“ช่างเป็นกระบวนท่าหอกที่ยอดเยี่ยมนัก เนี่ย…หากหัวหน้าเซี่ยอยู่ในสงครามต้องเป็นแม่ทัพผู้กล้าหาญคนหนึ่งแน่นอน ลูกน้องในมือของอัครมหาเสนาบดีกู้ช่างความสามารถโดดเด่นกันเสียจริง” ไท่สื่อเหิงเอ่ยชื่นชม
มู่ชิงอีพยักหน้าเห็นด้วย ฝีมือวรยุทธ์ของอานซีจวิ้นอ๋องผ่านการขัดเกลาจากการรบราฆ่าฟันในสงคราม ในขณะที่วรยุทธ์ของเซี่ยซิวจู๋สืบทอดผ่านทางสายเลือด ความจริงหากพูดถึงการสู้ตัวต่อตัวอาจไม่ใช่ที่หนึ่ง แต่หากว่าด้วยเรื่องพลังทำลายล้างของคนธรรมดา เกรงว่าบรรดาห้ายอดฝีมือในใต้หล้านี้คงต้องยกให้เซี่ยซิวจู๋
ถึงแม้มีดซิวหลัวของหรงจิ่นจะไม่เคยปล่อยให้ใครมีชีวิตรอดไปได้ โหดเหี้ยมดุดัน แต่หากใช้ในสมรภูมิรบกลับใช้ลื่นมือสู้หอกสีเงินของเซี่ยซิวจู๋ไม่ได้
“คนพวกนี้เป็นใครกัน เวลานี้ในเมืองหลวงมีแต่คนของอวี้อ๋อง คิดไม่ถึงว่าจะมีคนใจกล้าคิดลอบฆ่าคุณชายกู้ด้วย” ไท่สื่อเหิงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
มู่ชิงอีเหลือบมองเขาด้วยสายตาไม่ใส่ใจ “คุณชายไท่สื่อรู้ข่าวไวนักมิใช่หรือ เหตุใดถึงมาถามข้าได้เล่า”
ไท่สื่อเหิงลูบจมูกแล้วเงียบไป จากนั้นก็ค้นพบว่าน้องชายของอวิ๋นเกอหรือความจริงก็คือน้องสาวของอวิ๋นเกอไม่น่าผูกมิตรด้วยเลยจริงๆ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงถอนหายใจเอ่ย “ข้ามักรู้สึกว่า…เรื่องจะแย่ลง” ก่อนหน้านี้ไม่ลอบฆ่าหรือลอบฆ่าหลังจากนี้ ทว่าดันเลือกลอบฆ่ากู้หลิวอวิ๋นในเวลานี้ สมองของเหล่าลูกหลานในเชื้อพระวงศ์แคว้นเย่ว์ถูกสุนัขแทะไปแล้วหรือ
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างเงียบๆ เงยหน้าเหม่อมองพระจันทร์กลมมนบนท้องฟ้า ราวกับแสงจันทร์เย็นยะเยือกนั้นถูกย้อมด้วยสีเลือดจางๆ อีกชั้นหนึ่ง
ครั้งนี้มีนักฆ่าจำนวนไม่น้อยเลย อีกทั้งฝีมือก็นับว่าไม่แย่ หากคิดลอบฆ่าเพียงอัครมหาเสนาบดีธรรมดาๆ คนหนึ่งคงสำเร็จแน่นอน แต่โชคร้ายเพราะคนที่พวกเขาลอบฆ่าดันเป็นกู้หลิวอวิ๋น ข้างกายกู้หลิวอวิ๋นมีอดีตหัวหน้าองครักษ์วังหน้าแคว้นหวาและคุณชายเหวินหวาไท่สื่อเหิงผู้รอบรู้ในยุทธภพอยู่ด้วย เพราะเหตุนี้อย่าว่าแต่ลอบฆ่ามู่ชิงอีเลย แม้แต่เลือดหยดเดียวก็เปรอะเปื้อนโดนเสื้อผ้าสีขาวหิมะของนางไม่ได้ด้วยซ้ำ
รอกระทั่งคนชุดดำทั้งหมดนอนแน่นิ่งหมดแล้ว สีหน้าอัดอั้นของเซี่ยซิวจู๋ในเดิมทีก็ดูเริงร่าขึ้นมาก เห็นได้ชัดว่าการระบายอารมณ์ช่วยทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
“คุณชาย เราจะจัดการคนพวกนี้อย่างไรดี” เซี่ยซิวจู๋ยกเท้าเตะคนชุดดำด้านล่าง เสียงร้องครวญครางของคนชุดดำร้องดังขึ้นสื่อว่ายังมีชีวิตอยู่
มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คงต้องลำบากซิวจู๋แล้ว ให้คนสั่งไปที่จวนว่าการเฟิ่งเทียนแล้วกัน” เซี่ยซิวจู๋ลงมืออย่างรู้ขอบเขตจึงไม่ได้ฆ่าตายทั้งหมด
“ขอรับ” เซี่ยซิวจู๋พยักหน้าอย่างนอบน้อม ขณะที่หมุนตัวเตรียมหันไปจัดการคนเหล่านี้ ทันใดนั้นก็หันมาคว้าตัวมู่ชิงอีหลบไปข้างทาง
สวบๆ! ธนูพุ่งมากลางอากาศเป็นสาย อีกทั้งยังพุ่งผ่านลำคอของไท่สื่อเหิงไปอย่างเฉียดฉิว
“สมควรตาย!” ตั้งแต่ไท่สื่อเหิงร่อนเร่อยู่ในยุทธภพมายังไม่เคยเจอเรื่องน่าหวาดเสียวขนาดนี้มาก่อนเลยส่งเสียงคำรามก่อนลอยตัวพุ่งเข้าไปยังจุดที่ธนูถูกปล่อยออกมา ถึงแม้ไท่สื่อเหิงจะมีวรยุทธ์ที่ไม่เก่งกาจ แต่วิชาตัวเบากลับเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมมากทีเดียว
คนที่หลบอยู่ในที่ลับยังไม่ทันรู้ตัวก็เห็นไท่สื่อเหิงกระโจนเข้าใส่ราวกับนกยักษ์ก็มิปาน ภายใต้สถานการณ์น่าตกใจเช่นนี้คนชุดดำจะสนใจมู่ชิงอีได้อย่างไรอีก รีบยกคันธนูขึ้นเล็งไปทางไท่สื่อเหิงอย่างพร้อมเพรียง ไท่สื่อเหิงหัวเราะเสียงเย็นชา พลิกตัวกลางอากาศโดยหมุนตัวแนวเส้นทแยงซึ่งพิลึกเกินคน ในขณะเดียวกันพอสะบัดแขนเสื้อกว้าง อาวุธลับก็ถูกปล่อยพุ่งไปหาคนชุดดำที่เปลี่ยนทิศทางหนีไม่ทัน
เสียง พลั่ก ดังขึ้นไม่กี่ทีคนชุดดำสามคนที่แอบอยู่ตรงมุมลับก็ล้มนอนแอ้งแม้งบนพื้น
“โง่นัก คิดว่าข้าจะสู้กับพวกเจ้าด้วยวรยุทธ์อย่างนั้นหรือ” ไท่สื่อเหิงมองคนชุดดำที่นอนอยู่บนพื้นซึ่งกำลังถลึงตาจับจ้องตนด้วยความเกรี้ยวโกรธ ถีบไปสองทีโดยไม่คิดลังเลใจสักนิดพร้อมยิ้มเย็นชา
พอเห็นหนึ่งในนั้น ไท่สื่อเหิงก็หันไปมองมู่ชิงอีที่อยู่อีกฝั่งด้วยท่าทีตกใจกล่าว “พิการแล้วยังมาเป็นนักฆ่าอีก นี่มีความแค้นกับคุณชายกู้ขนาดไหนเชียว หรือจะบอกว่า…คนผู้นี้…ปณิธานแกร่งกล้าถึงแม้ร่างกายจะพิการดีเล่า”
ได้ยินเช่นนั้นมู่ชิงอีก็เดินเข้ามาอย่างช้าๆ จากนั้นก็เห็นคนชุดดำสามคนนอนอยู่บนพื้น หนึ่งในนั้นแขนขาดไปข้างหนึ่ง พอเห็นใบหน้า…ก็รู้สึกคุ้นตาเป็นอย่างดี
“พวกเขาเป็นอะไรไป”
ไท่สื่อเหิงยู่ปาก “ไม่เป็นไรหรอกก็แค่เอ็นขาด”
พอสำรวจคนที่อยู่บนพื้นสักพัก มู่ชิงอีก็นึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาได้ ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเลิกคิ้วเอ่ย “คุณชายรองของจวนตวนอ๋อง”
ชายชุดดำกัดฟันเอ่ย “ใช่แล้วอย่างไรเล่า”
มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเชิงตำหนิ “แกว่งเท้าหาเสี้ยน”
ชายชุดดำโกรธจนหายใจหอบถี่ ตวาดเสียงสูง “กู้หลิวอวิ๋น เจ้าก็เป็นแค่ขุนนางเจ้าเล่ห์ที่ประจบสอพลอเจ้านายก็เท่านั้น เจ้าจะกล้าทำอะไรข้าได้”
มู่ชิงอียิ้มบางเอ่ย “ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก แต่…เชิญคุณชายรองไปที่จวนว่าการเฟิ่งเทียนสักหน่อยเถิด อีกเดี๋ยวข้าค่อยหารือกับท่านพ่อของเจ้าว่าจะจัดการเช่นใด ทางที่ดีคุณชายรองภาวนา…ให้ตวนอ๋องเห็นความสำคัญของคุณชายมากพอแล้วกัน มิเช่นนั้น…”
ชายชุดดำหน้าซีดลง เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่ามิเช่นนั้นที่มู่ชิงอีเอ่ยถึงหมายความว่าอะไร ท่านพ่อให้ความสำคัญกับเขา? บางทีเมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่ตอนนี้…หลังจากเขาแขนขาดแล้วจะยังเห็นเขาสำคัญอยู่อีกหรือ เขาไม่ใช่ลูกภรรยาเอก เพราะเหตุนี้เขาถึงยิ่งต้องรีบสร้างคุณงามความดีให้ท่านพ่อ ทว่าคิดไม่ถึงว่าจะได้ไม่คุ้มเสีย
“เอาตัวไปเถิด” มู่ชิงอีเองก็คร้านจะสนใจคนพวกนี้ โบกมือสั่งให้เซี่ยซิวจู๋เรียกคนมาคุมตัวนักฆ่าเหล่านี้ไป รอกระทั่งหรงจิ่นรู้เรื่อง เกรงว่าคงเกิดหายนะอีกครั้งแน่ แต่พวกองค์ชายและหลานๆ พวกนี้สมควรถูกสั่งสอนจริงๆ
พอกลับจวนมามู่ชิงอีก็พุ่งตรงไปหากู้ซิ่วถิงและมู่หรงซีทันที เวลานี้สุขภาพของมู่หรงซีไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว แต่หากจะกำจัดพิษจนหมดคงต้องใช้เวลาไม่น้อย ถึงแม้หรงจิ่นจะมอบยาชำระหยกให้มั่วเวิ่นฉิงไป แต่มั่วเวิ่นฉิงกลับไม่ได้นำมาใช้กำจัดพิษโดยตรง เขาเพียงแค่หยิบมาลองดม พินิจพิเคราะห์อยู่พักหนึ่งก็ส่งกลับคืนให้หรงจิ่น
มั่วเวิ่นฉิงมีฝีมือการรักษายอดเยี่ยม ในขณะเดียวกันก็ภาคภูมิใจและยึดมั่นในจรรยาบรรณของตนเอง ต่อให้จะช่วยคนก็ไม่คิดจะใช้ยาอย่างยาชำระหยกแน่นอน เพราะในมุมมองของเขาต่อให้กำจัดพิษในร่างกายของมู่หรงซีจนหมดสิ้นได้ แต่กลับไม่ใช่เพราะฝีมืออันเก่งกาจของเขา แถมเป็นการใช้ชีวิตของอีกคนมาแลก การเอาชีวิตมาแลกชีวิต หมอที่มีคุณธรรมจริงๆ คงเห็นว่าไม่คุ้มค่าแน่นอน
ดังนั้นหลายวันมานี้มั่วเวิ่นฉิงจึงตามหาวัตถุดิบยาที่ต้องใช้ในการกำจัดพิษละแวกเมืองหลวง แม้แต่โรงยาหมอหลวงของวังยังถูกเขารื้อหามาแล้ว โชคดีที่คนในวังรู้จักหรงจิ่นแต่ไม่ใช่เพราะในนามของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ ห้องเก็บยาจึงปล่อยให้มั่วเวิ่นฉิงเข้าออกได้ตามใจชอบ ถึงแม้ฝีมือการรักษาของหมอหลวงจะสู้เย่าหวังกู่ไม่ได้ แต่ของสะสมในห้องเก็บยาของวังหลวงกลับไม่ด้อยไปกว่าเย่าหวังกู่เลย เทียบกับหลังออกจากเย่าหวังกู่มาแล้วต้องเสาะหาวัตถุดิบปรุงยาไปทั่วใต้หล้า ไม่ง่ายเลยที่มั่วเวิ่นฉิงจะแสดงท่าทีพึงพอใจต่อการจัดที่พักในเมืองหลวงแคว้นเย่ว์ชั่วคราวครั้งนี้
“พี่ใหญ่ พี่ชาย” หลังจวน มู่หรงซีกับกู้ซิ่วถิงกำลังประจันหน้าเล่นหมากรุกกันอยู่ พอเห็นมู่ชิงอีเดินเข้ามากู้ซิ่วถิงก็วางหมากในมือลงแล้วยิ้มกล่าว “เหตุใดวันนี้กลับมาเร็วนักเล่า ไปต้อนรับทูตของแคว้นหวามามิใช่หรือ”
มู่ชิงอีมองเหล่าพี่ชายที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะพยักหน้าเอ่ย “จัดการเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ทูตที่มาจากแคว้นหวาคือฝูอ๋องกับจ้าวจื่ออวี้”
มู่หรงซีเลื่อนสายตาเรียบนิ่งมาหยุดอยู่ที่ร่างของเซี่ยซิวจู๋ เลิกคิ้วเอ่ย “บาดเจ็บ? ปะทะกับจ้าวจื่ออวี้มาหรืออย่างไร”