กู้ซิ่วถิงเงยหน้าขึ้น ยิ้มบางกล่าว “ใต้เท้าหนานกงพูดเรื่องน่าขันแล้ว จื่อชิงยังเด็ก ต้องขอบคุณใต้เท้าหนานกงที่ดูแลมาตลอดช่วงนี้ด้วย”
“ช่างน่าละอายนัก อัครมหาเสนาบดีกู้เก่งกาจเหนือใคร ข้าต่างหากที่ได้รับการดูแลจากอัครมหาเสนาบดีกู้” หนานกงอี้ยิ้มกล่าว ในขณะเดียวกันก็ลอบชื่นชมตระกูลกู้แคว้นหวาว่าผลิตคนเก่งออกมาไม่น้อย ลำพังแค่กู้ซิ่วถิงและกู้หลิวอวิ๋นสองพี่น้องที่เหลืออยู่ก็เป็นผลงานชิ้นเอกที่หายากในโลกนี้แล้ว ถึงแม้กู้ซิ่วถิงจะเสียโฉมไปครึ่งใบหน้า ทว่ากลับไม่สนใจภาพลักษณ์หน้าตาของตนเองสักนิด บุคลิกการวางตัวเช่นนี้ชวนให้น่าเลื่อมใสจริงๆ
ครั้นได้ยินชื่อของกู้ซิ่วถิง หรงยางก็พลอยชะงักไปด้วย เขาย่อมเคยได้ยินเรื่องตระกูลกู้แห่งแคว้นหวา จากนั้นสายตาก็สะดุดกับรอยแผลเป็นบนใบหน้าของกู้ซิ่วถิงชั่วขณะก่อนจะเบือนสายตาหนี ถึงแม้เขาจะไม่ได้เฉลียวฉลาดเหมือนบิดา แต่เรื่องใดควรพูดหรือเรื่องใดไม่ควรพูดกลับพอจะเข้าใจบ้าง
กู้ซิ่วถิงวางพู่กันลง ยิ้มบางกล่าว “ใต้เท้าหนานกงมีเรื่องหารือกับหลิวอวิ๋น ข้าขอตัวก่อนแล้วกัน”
หนานกงอี้รีบเอ่ยห้ามไว้ “คุณชายอย่าเกรงใจไปเลย ข้าแค่มีเรื่องส่วนตัวมารบกวนอัครมหาเสนาบดีกู้ก็เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร” หนานกงอี้สายตาหลักแหลมมองคนออก ถึงแม้กู้ซิ่วถิงผู้นี้จะอ่อนโยนสง่างาม อาจไม่ถึงดูน่ายำเกรง แต่ดูจากความเคารพและความสนิทสนมที่กู้หลิวอวิ๋นมีต่อเขากลับทำให้รู้สึกว่าคนๆ นี้มิควรล่วงเกินเด็ดขาด
กู้ซิ่วถิงเลิกคิ้ว ก้มหน้าลงพร้อมรอยยิ้มจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
มู่ชิงอีเอ่ยถาม “ใต้เท้าหนานกงมีเรื่องอันใดให้ข้ารับใช้”
หนานกงอี้รีบกล่าวว่า “มิบังอาจ” หรงยางที่อยู่ข้างกายลุกขึ้นโค้งทำความเคารพมู่ชิงอีอย่างนอบน้อม “ได้ยินว่าอัครมหาเสนาบดีกู้กับเจ้าสำนักมั่วสนิทสนมกัน อัครมหาเสนาบดีกู้ช่วยแนะนำทีเถิด หรงยางจะไม่ลืมพระคุณเลย”
มู่ชิงอีรีบก้าวถอยหลัง “ซื่อจื่ออย่าพิธีรีตองนักเลย ข้าละอายใจมิกล้ารับไว้”
หรงยางกล่าว “นับตั้งแต่ท่านพ่อได้รับพิษไปร่างกายก็ไม่เหมือนก่อน เจ้าสำนักมั่วมีฝีมือการรักษาที่ใครก็มิอาจทัดเทียมได้ อัครมหาเสนาบดีกู้โปรดเห็นแก่ความกตัญญูนี้ ช่วยทำให้ข้าสมหวังทีเถิด”
มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างลำบากใจ ครั้งนี้มั่วเวิ่นฉิงอยู่ในจวนตระกูลกู้จริงๆ แต่หากจะบอกให้มั่วเวิ่นฉิงไปดูอาการป่วยให้หรงเซวียน มู่ชิงอีกลับไม่กล้าเอ่ยปากเรื่องนี้ มั่วเวิ่นฉิงมีนิสัยเย็นชา แต่มู่ชิงอีรู้ดีว่ามิตรภาพที่มั่วเวิ่นฉิงมีต่อนางนับว่าไม่เลวเลยทีเดียว สิ่งที่นางตอบแทนมั่วเวิ่นฉิงได้มีน้อยนัก หากเวลานี้ฝืนใจมั่วเวิ่นฉิงเพื่อช่วยดึงจวนจวงอ๋องเข้าพวก มู่ชิงอีกลับรู้สึกละอายใจจนไม่กล้าไปเจอเขามากกว่า
ครั้นเห็นเช่นนั้นหนานกงอี้ก็เอ่ย “อัครมหาเสนาบดีกู้…มีเรื่องลำบากใจอย่างนั้นหรือ ข้าแค่ขอเจอเจ้าสำนักมั่วสักครั้ง ไม่ว่าเจ้าสำนักมั่วจะเต็มใจช่วยหรือไม่ ข้ากับจวนจวงอ๋องก็รู้สึกซึ้งใจในน้ำใจของอัครมหาเสนาบดีกู้ยิ่งนัก”
มู่ชิงอียิ้มแหยกล่าว “ใต้เท้าหนานกงเองก็น่าจะรู้นิสัยของเจ้าสำนักมั่ว”
หนานกงอี้พยักหน้าเอ่ย “แน่นอนอยู่แล้ว หากไม่ได้ก็ถือเสียว่าชีวิตของจวงอ๋องควรเป็นเช่นนั้น ข้ากับซื่อจื่อก็พยายามทำอย่างเต็มที่แล้ว อัครมหาเสนาบดีกู้โปรดเห็นแก่ใจกตัญญูของซื่อจื่อด้วยเถิด”
ครั้นเห็นสายตาเว้าวอนของหรงยาง มู่ชิงอีเลยได้แค่ลอบส่ายศีรษะอย่างขมขื่นในใจ ในเมื่อพูดกันถึงขั้นนี้แล้ว หากปฏิเสธอย่างไรเยื่อใยก็คงไร้มนุษยธรรมไปหน่อย
“เอาเถิด ข้าจะส่งคนไปบอกเจ้าสำนักมั่วดู ส่วนจะสำเร็จหรือไม่นั้นขอพวกท่านทั้งสองอย่าเก็บมาใส่ใจนัก” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเบา
ทั้งสองยิ้มเริงร่า “ขอบคุณอัครมหาเสนาบดีกู้ยิ่งนัก”
มู่ชิงอีหมุนตัวเรียกฮั่วซูมาก่อนจะรับสั่งให้นางไปหามั่วเวิ่นฉิง พอเห็นฮั่วซูหมุนตัวมุ่งหน้าเข้าไปทางจวนตระกูลกู้ พวกหนานกงอี้ก็อดสบตากันไม่ได้ ที่แท้มั่วเวิ่นฉิงก็อยู่ในจวนตระกูลกู้นี่เอง มิน่าเล่าทั่วทั้งเมืองหลวงถึงหาตัวเขาไม่เจอ ดูท่าทางความสัมพันธ์ระหว่างมั่วเวิ่นฉิงกับมู่ชิงอีคงไม่ใช่แค่ระดับผิวเผินแล้ว
ในเมื่อมู่ชิงอีเต็มใจช่วย หนานกงอี้ย่อมรู้จักหลักการตอบแทน กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทใกล้สถาปนาขึ้นครองราชย์แล้ว คิดว่าหลายวันนี้ในเมืองคงคึกคักน่าดู ใต้เท้ากู้โปรดระวังตัวด้วย”
มู่ชิงอีผงะไปแต่ไม่นานก็เข้าใจ ยิ้มกล่าว “ขอบคุณคำเตือนของใต้เท้าหนานกง หลิวอวิ๋นซาบซึ้งใจนัก”
หนานกงอี้ส่ายศีรษะยิ้มกล่าว “เรื่องเล็กน้อย ต่อให้ไม่เตือน คิดว่าใต้เท้ากู้ก็คงรู้ดี ใต้เท้าไม่รังเกียจที่ข้าพูดมากก็ดีมากแล้ว เพียงแต่…วันนี้ตอนที่ตวนอ๋องมาเยี่ยมจวงอ๋อง เขาเปรยๆ ขึ้นว่ากระทั่งตอนนี้สวินอ๋องก็ยังไม่ออกจากวัง เขาเลยรู้สึกเป็นห่วง”
“แบบนี้นี่เอง ใต้เท้าหนานกงช่างใส่ใจนัก” มู่ชิงอีก้มหน้ายิ้มกล่าว “ฮ่องเต้คนใหม่ใกล้ขึ้นครองราชย์แล้วจึงมีเรื่องหยุมหยิมเต็มไปหมด คงต้องรบกวนใต้เท้าหนานกงช่วยสอดส่องศาลต้าหลี่มากหน่อย หลายวันก่อนฝ่าบาททรงตรัสว่าตระกูลหนานกงมีแม่ทัพใหญ่ผู้อ่อนเยาว์ที่น่าเกรงขาม ในเมื่อมีรุ่นลูกหลานของตระกูลหนานกงสืบทอดแล้วก็น่ายินดีไม่น้อย”
หนานกงอี้ชะงักไปแล้วมองมู่ชิงอีด้วยสายตาลึกซึ้งแวบหนึ่ง ทว่ามู่ชิงอีกลับมีสีหน้าปกติ ใบหน้าเปื้อนยิ้มด้วยท่าทีสงบราวกับไม่ได้พูดอะไรออกมาก เงียบกันไปพักหนึ่ง จากนั้นหนานกงอี้ถึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ขอบคุณใต้เท้ากู้มาก”
มู่ชิงอีอมยิ้มโดยไม่พูดอะไร
“คุณชาย” สักพักฮั่วซูก็กลับมา ทว่าด้านหลังกลับไม่มีใครตามมาด้วย หนานกงอี้และหรงยางเลยนึกผิดหวังขึ้นมาบ้าง “เจ้าสำนักมั่ว…”
ฮั่วซูล้วงหยิบขวดกระเบื้องเคลือบพร้อมกระดาษแผ่นหนึ่งยื่นส่งให้ เอ่ยอย่างนอบน้อม “เจ้าสำนักมั่วบอกว่าถึงแม้เขาจะหลุดพ้นจากการเป็นเจ้าสำนักเย่าหวังกู่แล้ว แต่เขารู้จักพิษในตัวของจวงอ๋อง หากคิดจะรักษาให้หายดีคงต้องพึ่งยาศักดิ์สิทธิ์จริงๆ มิเช่นนั้นเจ้าสำนักมั่วเองก็จนปัญญา เจ้าสำนักมั่วทำได้แค่ช่วยขจัดพิษที่เหลือให้แล้วฟื้นฟูรักษาร่างกายด้วยยาตำรับนี้ ขอแค่ไม่ปล่อยให้เหนื่อยเกินไป ไม่ได้รับพิษใดอีก ก็ใช่ว่าอายุขัยจะสั้นเสียทีเดียว”
ถึงแม้จะรักษาให้หายขาดไม่ได้ แต่หากเทียบกับหมอหลวงที่ให้กลับจวนไปรอวันตายก็นับว่าดีกว่ามาก เพราะเหตุนี้พวกเขาสองคนเลยไม่ถึงกับผิดหวัง หรงยางรับยากับรายละเอียดตำรับยามาก่อนจะประสานมือเคารพมู่ชิงอีอย่างนอบน้อม “ข้าขอขอบคุณอัครมหาเสนาบดีกู้เป็นอย่างสูง”
มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “ซื่อจื่อเกรงใจกันแล้ว หากเจ้าสำนักมั่วไม่เต็มใจข้าก็จนปัญญา ซื่อจื่อไม่ต้องขอบคุณอะไร” ถึงแม้จะไม่รู้ว่าหรงยางผู้นี้มีคุณธรรมเป็นเช่นไร แต่เขามีใจกตัญญูต่อบิดาเป็นแน่แท้ ความประทับใจที่มู่ชิงอีมีต่อเขาจึงดีไม่น้อย
ครั้นบรรลุเป้าหมาย หนานกงอี้ก็ลุกขึ้นยิ้มเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ขอไม่รบกวนอัครมหาเสนาบดีกู้ต่อดีกว่า เช่นนั้นพวกเราขอตัวก่อน”
มู่ชิงอีพยักหน้า “ฮั่วซู ไปส่งซื่อจื่อกับใต้เท้าหนานกง”
“เจ้าค่ะคุณชาย”
“ตระกูลหนานกง...เชื่อถือได้จริงหรือไม่” หลังจากฮั่วซูพาพวกเขาไปแล้ว มู่ชิงอีก็เอ่ยพลางครุ่นคิดเล็กน้อย ตระกูลหนานกงและจวนจวงอ๋องสนิทสนมกันเกินไปคงต้องป้องกันไว้ก่อน
กู้ซิ่วถิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ตระกูลหนานกงจะเชื่อใจได้หรือไม่ก็รอดูเอาว่าจวงอ๋องจัดการเช่นใด หนานกงเจวี๋ยเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ นอกจากเกอซูฮั่นแห่งเป่ยฮั่นก็ไม่มีใครทัดเทียมได้ น่าเสียดายที่เกอซูฮั่นยังหนุ่มยังแน่นแต่หนานกงเจวี๋ยอายุปาไปเจ็ดสิบปีแล้ว แต่…ต่อให้เป็นเช่นนี้ นอกจากเขาก็หาแม่ทัพคนใดมารับผิดชอบงานด้านนี้ไม่ได้แล้ว”
มู่ชิงอีพยักหน้า เข้าใจดีว่าพี่ใหญ่กำลังเตือนว่าต่อให้จวนจวงอ๋องจะเป็นหนามแหลม แต่หากเหลือตระกูลหนานกงไว้ได้ก็ควรเหลือไว้ นางกับหรงจิ่นเป็นพวกเดียวกัน พอเจออุปสรรคใดก็คิดจะกำจัดอย่างเดียวโดยไม่คิดจะกำราบให้คนพวกนั้นยอมจำนนก่อน แต่การฆ่าอย่างเดียวคงกระทำการใหญ่สำเร็จไม่ได้ พวกเขาอาจหาอุบายช่วงชิงบ้านเมืองมาได้ แต่คงหาอุบายปกครองใต้หล้าได้ยาก สุดท้ายก็จะไปถึงฝั่งฝันได้ยาก
หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง มู่ชิงอีก็พยักหน้ากล่าว “ขอบคุณคำเตือนของพี่ใหญ่ ชิงอีเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”