ราชครูยิ้มเอ่ย “ปู่อายุมากแล้ว ควรพักผ่อนได้แล้ว ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปเจ้าไม่ต้องไปที่สำนักศึกษาฮั่นหลินอีกแล้ว ไปกรมขุนนางเถิด ไปรับตำแหน่งรองเจ้ากรมขุนนาง”
“อะไรนะขอรับ” เจียงอวี้ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ บรรณาธิการสำนักศึกษาฮั่นหลินเป็นแค่ขุนนางระดับสี่ แต่รองเจ้ากรมขุนนางเป็นถึงขุนนางระดับสอง เลื่อนขั้นขึ้นไประดับสองอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เจียงอวี้จะไม่ตกใจได้อย่างไร
ราชครูยิ้มแล้วมองดูหลานชายตัวเอง “ตกใจหรือ”
เจียงอวี้ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน จะไม่ตกใจได้ที่ไหน นอกจากต้นปีที่อดีตฮ่องเต้แต่งตั้งผู้ว่าการเฟิ่งเทียน ขุนนางระดับสามแล้ว ยังไม่มีขุนนางคนไหนได้เลื่อนขั้นไกลขนาดนี้
ราชครูยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องกลัว เจ้ายังถือว่าไม่เป็นไร ยังมีอัครมหาเสนาบดีที่เลื่อนจากขุนนางระดับสามมาเป็นขุนนางระดับหนึ่ง เขาเป็นที่น่าสนใจมากกว่าเจ้าเสียอีก” แล้วยังไม่ได้เป็นแค่อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาหรือฝ่ายซ้าย แต่คนเพียงคนเดียวกลับรับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีทั้งสองฝ่าย เป็นผู้บังคับบัญชาของคนเป็นหมื่น
เจียงอวี้อึ้งตะลึง จากนั้นก็ได้สติกลับมา “ท่านปู่…ท่าน ท่าน…”
ราชครูยิ้มกล่าว “เจ้าเป็นอะไร ฝ่าบาทไม่ได้ทำอะไรข้า ราชครูองค์รัชทายาท ราชครูแห่งสำนักศึกษาเหวินซังเก๋อ ข้านั่งตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวามานานไปแล้ว ตอนนี้มีจุดจบเช่นนี้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่าบาทยังแต่งตั้งให้เจ้าเป็นรองเจ้ากรมขุนนาง เราไม่มีอะไรเสียเปรียบ”
คนอื่นล้วนแต่มองว่าเขาเป็นอัครมหาเสนาบดีที่ไร้ความสามารถ เหอะๆ…แล้วทำไมเล่า ไม่รู้หญ้าบนหลุมศพที่ไม่ธรรมดาและมีความสามารถเหล่านั้นสูงแค่ไหน แต่เขากลับสามารถยืนหยัดจนถึงฮ่องเต้องค์ใหม่แต่งตั้งตำแหน่งให้หลานชายตัวเอง เขายังมีอะไรไม่พอใจอีก? ตราบใดที่ฮ่องเต้องค์ใหม่นั่งบนบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง หลานชายของเขาพยายามอีกสักหน่อย ผ่านไปยี่สิบปีตระกูลเจียงอาจจะมีอัครมหาเสนาบดีก็ได้ เพราะ…อวี้เอ๋อร์ยังอายุไม่ถึงสามสิบปี นี่ก็ถือว่าเร็วแล้ว!
ถึงแม้เขาจะไม่ฉลาดเรื่องในราชสำนัก แต่หลักการการเอาตัวรอดในราชสำนัก ใช่ว่าคนที่ฉลาดจะเข้าใจ
“ท่านปู่…” เจียงอวี้ตาแดง ในสายตาของเขา ท่านปู่เสียสละตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีให้ตัวเอง ถึงแม้ราชครูจะเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติ แต่มันกลับเป็นตำแหน่งที่มีแค่ชื่อ ไม่ได้มีเกียรติเท่าอัครมหาเสนาบดีที่เป็นหัวหน้าของเหล่าขุนนาง
ราชครูตบไหล่หลานชายตัวเองเอ่ย “เด็กดี ปู่บอกแล้วว่าต่อไปตระกูลเจียงต้องพึ่งพาเจ้า เจ้าต้องจำเอาไว้ว่า… ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต้องจงรักภักดีต่อฝ่าบาท”
เจียงอวี้มองดูท่านปู่ด้วยความสงสัย ฝ่าบาทแย่งตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีไปให้ชายหนุ่มที่ยังไม่ได้เข้าพิธีสวมกวานด้วยซ้ำ ท่านปู่ไม่เคียดแค้นเลยหรือ
ราชครูส่ายหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านปู่ของเจ้าอยู่กับอดีตฮ่องเต้มาหลายสิบปี ข้ารู้จักอดีตฮ่องเต้ดี หากฮ่องเต้องค์ใหม่เป็นคนไร้ความสามารถจริงๆ ถึงแม้อดีตฮ่องเต้จะรักและเอ็นดูเขามากแค่ไหน แต่บัลลังก์ก็ไม่มีทางตกไปถึงมือของเขาแน่นอน แล้วยังมีกู้หลิวอวิ๋นคนนั้น ดูเหมือนเขายังเด็กแต่ความฉลาดของเขา เหอะๆ…แม้แต่ข้ายังไม่กล้าหาเรื่องเขา เจ้าลองคิดดูเถิด ผ่านไปแค่ไม่กี่เดือน คนที่เสียเปรียบในเงื้อมมือของเขามีไม่น้อย อาลักษณ์กรมขุนนางคนนั้น ตอนนี้ยังถูกขังอยู่ที่ที่ว่าการเฟิ่งเทียน ฝ่าบาทปลดตำแหน่งข้า ไม่ใช่เพราะแค่กู้หลิวอวิ๋นคนเดียว เกรงว่า…ข้าแก่แล้ว ไม่มีพละกำลังเหมือนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้า เกรงว่าฝ่าบาทคงจะไม่ชอบข้า แต่ฝ่าบาทกลับเลื่อนตำแหน่งให้เจ้า หมายความว่าฝ่าบาทพอใจตระกูลเจียง เจ้าต้องจงรักภักดีต่อฝ่าบาท ต่อไปตระกูลเจียงของเราจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องอนาคต”
“แต่ว่า…” เจียงอวี้ขมวดคิ้วเอ่ยถาม “ท่านปู่คิดว่า… ฝ่าบาทจะนั่งบัลลังก์ก็ได้อย่างมั่นคงจริงๆ น่ะหรือ” ตอนนี้ถึงแม้สถานการณ์จะดูสงบ แต่ในที่มืดกลับพูดยาก เกรงว่าท่านอ๋องสองสามคนนั้นคงจะไม่ยอมจำนนต่อฮ่องเต้องค์ใหม่คนนี้ องค์ชายล้วนแต่หยิ่งทะนง หากเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ที่สามารถปราบปรามพวกเขาได้ก็คงดี แต่องค์ชายเก้ากลับดูเหมือนไม่ใช่คนที่สามารถปราบปรามบรรดาองค์ชายเหล่านั้นได้
ราชครูครุ่นคิดครู่หนึ่งเอ่ย “เป็นขุนนาง ต้องไม่หวั่นไหว ข้าจงรักภักดีต่อฝ่าบาทมาทั้งชีวิต ต่อไปก็ต้องเป็นเช่นนี้ เจ้าต้องจำเอาไว้ว่า หากตระกูลเจียงของเราจงรักภักดีต่อฝ่าบาท ต่อไปถึงแม้ว่าฝ่าบาทจะพ่ายแพ้ แต่ตระกูลของเราก็อาจจะไม่เดือดร้อน แต่หากเราแอบร่วมมือกับคนอื่น เกรงว่าฝ่าบาทยังไม่เป็นอะไร ตระกูลเจียงของเราคงจะซวยเสียก่อน”
เจียงอวี้เงียบไป เห็นได้ชัดว่าเขากำลังคิดถึงคำสอนของท่านปู่ตัวเอง ถึงแม้คนนอกจะบอกว่าท่านปู่ของเขาไร้ความสามารถ เอาแต่ประจบสอพลอ
อดีตฮ่องเต้ แต่เจียงอวี้กลับคิดว่า นี่เป็นเพียงวิธีเป็นขุนนางที่ดีและปกป้องตัวเองของท่านปู่
ผ่านไปครู่หนึ่ง เจียงอวี้ก็เงยหน้าขึ้นมองท่านปู่แล้วกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “หลานเข้าใจแล้วขอรับ ขอบพระคุณท่านปู่ที่สั่งสอน”
ราชครูพยักหน้าด้วยความพอใจ “เข้าใจแล้วก็ดี เข้าใจแล้วก็ดี...” หันหน้ามองออกไปทางวัง ในสายตาของราชครูมีแววตาแปลกๆ อยู่ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในตำหนักหันจัง ทำให้เขานึกถึงฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ที่เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์เมื่อสี่สิบปีก่อน ความทะนงตนที่เหมือนกัน ความมั่นใจที่เหมือนกัน แต่ในสายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความโหดเหี้ยมที่ถึงแม้จะไม่ค่อยเหมือนกันสักเท่าไร แต่มันกลับทำให้เขามีความคาดหวัง ยี่สิบปีก่อน…ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เสียโอกาสไปแล้วหนึ่งครั้ง บางที นี่อาจจะเป็นโอกาสครั้งที่สองของแคว้นเย่ว์?
เมื่อฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ แม้แต่พิธีขึ้นครองราชย์ก็ยังไม่ได้จัด แต่กลับแต่งตั้งชายหนุ่มที่อายุเพียงสิบกว่าปีเป็นอัครมหาเสนาบดีทำให้เมืองหลวงเกิดความโกลาหล แต่ช่วยไม่ได้ เพราะท่านอ๋องของแต่ละตระกูลกำลังไว้ทุกข์ให้อดีตฮ่องเต้ในวัง อำนาจทางทหารทั้งในและนอกเมืองหลวงถูกฮ่องเต้องค์ใหม่ครอบครองอย่างรวดเร็ว คนเหล่านี้คงทำได้เพียงวิพากษ์วิจารณ์ ไม่มีผลกระทบอะไรกับคนที่อยู่ในวัง สำหรับกีฏาของบรรดาขุนนางนักปราชย์ องค์ชายเก้าโยนมันทิ้งโดยที่ไม่อ่านเลยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่ายังมีขุนนางอาวุโสบางคนที่ไม่พอใจเพราะเรื่องนี้แล้วไม่ยอมทำหน้าที่ตัวเอง แต่กลับเห็นว่าถึงแม้พวกเขาจะไม่ทำงาน หน้าที่ที่เดิมทีเป็นของพวกเขากลับมีคนเข้ามาจัดการได้อย่างเหมาะสม ฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่ได้ต้องการพวกเขา พวกเขาเริ่มรู้สึกกังวล ความคิดที่อยากจะทำให้ฮ่องเต้องค์ใหม่และอัครมหาเสนาบดีคนใหม่ลำบากใจก็เริ่มหายไปอย่างเงียบๆ
ในเมืองหลวง เพราะฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เพิ่งจะสวรรคต ทำให้เมืองหลวงดูไร้ชีวิตชีวา ฤดูใบไม้ผลิที่ควรเต็มไปด้วยดอกไม้ต้นไม้สีแดง กลับถูกคลุมด้วยผ้าสีขาว ในช่วงการไว้ทุกข์ของแคว้น ห้ามจัดงานเลี้ยง ทำให้เมืองหลวงที่คึกคักในอดีตดูเงียบสงบขึ้นไม่น้อย
ณ โรงน้ำชาที่คึกคักในเมือง ผู้คนดื่มชาพร้อมกับสนทนาเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงช่วงนี้ และคนที่พวกเขาพูดถึงมากที่สุดก็คือ กู้หลิวอวิ๋นที่เพิ่งจะได้รับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี คำวิพากษ์วิจารณ์กู้หลิวอวิ๋นแตกต่างกันออกไป
มีคนบอกว่า สมแล้วที่กู้หลิวอวิ๋นเกิดในตระกูลที่ยิ่งใหญ่ อายุแค่นี้ก็ได้เป็นคนดูแลที่ว่าการเฟิ่งเทียน มีความดีความชอบ สมแล้วที่ได้รับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี เป็นชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์
แต่ยังมีคนบอกว่า กู้หลิวอวิ๋นหน้าตาดี ใช้หน้าตาของตัวเองดึงดูดความโปรดปรานของฮ่องเต้องค์ใหม่ เขาก็เป็นแค่ขุนนางขี้ประจบสอพลอ
ซึ่งสตรีหลายคนต่างก็ประทับใจในตัวกู้หลิวอวิ๋น ชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาที่สุดในเมืองหลวงย่อมดึงดูดสตรีอยู่แล้ว ถึงแม้ชื่อเสียงของกู้หลิวอวิ๋นจะไม่ค่อยดีมากนัก แต่ก็ทำลายความหลงใหลของเหล่าหญิงสาวที่มีต่อเขา ไม่ได้
ในมุมที่ห่างไกลสุดของโรงน้ำชา มีชายหนุ่มรูปงามสองคนนั่งอยู่ คนที่โตกว่าอายุราวสามสิบต้นๆ สวมเสื้อสีฟ้าอ่อน ในความสุขุมมีความสง่างามที่ทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาได้ ส่วนคนตัวเล็กกว่าอายุราวยี่สิบสามยี่สิบสี่ปี สวมเสื้อผ้าสีเรียบง่าย แต่งตัวธรรมดาแต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความไม่ธรรมดา มีกลิ่นอายของความอ่อนโยนและสง่างาม หากมองหน้าเขา ทุกคนคงอดไม่ได้ที่จะแอบเสียดาย ชายที่สวมเสื้อผ้าสีเรียบง่ายคนนั้นหน้าตาหล่อเหลาสง่างาม แต่บนใบหน้ากลับมีรอยแผลเป็นที่น่าสยดสยอง ทำลายใบหน้าที่สมบูรณ์แบบ ทำให้ท่าทีที่อ่อนโยนของเขามีความเคร่งขรึมเพิ่มมากขึ้น