“ข้าทำให้พี่ใหญ่ทำบากแล้ว” มู่ชิงอีกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
กู้ซิ่วถิงยิ้มบาง “พูดอะไรกัน เมื่อเทียบกับการต่อสู้กันไปมาในเมืองหลวง คนทางตอนใต้น่ารักกว่าตั้งเยอะ หากเจ้าขอร้องให้ข้าช่วยหรงจิ่น ข้าคงต้องคิดดูอีกที”
“ข้ามีแค่ชิงชิงก็พอแล้ว ไม่ต้องการให้เจ้าช่วย” นอกประตู มีน้ำเสียงที่เกียจคร้านขององค์ชายเก้าดังขึ้นมา ในน้ำเสียงยังมีความหยิ่งทะนงตน
ประตูห้องถูกเปิดออก องค์ชายเก้าที่สวมชุดสีดำท่าทางเคร่งขรึมปรากฏตัวขึ้นมา แต่เขากลับมองไปที่คุณชายซิ่วถิงด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไร โดยเฉพาะเมื่อเห็นมือของกู้ซิ่วถิงที่วางอยู่บนไหล่ของมู่ชิงอี สายตาพลันเฉียบคมราวกับใบมีด หากไม่ใช่เพราะมู่ชิงอีอยู่ที่นี่ เขาคงจะตัดมือของกู้ซิ่วถิงให้ขาดสะบั้นไปแล้ว
ถึงแม้จะรู้ว่าชิงชิงกับกู้ซิ่วถิงเป็นพี่น้องกัน แต่องค์ชายเก้าไม่ชอบเห็นผู้ชายคนอื่นใกล้ชิดกับชิงชิงมากเกินไปโดยสัญญาตญาณ ราวกับมีความเป็นเจ้าที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แม้แต่องค์ชายเก้าเองก็ยังควบคุมไม่ได้
สายตาอ่อนโยนของกู้ซิ่วถิงมีความเย็นชา แต่รอยยิ้มกลับอ่อนโยนและสง่างาม “ที่แท้ก็คือฮ่องเต้องค์ใหม่ของแคว้นเย่ว์นี่เอง ฝ่าบาทใกล้จะขึ้นครองบัลลังก์แล้วไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดถึงได้มีเวลามาเที่ยวสถานที่เช่นนี้ด้วยเล่า”
ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ มือที่เดิมทีอยู่บนไหล่ข้างหนึ่งของมู่ชิงอีค่อยๆ ขยับไปจับไหล่อีกข้างหนึ่ง มองดูราวกับมู่ชิงอีอยู่ในอ้อมแขนของกู้ซิ่วถิง ตระกูลกู้ไม่ค่อยมีลูกหลาน หลังจากน้องชายเสียชีวิตไปตั้งแต่เด็ก ตระกูลกู้ก็เหลือเพียงกู้อวิ๋นเกอและกู้ซิ่วถิง พวกเขาสองคนสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก มู่ชิงอีไม่ได้คิดอะไร แต่หรงงจิ่นห็นเช่นนี้กับอดไม่ได้ที่จะโมโห
เขาแค่นเสียงหัวเราะ เดินเข้ามาแล้วปิดประตู “คุณชายกู้กับผิงอ๋องมายังแคว้นเย่ว์ หากข้าไม่มาต้อนรับก็คงจะเสียมารยาท ใช่หรือไม่ชิงชิง” เขากะพริบตาให้มู่ชิงอี หรงจิ่นดึงนางออกมาจากกู้ซิ่วถิงด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
มู่ชิงอีมองเขาด้วยความสงสัย หรงจิ่นยิ้มแล้วกล่าวว่า “ชิงชิง พี่ใหญ่กับผิงอ๋องเดินทางมาไกลคงจะเหนื่อยแล้ว เราอย่ารบกวนพวกเขาเลยดีกว่า”
มู่ชิงอีพลันรู้สึกผิดเล็กน้อย นางไม่ได้เจอพี่ใหญ่นาน จึงตื่นเต้นจนลืมเรื่องนี้ไป เอาแต่ชวนพี่ใหญ่และพี่ชายลูกพี่ลูกน้องคุย แต่กลับไม่ได้ถามว่าพวกเขาเดินทางมาเหนื่อยหรือไม่
กู้ซิ่วถิงยิ้มบาง “ชิงอีไม่ต้องห่วง ข้ากับพี่ชายเที่ยวเล่นมาตลอดทาง ไม่ได้เหนื่อยอะไร เมื่อวานเราพักค้างคืนอยู่ที่เมืองเล็กๆ นอกเมือง เพิ่งจะเข้ามาในเมืองยามเช้า”
“เช่นนั้นก็ดีเจ้าคะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พี่ใหญ่กับพี่ชายไปพักที่จวนข้าเถิด” มู่ชิงอีกล่าวอย่างดีใจ จวนตระกูลกู้ที่กว้างใหญ่แต่กลับมีนางแค่คนเดียว หากมีพี่ใหญ่กับพี่ชายคงจะครึกครื้นขึ้นไม่น้อย
กู้ซิ่วถิงพยักหน้าด้วยความพอใจเเล้วกล่าวว่า “เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ได้ยินมาว่าเจ้าสำนักมั่วก็อยู่ในเมืองหลวง จะได้เชิญเขามาตรวจร่างกายให้หรงซี”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “บังเอิญจริงๆ เลย ช่วงนี้เจ้าสำนักมั่วอยู่ในเมืองหลวงพอดี ข้าส่งคนไปเชิญเจ้าสำนักมั่วไปที่จวนดีกว่า”
องค์ชายเก้าถลึงตามองกู้ซิ่วถิง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาอึมครึมราวกับหมึกสีดำ เหอะ! จะมาแย่งชิงชิงไปจากเขา?…ให้พวกเขาอยู่ที่จวนตระกูลกู้ก็ได้ ส่วนชิงชิงไปอยู่ในวังกับข้า!
แต่น่าเสียดาย หรงจิ่นเพิ่งจะคิดเช่นนี้ก็ได้ยินมู่ชิงอีกล่าวว่า “หรงจิ่น ประเดี๋ยวท่านกลับวังไปคนเดียวเถิด หม่อมฉันไม่กลับไปแล้ว ช่วงนี้หม่อมฉันจะอยู่กับพี่ใหญ่เพคะ”
คุณชายซิ่วถิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ยิ้มแล้วมองไปที่องค์ชายเก้าที่มีสีหน้ามืดมน “กระหม่อมไม่ได้เจอกับน้องสาวมานาน อยากจะระลึกความหลังด้วยกัน ฝ่าบาทคงจะไม่ว่าอะไรใช่หรือไม่”
หรงจิ่นหันไปมองชิงชิงที่ยิ้มแล้วมองกู้ซิ่วถิงด้วยความดีใจ เขากัดฟันเอ่ย “แน่นอนว่าไม่ว่าอะไร!”
กู้ซิ่วถิงพยักหน้าแล้วยิ้มให้มู่ชิงอี “เช่นนั้นก็ดีพ่ะย่ะค่ะ ชิงอีสองสามวันนี้เจ้าอย่าเข้าไปในวังเลย ข้ามีเรื่องอยากจะปรึกษาเจ้า ข้ารู้ว่าฝ่าบาทเป็นคนใจกว้าง หากนางมีสามีที่ใจแคบ ต่อไปเจ้าคงจะลำบาก ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
เจ้าพูดมาขนาดนี้แล้ว ข้าจะยังปฏิเสธได้อีกหรือ องค์ชายเก้ากัดฟันแอบด่ากู้ซิ่วถิงในใจ เป็นเหมือนที่เขาคิดจริงๆ กู้ซิ่วถิงคนนี้เป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ จะให้ชิงชิงอยู่กับเขานานๆ ไม่ได้
“ชิงชิง… ในพระราชวังยังมีเรื่องตั้งมากมาย…” หรงจิ่นทำอะไรกู้ซิ่วถิงไม่ได้ ตอนนี้หรงจิ่นยังไม่อยากงัดข้อกับเขา เขาจึงต้องเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ มองมู่ชิงอีด้วยสายตาที่น่าสงสาร มู่ชิงอีครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนขึ้นครองบัลลังก์มีเรื่องที่ต้องจัดการตั้งมากมาย ยิ่งไปกว่านั้น นางเพิ่งจะถูกแต่งตั้งเป็นอัครมหาเสนาบดี หากไม่ทำอะไรเลยมันคงดูไม่ดี “หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ ท่านกลับไปก่อนเถิด พรุ่งนี้เช้าหม่อมฉันจะเข้าไปในวัง”
หรงจิ่นพอใจ เขาหันกลับไปมองกู้ซิ่วถิงอย่างโอ้อวดแล้วกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “เช่นนั้นข้ากลับไปก่อน พรุ่งนี้เช้าข้าจะรอชิงชิงเข้ามาในวัง”
อยู่ต่อหน้าพี่ใหญ่และลูกพี่ลูกน้องชายของตัวเอง มู่ชิงอีรู้สึกเขินอาย นางจึงรีบตอบตกลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ผลักหรงจิ่นออกไป มีเสียงอาลัยอาวรณ์ขององค์ชายเก้าดังขึ้นมาจากนอกประตู “ชิงชิง ข้าจะรอเจ้านะ”
มู่ชิงอีกลอกตามองบนอย่างเอือมระอา “พี่ใหญ่ พี่ชาย ขอโทษด้วยเจ้าค่ะ”
คุณชายซิ่วถิงหรี่ตาลงแล้วกล่าวอย่างนิ่งสงบ “เพราะเจ้าตามใจเขา ทำไมข้าถึงไม่รู้ว่าเจ้ามีความอดทนขนาดนี้ ปล่อยให้เขาเหลวไหลเช่นนี้”
จะว่าไปแล้ว คุณหนูใหญ่ตระกูลกู้ไม่ใช่คนที่มีความอดทนมากมาย การที่นางสามารถอดทนต่อคนอย่างหรงจิ่นได้ ทำให้คนเป็นพี่ชายอย่างซิ่วถิงอิจฉา นึกถึงตอนนั้น แค่พี่ชายแท้ๆ อย่างเขาหยอกล้อน้องสาวตัวเอง น้องสาวตัวเองยังมองตัวเองด้วยสายตาที่บอกว่าทำไมเจ้าถึงเหลวไหลเช่นนี้ จากนั้นก็เดินหนีเขาไป
มู่ชิงอีนึกถึงนิสัยของหรงจิ่น นางถอนหายใจ บางทีอาจเป็นเพราะนางจริงๆ แต่นิสัยอย่างหรงจิ่น หากไม่ยอมเขา เขาคงจะทำให้รำคาญจนตาย นางไม่อยากทรมานตัวเอง
กู้ซิ่วถิงกล่าวอย่างนิ่งสงบ “ยังไม่ได้แต่งงานก็ขี้หึงเสียขนาดนี้ ต่อไปเจ้าต้องเป็นขุนนางในราชสำนัก ต้องใกล้ชิดกับบุรุษมากมาย หากเขาเหลวไหลเช่นนี้ต่อไป เจ้าจะทำอย่างไร”
มู่ชิงอีเองก็ระอาใจ “พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะเตือนเขา เขาไม่ใช่คนไร้เหตุผล”
เห็นเช่นนี้ กู้ซิ่วถิงก็ทำได้เพียงถอนหายใจ
มู่หรงซีที่อยู่ข้างๆ มองดูอย่างรู้สึกสนใจ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าสองคนก็เบาๆ หน่อย หากมีเวลามากไม่สู้คิดเรื่องแต่งงานของชิงอีกับหรงจิ่น ถึงแม้ชิงอีจะไม่ยอมแต่งงานเข้าไปเป็นฮองเฮา แต่นางเป็นผู้หญิง อยู่ด้วยกันตามลำพังเช่นนี้นานไปไม่ใช่เรื่องที่ดี“
มู่หรงซีจะมองไม่ออกได้เช่นไรว่าที่กู้ซิ่วถิงพูดโน้นพูดนี่ก็เพราะไม่ชอบพฤติกรรมที่หรงจิ่นทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของน้องสาวตัวเอง อยากจะสั่งสอนเขา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องในราชสำนักเลย หรงจิ่นและชิงอียังเด็ก แต่กลับสามารถแย่งบัลลังก์ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มาจากบรรดาองค์ชายเหล่านั้นได้ คงไม่ต้องการให้คนที่พ่ายแพ้อย่างพวกเขาทั้งสองคนมาสอนเรื่องในราชสำนักกระมัง