูของน้องสิบ จะไม่ดีได้เช่นไร น้องสิบอย่าก่อเรื่อง ขอร้องฝ่าบาทดีๆ จำไว้ว่า ต้องขอร้องเขาด้วยความเคารพ” ถึงแม้หรงซิงจะไม่เข้าใจความหมายของหรงเหยี่ยน แต่เขากลับเชื่อมั่นในสมองของพี่ชายคนนี้ จึงพยักหน้ากล่าว “ข้ารู้แล้ว”
ดั่งที่โบราณบอกไว้ แว่นเคว้นต้องมีจักรพรรดิ ถึงแม้ฮ่องเต้องค์ใหม่คนนี้ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่พอใจ แต่พิธีขึ้นครองราชย์ยังคงเป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่ เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วัน สำนักหอดูดาวหลวงก็เลือกฤกษ์งามยามดีไว้แล้ว พิธีขึ้นครองราชย์ กำหนดจัดขึ้นในวันที่ยี่สิบเดือนสี่ ตอนนั้นโลงศพของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็จะถูกส่งไปที่สุสานหลวง ทูตของแต่ละประเทศที่มาแสดงความยินดีกับฮ่องเต้องค์ใหม่ก็จะทยอยมาถึงกันแล้ว
ณ ตำหนักหันจัง หรงจิ่นมองคนจากสำนักหอดูดาวหลวงและอาลักษณ์กรมพิธีกรรมที่มีสีหน้าเคารพอยู่ข้างล่าง เขาพยักหน้ากล่าว “ทำตามที่พวกเจ้าพูดเถิด”
“กระหม่อมน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” อาลักษณ์กรมพิธีกรรมและสำนักหอดูดาวหลวงพูดพร้อมกัน ช่วงนี้ ขุนนางในราชสำนักก็คงมีแค่พวกเขาที่ยังมีชีวิตที่ดี ส่วนขุนนางคนอื่นล้วนแต่ถูกขังไว้ทุกข์ให้อดีตฮ่องเต้อยู่ในพระราชวัง แต่พวกเขายังสามารถเข้าออกพระราชวังอย่างอิสระ เช่นนี้ถือว่าดีมากแล้ว
สำหรับฮ่องเต้องค์ใหม่ พวกเขาสองคนมีความมั่นใจ เมื่อก่อนพวกเขาคิดว่าฮ่องเต้องค์นี้กำเริบเสิบสาน นอกจากก่อเรื่องก็ทำอะไรไม่เป็น แต่สองสามวันที่ผ่านมา ท่าทีของฮ่องเต้องค์ใหม่นี้กลับทำให้พวกเขาเปลี่ยนความคิด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น หัวหน้าของแต่ละกรมล้วนแต่ถูกขังอยู่ในพระราชวัง แต่เรื่องในราชสำนักกลับไม่มีวี่แววของความวุ่นวาย เขาสามารถจัดการเรื่องทุกอย่างได้อย่างเหมาะสม ย่อมเพียงพอที่จะพิสูจน์ความสามารถของเขา เกรงว่าถึงแม้ฮ่องเต้องค์ใหม่จะฆ่าขุนนางคนสำคัญตายหมด แต่หากเขาสามารถนั่งบนบัลลังก์สำเร็จ ราชสำนักก็คงไม่เกิดความวุ่นวาย
พวกเขาสองคนขอตัวออกไปด้วยความเคารพ มู่ชิงอีเดินออกมาจากหลังตำหนัก เลิกคิ้วกล่าว “เหล่าขุนนางที่ไว้ทุกข์ให้อดีตฮ่องเต้ ควรปล่อยพวกเขาออกมาได้แล้วกระมัง” ขังพวกเขาอยู่ในพระราชวังนานเกินไปอาจจะเกิดเรื่องขึ้นได้ ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงนี้นางกับหรงจิ่นแค่สองคนจัดการเรื่องทุกอย่างเอง มันไม่ได้ผ่อนคลายและสบายใจเหมือนที่พวกเขาแสดงออก หากฮ่องเต้คนเดียวสามารถจัดการเรื่องทุกอย่างได้ เช่นนั้นยังจะมีขุนนางเอาไว้ทำไม
หรงจิ่นเลิกคิ้ว พยักหน้าเห็นด้วย “ชิงชิงพูดถูก เรียกพวกเขาเข้ามาเถิด”
เจี่ยงปินออกไปประกาศพระราชโองการตามคำสั่ง หรงจิ่นเดินไปจับมือมู่ชิงอีมานั่งบนเก้าอี้ของตัวเอง จากนั้นก็พูดอย่างพอใจ “ชิงชิง ต่อไปเจ้าจะทำเช่นไร”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วแล้วถามด้วยความสงสัย “องค์ชายเก้าหมายความเช่นไรเพคะ หรือว่าตอนนี้องค์ชายเก้าขึ้นครองราชย์แล้ว จึงไม่ต้องการหม่อมฉันแล้ว?”
ใบหน้าของหรงจิ่นเหยเก “ชิงชิง เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ชิงชิง…ข้าขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้แล้ว เจ้าไม่รู้สึกว่ามันขาดอะไรไปหรือ”
“ขาดอะไรหรือเพคะ” มู่ชิงอีเลิกคิ้วพร้อมรอยยิ้ม
“ฮอง! เฮา!” องค์ชายเก้ากัดฟันเอ่ย
มู่ชิงอีตกตะลึงก่อนจะยิ้มอย่างแผ่วเบา “ที่จริงแล้วฝ่าบาทต้องการฮองเฮาหรือเพคะ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก ถึงแม้ฝ่าบาทไม่พูด เมื่อขึ้นครองราชย์แล้ว บรรดาขุนนางก็ต้องพูดแน่นอน ถึงตอนนั้น…สตรีเพียบพร้อมของแต่ละตระกูลในแคว้นนี้คงล้วนแต่…อืม…”
หรงจิ่นทำสีหน้ามืดมน เขาดึงมู่ชิงอีเข้ามาจูบในอ้อมกอดของตัวเองอย่าแรง ที่จริงมู่ชิงอีก็แค่หยอกล้อเขา ถึงแม้นางไม่สามารถยอมรับและตอบแทนความจริงใจของหรงจิ่น แต่นางก็ไม่เคยมองข้ามมัน
“หรง…” จูบนี้ไม่อ่อนโยนเหมือนแต่ก่อน แต่กลับมีกลิ่นอายของความโมโหดุดัน ทำให้มู่ชิงอีปฏิเสธไม่ได้ เขาดูดความหวานจากริมฝีปากของนางอย่างดุเดือด
ถึงแม้นางจะเกิดมาตั้งสองครั้ง แล้วยังเคยอยู่ที่หอนางโลมชุ่ยหงสองสามปี แต่มู่ชิงอีไม่เคยเจออะไรที่รุนแรงเช่นนี้มาก่อน นางพยายามดิ้นแต่กลับถูกหรงจิ่นจูบอย่างหนักหน่วง นางจึงเอนตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างไร้เรี่ยวแรง…
เมื่อไหล่ของนางพอจะขยับได้ มู่ชิงอีก็ตัวสั่นเทา จากนั้นพลันได้สติกลับมา รีบผลักหรงจิ่นออกอย่างรวดเร็ว “หรงจิ่น!”
หรงจิ่นชะงักงัน สูดลมหายใจเข้าแล้วค่อยๆ คลายมือปล่อยมู่ชิงอีออก แต่กลับเห็นคนที่อยู่ตรงหน้าที่สวมชุดผู้ชายสีขาว ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าหลุดรุ่ยเผยให้เห็นไหล่ที่ขาวราวหิมะ ริมฝีปากบางนั้นถูกเขาจูบจนกลายเป็นสีแดง ใบหน้างดงามแดงก่ำราวกับลูกท้อ ช่างเย้ายวนใจเหลือเกิน
“ชิงชิง…” สายตาแดงก่ำปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา หรงจิ่นพยายามควบคุมตัวเองและดึงสติกลับมา เขาดึงเสื้อผ้าขึ้นมาสวมให้นางอย่างเบามือ จากนั้นก็กอดนางเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนตัวเอง “ข้าขอโทษ ชิงชิง… ล้วนแต่เป็นความผิดของข้า ชิงชิง…ชิงชิงไม่ยินยอมที่จะแต่งงานกับข้าเช่นนั้นหรือ”
เขาคิดว่าชิงชิงชอบตน แต่ทำไมชิงชิงถึงไม่ยอมแต่งงานกับเขาเล่า สายตาที่แดงก่ำนั้นเต็มไปด้วยความสับสนและผิดหวัง
สภาพที่ดูน่าอนาถของตัวเองทำให้ใบหน้าของมู่ชิงอีร้อนผ่าว แต่เมื่อเห็นท่าทีระมัดระวังของหรงจิ่น นางก็รู้สึกสงสารเขา อดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ “หม่อมฉันไม่ใช่ว่า…ไม่ยอม…”
หรงจิ่นเงยหน้าขึ้นมองนางด้วยความอึ้งตะลึง มู่ชิงอีกล่าวเสียงเรียบ “ตอนนี้มีเพียงหม่อมฉันที่อยู่ที่แคว้นเย่ว์ หากหม่อมฉันจะแต่งงาน หม่อมฉันก็ต้องรายงานพี่ใหญ่ก่อนไม่ใช่หรือเพคะ” หากพี่ใหญ่รู้ว่านางแต่งงานโดยที่ไม่บอกเขาสักคำ…มู่ชิงอีไม่กล้าคิดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้น
“แล้วอีกอย่าง… หม่อมฉันไม่อยากเป็นฮองเฮาเพคะ” มู่ชิงอีพูดเสียงเบา