หรงจิ่นพยักหน้าด้วยความพอใจ ชายเฒ่าคนนี้รู้ความ เห็นแก่การรู้ความของเขา เขาจะยังไม่เอาเรื่องที่เขาคดโกงเงิน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งหรงจิ่นก็เอ่ยว่า “ข้าได้ยินมาว่าสองปีนี้หลานชายคนโตของราชครูรับตำแหน่งอยู่ที่สำนักศึกษาฮั่นหลิน ไม่เลวเลยทีเดียวใช่หรือไม่”
ชายเฒ่าตอบกลับอย่างน่าสงสาร “ฝ่าบาทชมเกินไปพ่ะย่ะค่ะ” ปีนี้หลานชายของเขาอายุเพียงยี่สิบเจ็ดปี รับตำแหน่งบรรณาธิการขุนนางระดับสี่ในสำนักศึกษาฮั่นหลิน ดูจากระดับตำแหน่งขุนนาง อายุแค่นี้ถือว่าเขาตำแหน่งสูงมากแล้ว แต่หากจะบอกว่าไม่เลว…สถานที่ที่ไม่มีอะไรทำอย่างสำนักศึกษาฮั่นหลินจะบอกว่าดีหรือไม่ดีได้เช่นไร ชายเฒ่าคิดว่าตัวเองพ่ายแพ้ฮ่องเต้องค์นี้แล้ว การที่เขาได้เป็นอัครมหาเสนาบดีไม่ใช่เพราะเขามีความสามารถมากมาย แต่เพราะเขารู้ความ เอาใจฮ่องเต้เก่ง แต่เขากลับรู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าใจความคิดของฮ่องเต้องค์ใหม่คนนี้เลยแม้แต่น้อย
หรงจิ่นลูบคางกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กลับไปบอกให้เขาไปรับตำแหน่งรองเจ้ากรมขุนนาง ที่กรมขุนนางเถิด จะว่าไปแล้ว…ช่วงนี้ใต้เท้าหวังที่กรมขุนนางกำลังวุ่นวาย…ควรมีรองเจ้ากรมขุนนางอีกสักคนคอยช่วยเขา”
ชายเฒ่าหัวใจเต้นแรง เขาเหลือบมองฮ่องเต้ที่สูงส่งในห้องโถงด้วยความสงสัย ฝ่าบาทไม่ได้กำลังบอกว่าหลานชายของข้าทำงานได้ดีแล้วยังเชื่อฟัง สามารถโค่นคนที่นั่งอยู่ในกรมขุนนางกับที่ว่าการเฟิ่งเทียนเพื่อไปแทนที่เช่นนั้นหรือ
องค์ชายเก้ายิ้มอย่างมีเลศนัย วิธีตบหัวแล้วลูบหลัง ใช่ว่าเขาทำไม่เป็นแต่เขาขี้เกียจใช้วิธีนั้น ถึงแม้ว่าชายเฒ่าคนนี้จะไร้ประโยชน์แล้วยังขวางหูขวางตา แต่สิ่งที่หาได้ยากก็คือเขาไม่อยู่ฝั่งใคร ไม่เข้าไปยุ่งกับองค์ชายคนอื่น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ควรให้โอกาสคนรุ่นหลังของเขา สำหรับคนอย่างเขา อนาคตของตระกูลคงสำคัญมากกว่าตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวากระมัง
เป็นเหมือนที่คิดไว้จริงๆ อดีตอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา ราชครูแห่งสำนักศึกษาเหวินซังเก๋อเข้าใจในทันที เขาขอบพระทัยด้วยความดีใจ “กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะบอกให้หลานชายของกระหม่อมจงรักภักดี เพื่อตอบแทนพระกรุณาธิคุณของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยด้วยความซาบซึ้ง น้ำเสียงสะอึกสะอื้น
ทำเอาหรงจิ่นพูดอะไรไม่ออก คนที่สามารถอยู่รอดเงื้อมมือของเสด็จพ่อของตนมานานหลายสิบปีแล้วยังไม่ถูกโค่นล้มช่างไม่ธรรมดาจริงๆ แค่ทักษะการแสดงละครของเขา หากตนไม่รู้ก็คงจะคิดว่าชายเฒ่าคนนี้ซาบซึ้งในตัวเขาจริงๆ
คนอื่นที่อยู่ในเหตุการณ์เห็นเช่นนี้ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองหน้าอย่างครุ่นคิด ฮ่องเต้องค์ใหม่เชิดชูตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาไว้อย่างสูงส่ง แต่ความจริงแล้วมันคือการปลดอำนาจของเขา แคว้นเย่ว์ไม่เคยให้อัครมหาเสนาบดีรับตำแหน่งราชครูองค์รัชทายาท แล้วอีกอย่าง ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าองค์รัชทายาทอยู่ในท้องของแม่นางคนไหน แต่อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวากลับต้องกลับไปพักผ่อนที่จวนเสียแล้ว เช่นนั้น ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีที่ว่างอยู่…
ทุกคนล้วนแต่มองไปฮ่องเต้องค์ใหม่ที่อยู่ในห้องโถง ปกติแล้วเมื่อฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ต้องมอบรางวัลให้แก่บรรดาขุนนาง แต่ฮ่องเต้องค์ใหม่กลับทรมานพวกเขามาตั้งหลายวัน เขาอยากจะแสดงอำนาจก่อน แล้วค่อยมอบรางวัลให้พวกเขาอย่างนั้นหรือ
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวารับตำแหน่งราชครูองค์รัชทายาท เช่นนั้นตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาและอัครมหาเสนาบดีซ้ายที่ว่างลง ฝ่าบาทโปรดไตร่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ” นอกจากอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา ราชเลขาธิการฝ่ายทหารอาวุโสก็เดินออกมาแล้วทักท้วงพลางแอบคิดในใจ ถึงแม้จะไม่ได้ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา อย่างน้อยก็คงได้ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายกระมัง
“อ้อ?” หรงจิ่นลูบคางตัวเองเบาๆ เหลือบมองมู่ชิงอีที่อยู่ข้างๆ ก่อนจะยิ้มแล้วถามขึ้นว่า “ราชครู เจ้ามีอะไรแนะนำหรือไม่”
ราชครูหัวใจเต้นแรง เหงื่อไหลซึมทันที แต่ทำได้เพียงลอบบ่นในใจ เขาคาดเดาความคิดของอดีตฮ่องเต้ได้ แต่ฮ่องเต้องค์ใหม่คนนี้เขากลับเดาไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว
“เอ่อ… กระหม่อมไม่ทราบ การเลือกอัครมหาเสนาบดีเป็นเรื่องใหญ่ของราชสำนัก ฝ่าบาทควรตัดสินพระทัยด้วยพระองค์เองพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิ่นแอบชื่นชมในใจ หากอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาคนนี้ไม่เพียงแต่เอาใจฮ่องเต้ แต่ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์มากกว่านี้ เขาอาจจะเป็นคนมีพรสวรรค์ กระนั้นหากเป็นเช่นนั้นเขาก็คงไม่ได้รับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา
“เช่นนั้นหรือ” หรงจิ่นครุ่นคิดแล้วเหลือบมองผู้คนที่อยู่ด้านล่าง ถึงแม้ผู้คนที่อยู่ด้านล่างจะมีสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ในใจของพวกเขากลับตื่นเต้น กลัวฮ่องเต้จะมองไม่เห็นตัวเอง ถึงแม้พวกเขาจะมีพรรคพวกเป็นของตัวเอง แต่ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีต้องขึ้นอยู่กับฮ่องเต้ แม้แต่บรรดาท่านอ๋องที่คอยหนุนนำพวกเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้
มองดูสีหน้าที่แตกต่างกันของพวกเขาด้วยความชอบใจ ในที่สุดหรงจิ่นก็รู้สึกสนุกสนานพอแล้ว กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้…จื่อชิง”
มู่ชิงอีเดินเข้าไปเงียบๆ โค้งตัวถวายบังคม “กระหม่อมกู้หลิวอวิ๋นถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิ่นยิ้มกล่าว “กู้หลิวอวิ๋นปกป้องข้ามีความดีความชอบ มีผลงานโดดเด่นในที่ว่าการเฟิ่งเทียน แต่งตั้งให้เขาเป็นอัครมหาเสนาบดี บัญชาการเหล่าขุนนาง”
ปัง!
ผู้คนที่อยู่ด้านล่างต่างตกตะลึงจนตาเหลือก
กู้หลิวอวิ๋น? นี่มันเหลวไหลเกินไปแล้ว ในแง่ของความสำเร็จ ในแง่ชื่อเสียง ในแง่ความอาวุโส ในแง่อายุ ไม่ว่าใครในห้องโถงนี้ก็มีคุณสมบัติมากกว่ากู้หลิวอวิ๋นกันทั้งสิ้น
หากมีคนไปถามองค์ชายเก้า องค์ชายเก้าก็คงจะบอกพวกเขาอย่างภาคภูมิใจว่า ถูกต้อง ในแง่ความสำเร็จและชื่อเสียง ชิงชิงสู้บรรดาชายเฒ่าเหล่านี้ไม่ได้ แต่มีอย่างหนึ่งที่บรรดาชายเฒ่าเหล่านี้ตามชิงชิงไม่ทัน
คือความโปรดปรานของฮ่องเต้!
ความโปรดปรานของฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ดี มีความโปรดปรานของฮ่องเต้ ถึงแม้เจ้าจะไร้ความสามารถและไร้ประโยชน์จริงๆ แต่เจ้าก็สามารถประสบความสำเร็จ แต่หากไม่มีความโปรดปรานของฮ่องเต้ ถึงแม้เจ้าจะมีความสามารถมากแค่ไหน แต่เจ้าก็ต้องอยู่เงียบๆ ดังนั้น กู้หลิวอวิ๋นที่ได้รับความโปรดปรานของฮ่องเต้เป็นอันดับหนึ่งจึงสามารถรับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี มีปัญหาอะไรหรือไม่
บรรดาขุนนางเฒ่าที่ล้วนแต่อดไม่ได้ที่จะกระอักเลือดในใจ พวกเขาทำกรรมอะไรไว้ถึงได้ซวยเช่นนี้ ช่วงยี่สิบปีก่อน เจอฮ่องเต้ที่รักสตรีมากกว่าแว่นแคว้น จนเกือบจะฆ่าขุนนางคนสำคัญของราชสำนักเพราะสตรีเพียงคนเดียว หรือว่ายี่สิบปีหลังพวกเขาก็ยังต้องอดทนกับฮ่องเต้ที่หลงใหลในเพศเดียวกัน ให้คนที่อายุเพียงสิบห้าสิบหกปีนั่งตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี? แคว้นเย่ว์กำลังจะพังทลายลงเช่นนั้นหรือ
“กระหม่อมกู้หลิวอวิ๋นขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ราวกับไม่เห็นสายตาโมโหของบรรดาขุนนางที่อยู่ด้านล่าง มู่ชิงอีก้มหน้าเอ่ยขอบพระทัยอย่างเมินเฉย ตอนนี้หรงจิ่นยังไม่มีรากฐานในราชสำนัก ชื่อเสียงที่ดีไม่มีประโยชน์สำหรับพวกเขา มันจะทำให้ผู้คนคิดว่าพวกเขายังเด็ก โง่เขลา และรังแกง่ายแค่นั้น
“จื่อชิงลุกขึ้นเถิด” หรงจิ่นพยุงมู่ชิงอีลุกขึ้นด้วยความปีติ เขาเอ่ย “ต่อไปจื่อชิงคือใต้เท้าของบรรดาขุนนาง ต้องคอยสังเกตการณ์ให้พวกเขาจงรักภักดีและทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อแคว้นเย่ว์” ดังนั้น ชิงชิง หากบรรดาขุนนางเหล่านั้นไม่ฟังเจ้า เจ้าก็จัดการพวกเขาได้เลย!
มองหรงจิ่นที่พูดด้วยรอยยิ้ม มู่ชิงอีก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปาก “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
ช่างทำลายบรรยากาศเสียจริง! พวกเขาทั้งสองคนส่งยิ้มให้กันอยู่ในห้องโถง หากเป็นผู้ชายกับผู้หญิงแน่นอนว่าคงเป็นภาพที่สวยงาม แต่บุรุษสองคนส่งยิ้มให้กันนั้นทำให้บรรดาขุนนางไม่อยากมอง
“ฝ่าบาท ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!” ในที่สุดก็มีคนคัดค้านอย่างทนไม่ไหว
หรงจิ่นก้มหน้าลง สายตาของเขาปรากฏความเยือกเย็น ในที่สุดเขาก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไป
ลืมตาขึ้นมองใต้เท้าฝ่ายตรวจการณ์ที่มีสีหน้าเย่อหยิ่ง เลิกคิ้วแล้วเอ่ยว่า “ทำไมจะไม่ได้” ตอนนั้นเสด็จพ่อไม่ได้ฆ่าล้างบางขุนนางจนหมดสิ้น เพิ่งจะผ่านมาเพียงยี่สิบปีแต่กลับมีฝ่ายตรวจการณ์ที่กล้าคัดค้านฮ่องเต้แล้วน่ะหรือ