กู้ซิ่วถิงถอนหายใจ เขาดึงมู่ชิงอีมานั่งแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นสตรี ข้าจะไม่เป็นห่วงเจ้าได้เช่นไร ชิงอี เรื่องของเจ้ากับหรงจิ่นจะทำเช่นใดต่อ หรือว่า…ข้าต้องหาน้องเขยอีกคนหนึ่ง ข้าคิดว่า…เจ้าสำนักมั่วเองก็ไม่เลวเลยทีเดียว”
“พี่ใหญ่!” มู่ชิงอีหน้าแดง นางเรียกเขาเบาๆ
เห็นท่าทีของนาง กู้ซิ่วถิงก็รู้ว่าตัวเองคงจะยื้อน้องสาวคนนี้ไม่อยู่แล้ว ถึงแม้ตั้งแต่ตอนที่นางมาแคว้นเย่ว์กับหรงจิ่น เขาก็คิดอยู่แล้วว่าต้องมีวันนี้ แล้วอีกอย่าง ผ่านเรื่องอะไรมาตั้งมากมาย นางสามารถยอมรับผู้ชายคนหนึ่งได้จริงๆ เขาเองก็ดีใจ แต่เขาก็ยังไม่พอใจผู้ชายที่จะมาแย่งน้องสาวของตัวเองไป
พี่ใหญ่ไม่พอใจ มู่ชิงอีไม่อยากให้พี่ใหญ่ไม่พอใจหรงจิ่น หากสองคนนี้ไม่ชอบขี้หน้ากันขึ้นมา คนที่ซวยก็คือนาง ดังนั้นนางจึงเล่าแผนการของตัวเองกับหรงจิ่นให้เขาฟังอย่างตั้งใจ หลังจากเล่าจบ ไม่ต้องพูดถึงมู่หรงซี แม้แต่กู้ซิ่วถิงก็ตกตะลึง ความไม่พอใจที่มีต่อหรงจิ่นพลันลดลงไม่น้อย
“เขาจะมีเจ้าเพียงคนเดียวเช่นนั้นหรือ ถึงแม้เจ้าไม่ยอมเป็นฮองเฮา เขาก็จะไม่มีสนมเช่นนั้นหรือ” กู้ซิ่วถิงถามเพื่อความแน่ใจ เรื่องพวกนี้สำหรับบุรุษแล้ว โดยเฉพาะฮ่องเต้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยังไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ แม้แต่ตอนที่กู้อวิ๋นเกอหมั้นกับมู่หรงอวี้ ก็ไม่มีใครหวังว่ามู่หรงอวี้จะมีเพียงอวิ๋นเกอคนเดียว แต่มู่หรงอวี้สัญญากับตระกูลกู้ไว้ว่าจะไม่มีอนุภรรยาจนกว่าอวิ๋นเกอจะคลอดบุตรชายคนแรก
มู่ชิงอีพยักหน้าอย่างจริงจัง แต่กู้ซิ่วถิงไม่ได้พูดด้วยง่ายขนาดนั้น “ชิงอีเชื่อใจเขา?”
มู่ชิงอีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า มองพี่ชายตัวเองแล้วถอนหายใจ “พี่ใหญ่ หากข้าไม่เชื่อใจเขา…” บนโลกใบนี้คงเชื่อใจใครไม่ได้แล้ว
กู้ซิ่วถิงลูบแก้มที่นุ่มนิ่มของมู่ชิงอีอย่างเบามือด้วยความรักและเอ็นดู อวิ๋นเกอเคยลำบากขนาดนั้น เคยผ่านความตายมาแล้ว แล้วยังเคยอยู่ที่หอนางโลมชุ่ยหงมาก่อน นางหวาดระแวงทุกคนบนโลกใบนี้ แต่หรงจิ่นสามารถทำให้นางบอกว่านางเชื่อใจเขา กู้ซิ่วถิงรู้ว่าหรงจิ่นต้องจริงใจกับนางแน่นอน
“ได้ ในเมื่อชิงอีบอกว่าเชื่อใจเขา ข้าก็จะเชื่อในสายตาของเจ้า” กู้ซิ่วถิงพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่จะไม่มีใครกล้ารังแกเจ้า”
“พี่ใหญ่…”
“อะแฮ่มๆ…” ข้างๆ มู่หรงซีลูบหน้าผากตัวเองอย่างเอือมระอา สองคนนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องกันจริงๆ อย่างนั้นหรือ ทำไมถึงตัวติดกันมากกว่าอวิ๋นเกอเสียอีก หากไม่ใช่เพราะเห็นซิ่วถิงดีใจกับชิงอีจริงๆ เขาคงคิดว่าลูกพี่ลูกน้องของตัวเองชอบน้องสาวคนนี้เสียอีก
“พี่ชาย” มู่ชิงอียิ้มอย่างรู้สึกผิด นางและพี่ใหญ่ตัดสินใจว่าจะไม่บอกตัวตนที่แท้จริงของนางกับเขา เพราะเรื่องที่ตายไปแล้วฟื้นคืนชีพนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อ อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถิด
มู่หรงซียิ้มพลางส่ายหน้า “ได้ยินมาว่าองค์ชายเก้าเป็นคนขี้หึงขี้หวง พวกเจ้าระวังกันหน่อย ประเดี๋ยวคนอื่นจะเข้าใจผิด”
มู่ชิงอีระอาใจ นางจึงเปลี่ยนเรื่อง “ข่าวของพี่ชายช่างเร็วจริงๆ ร่างกายของท่านดีขึ้นหรือยังเจ้าคะ”
มู่หรงซีพยักหน้ากล่าว “ดีขึ้นมากแล้ว หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากเจ้าสำนักมั่วก็คงลำบาก ชิงอี...ข้าต้องขอบคุณเจ้า”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ข้าเรียกท่านว่าพี่ชาย เช่นนั้นท่านก็เป็นพี่ชายของข้า ไม่ต้องขอบคุณเจ้าค่ะ”
มู่หรงซียกยิ้ม เขารู้สึกว่าลูกพี่ลูกน้องที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดคนนี้ช่างเฉลียวฉลาด ไม่แปลกที่กู้ซิ่วถิงรักและเอ็นดูนางขนาดนี้ เขาเติบโตมาในราชวงศ์ตั้งแต่เด็ก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับบรรดาพี่น้องเหล่านั้นเขามักจะระมัดระวังตัวเสมอ มีเพียงกู้ซิ่วถิงและกู้อวิ๋นเกอเท่านั้นที่เห็นว่าเขาเป็นพี่น้องจากใจจริง ตอนนี้มีน้องสาวเพิ่มมาอีกสักคนก็ไม่เลว
หลังจากคุยกันเรื่องในอดีตกันแล้ว พวกเขาสามคนจึงค่อยพูดคุยเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับกลยุทธ์และแผนการของมู่ชิงอีแล้ว ชีวิตของกู้ซิ่วถิงและมู่หรงซีก็ถือว่าไม่ธรรมดาสักทีเดียว
หลังจากที่กู้ซิ่วถิงและมู่หรงซีออกมาจากเมืองหลวงแคว้นหวา เพื่อหลบหนีองครักษ์และนักฆ่าที่ฮ่องเต้แคว้นหวาส่งมาไล่ฆ่า พวกเขาเลยมุ่งหน้าไปทางตอนใต้ ทั้งสองคนล้วนแต่เป็นคนฉลาด สามารถซ่อนร่องรอยของตัวเองได้ตลอดทาง แม้แต่ผีเสื้อนำทางก็ยังตามหาพวกเขาไม่เจอ เมื่อถึงทางตอนใต้ที่ร้อนระอุ ผีเสื้อนำทางยิ่งไร้ประโยชน์ ต่อมาเพราะร่างกายของมู่หรงซี พวกเขาเลยไปตามหาหมอ จนไปเจอกับชนเผ่าปู้อี๋ที่อาศัยอยู่อย่างสันโดษในภูเขาลึก พวกเขาสองคนเกือบถูกจับตัวไป โชคดีที่บังเอิญเจอกับมั่วเวิ่นฉิงที่ไปเก็บสมุนไพรถึงได้รอดมาได้ มิฉะนั้นตอนนี้พวกเขาอาจกลายเป็นลูกเขยของชนเผ่าใดชนเผ่าหนึ่ง กลายเป็นคนป่าไปแล้ว
เมื่อได้ยินเรื่องราวของทั้งสอง มู่ชิอีก็ประหลาดใจ จับจ้องพวกเขาทั้งสองอยู่นานก่อนจะถอนหายใจ “ชนเผ่าปู้อี๋ช่างมีวิสัยทัศน์เสียจริง”
กู้ซิ่วถิงส่ายหน้าอย่างเอือมระอา เขาตีหน้าผากนางเบาๆ “กวนจริงๆ เลย”
มู่หรงซียิ้มเอ่ย “ชิงอี พี่ใหญ่ของเจ้าไม่ได้เป็นลูกเขยของชนเผ่าใดๆ แต่ตอนนี้เขาเป็นที่ปรึกษาทางการทหารของชนเผ่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทางตอนใต้”
“เจ้าคะ?” มู่ชิงอีมองกู้ซิ่วถิงด้วยความตกใจ ทางตอนใต้เป็นดินแดนที่เชื่อมกับแคว้นเย่ว์และแคว้นหวา แม้มีภูเขามากมายและกว้างใหญ่ไพศาลแต่เป็นดินแดนที่แห้งแล้งมาตั้งแต่สมัยโบราณ ที่นั่นไม่มีฮ่องเต้ ราษฎรก็อาศัยอยู่ในชุมชนชนเผ่าดึกดำบรรพ์ ยิ่งไปกว่านั้น ดินที่นั่นไม่อุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายและหุบเขา ผู้นำที่ราบที่แข็งแกร่งที่สุดเคยเข้าไปโจมตีที่นั่นแต่กลับไม่เคยสำเร็จ ไม่ใช่เพราะคนของที่นั่นมีฝีมือในการสู้รบ แต่คนที่นั่นล้วนไร้ความฮึกเหิม สู้ไม่ได้ก็ยอมแพ้ ยอมแพ้แล้วก็ก่อกบฏ ซ้ำยังมีราชวงศ์ที่ถูกโค่นล้มเพราะเห็นแก่สถานที่แห่งนั้น เมื่อเวลาผ่านไป สถานที่แห่งนั้นจึงกลายเป็นดินแดนรกร้างที่ปราศจากคนสนใจ
กู้ซิ่วถิงยิ้มบาง “ก็แค่เรื่องบังเอิญ ที่นั่นกำลังวุ่นวาย ชนเผ่าต่างๆ กำลังสู้รบกันอย่างหนักเพื่อแย่งชิงทรัพยากร ข้าก็แค่บังเอิญช่วยพวกเขาไว้”
แม้กู้ซิ่วถิงบอกว่าแค่ช่วยพวกเขา แต่ต้องไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน สามารถทำให้กู้ซิ่วถิงที่ไม่มีวรยุทธ์นั่งบนตำแหน่งที่ปรึกษาทางการทหารได้ พี่ใหญ่ต้องทำเรื่องอะไรที่ไม่ธรรมดาแน่นอน
“แล้วพี่ใหญ่ยังจะกลับไปอีกหรือไม่เจ้าคะ” มู่ชิงอีขมวดคิ้วแล้วถามอย่างเป็นห่วง หากมีแค่พี่ชายคงไม่เป็นไร เพราะเขามีวรยุทธ์ คนป่าเถื่อนเหล่านั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แต่พี่ใหญ่กลับไม่เหมือนกัน เขาคือนักปราชญ์ที่โตขึ้นมาในตระกูลนักปราชญ์ และเพราะเรื่องเมื่อสองสามปีก่อน ร่างกายของเขาเลยยังไม่หายดี
กู้ซิ่วถิงยิ้มเอ่ย “แน่นอนว่าต้องกลับไป คนนอกไม่รู้…แต่ข้าว่ารู้ดินแดนทางตอนใต้ที่ดูเหมือนจะรกร้าง แต่จริงๆ แล้วมันเป็นคลังสมบัติ พี่ใหญ่ยังต้องเตรียมสินเดิมให้ชิงอีอีกด้วย”
“พี่ใหญ่!” มู่ชิงอีมองเขาแล้วพูดเบาๆ “ข้าแค่อยากให้พี่ใหญ่ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ข้าดูแลตัวเองได้เจ้าค่ะ”
กู้ซิ่วถิงยิ้มแล้วพูดว่า “สิ่งที่ข้าอยากทำมากที่สุดก็คือเห็นชิงอีงมีความสุข มีสามีที่ดี ในเมื่อเจ้าอยากจะช่วยหรงจิ่นครอบครองโลกใบนี้ แน่นอนว่าข้าจะยืนดูเฉยๆ ไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าสัญญากับคนอื่นไว้แล้ว ข้าจะผิดสัญญาไม่ได้” เพื่อรักษาอาการป่วยของมู่หรงซี พวกเขาใช้สมบัติล้ำค่าของเผ่าปู้อี๋ไปจนหมด เขาต้องตอบแทนบุญคุณในครั้งนี้