“พี่สี่ ท่านมัวแต่พูดเรื่องไร้สาระไปทำไมกัน” หรงซิงเอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจ ไม่ใช่เพราะเขาอดกลั้นต่อความโกรธไม่ไหวแต่เพราะเวลาไม่เคยคอยใครต่างหาก หากพวกเขาไม่ฉวยโอกาสตอนที่เรื่องยังไม่ลุกลามใหญ่โตชิงแย่งคนไปก่อน หากรอหรงจิ่นรู้เรื่องเข้า หรงฮ่าวคงต้องตายแน่นอน หากเป็นเช่นนี้ไม่ว่าจะชื่อเสียงของหรงเหยี่ยนหรือภาพลักษณ์ของจวนตวนอ๋องล้วนถูกโจมตีอย่างหนักทั้งสิ้น ขอแค่ได้คนมาอยู่ในมือ ยามที่ตกลงเงื่อนไขกับหรงจิ่นคงง่ายขึ้นบ้าง
หรงเหยี่ยนจับจ้องปู้อวี้ถังแน่นิ่งเอ่ย “ใต้เท้าปู้คิดดีแล้วหรือ ฮ่าวเอ๋อร์เป็นหลานกษัตริย์ หากเจ้าทำร้ายเขาขึ้นมาคงไม่เป็นผลดีแน่ๆ หากพูดไม่น่าฟังหน่อยก็คือข้าไม่ได้มีเขาเป็นลูกแค่คนเดียว แต่…เจ้ามีแค่ชีวิตเดียวเท่านั้น”
ปู้อวี้ถังคลี่ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจกล่าว “ต้องขอบคุณคำชี้แนะของตวนอ๋อง แต่…ชีวิตของกระหม่อมเองก็ถูกเก็บมาเช่นกัน ต่อให้ต้องเสียมันไปก็สมควรแล้ว”
“พูดดีๆ ไม่ชอบ จะให้ใช้ไม้แข็งอย่างนั้นหรือ!” หรงซิงเอ่ยเสียงเย็นชา “ใครก็ได้มานี่ ไปแย่งตัวคุณชายรองมาให้ข้าเดี๋ยวนี้! หากมีใครขวางก็ฆ่าทิ้งได้เลย!”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” องครักษ์ที่ติดตามหรงเหยี่ยนและหรงซิงมาขานรับอย่างพร้อมเพรียง
ปู้อวี้ถังเอื้อมมือคว้าหรงฮ่าวที่ถูกเชือกรัดแน่นมา ส่วนอีกมือกุมดาบจับจ้องทุกคนตรงหน้าอย่างระแวดระวัง ทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นยะเยือกดังแว่วมาจากด้านนอก “หรงซิง เจ้าคิดจะฆ่าใคร”
เพียงพริบตาเดียว หรงจิ่นก็มาปรากฏกายอยู่ตรงประตูโถงใหญ่พร้อมเอามือไพล่หลัง ราวกับชุดผ้าแพรสีดำทั้งร่างรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเส้นผมสีดำ กระทั่งมองเห็นเพียงใบหน้าขาวเนียนเย็นยะเยือกดั่งหยกเย็นก็มิปาน อีกทั้งหว่างนิ้วยังมีมีดซิวหลัวเล่นแสงวิบวับราวกับประกายแสงที่บ่งบอกถึงลางร้ายอย่างไรอย่างนั้น
ทุกคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเข้ามาในนี้ตั้งแต่เมื่อไร หลังจากหันหน้าไปก็เห็นเขายืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้านิ่งขรึมแล้ว หรงซิงกับหรงเหยี่ยนลอบสั่นสะท้านในใจ แท้จริงแล้ว…วิทยายุทธของหรงจิ่นเก่งกาจเพียงไหนกันนะ
“กระหม่อมปู้อวี้ถังถวายบังคมฝ่าบาท” พอเห็นหรงจิ่น ปู้อวี้ถังก็ผ่อนลมหายใจยาวทันที จากนั้นก็วางดาบลงคุกเข่าทำความเคารพโดยไม่คิดลังเลใจสักนิด
เวลานี้คนอื่นๆ ถึงได้สติ “ถวายบังคมฝ่าบาท”
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาก่อนย่างกรายเข้ามาในโถง พอเดินมาถึงข้างกายหรงฮ่าวถึงหยุดฝีเท้า จากนั้นก็กวาดตามองหรงฮ่าวที่ถูกมัดตัวราวกับบ๊ะจ่างตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน เอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “ใครให้เจ้าไปลอบฆ่าจื่อชิง”
หรงฮ่าวขึงตามองหรงจิ่นอย่างเกรี้ยวโกรธ ต่อให้พยายามดิ้นพล่านเท่าไรก็มิอาจหลุดพ้นจากเชือกที่เซี่ยซิวจู๋มัดได้ หรงจิ่นกลับไม่สนใจ เพียงยกมือใช้มีดซิวหลัวสะกิดเชือกทีเดียว เชือกที่รัดตัวหรงฮ่าวไว้ในเดิมทีก็หล่นลงพื้น หรงฮ่าวเบิกตากว้าง จากนั้นก็มองคมดาบแหลมกริบนั้นเคลื่อนไหวไปมาตามตัวเขาอย่างช้าๆ ด้วยความหวาดกลัว เชือกหนาขนาดนี้แต่สามารถตัดให้ขาดได้โดยไม่ต้องใช้แรง เห็นทีดาบสั้นสีแดงธรรมดาๆ ที่ดูใช้งานไม่ได้จริงคงแหลมคมเพียงแค่สะกิดทีเดียวก็ขาดเป็นสองท่อนได้แล้ว
“ตอบข้ามา ใครใช้ให้เจ้าลอบฆ่าชิงชิง” หรงจิ่นเอ่ยถามอีกครั้งอย่างอดทน หรงฮ่าวอ้าปากเอ่ยด้วยความยากลำบาก “ไม่…ไม่มีใครเลย”
เขาไม่ได้ถูกมัดแข้งมัดขาไว้ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดแม้แต่แรงขยับสักนิดก็เหมือนจะไม่มี
“พูดเช่นนี้ หมายความว่าเจ้าคิดจะฆ่าจื่อชิงเองอย่างนั้นหรือ” หรงจิ่นเอ่ยถามเสียงเย็นชา “ดีมาก เจ้าว่าข้าควรจะจัดการกับเจ้าอย่างไรดีเล่า เฉือนเจ้าแล้วโยนให้สุนัขกินเป็นอย่างไร ไม่สิ…จื่อชิงเลี้ยงจิ้งจอกไว้ตัวหนึ่ง เฉือนเนื้อเจ้าวันละชิ้นแล้วใช้เป็นอาหารให้จิ้งจอกกินเจ้าดีกว่า”
“ท่าน…ท่าน…”
“ฝ่าบาท!” หรงเหยี่ยนที่อยู่ด้านข้างสีหน้าซีดเซียว“ฝ่าบาท เรื่องนี้ลูกชายกระหม่อมกระทำการบุ่มบ่าม ฝ่าบาทโปรดอภัยให้ด้วยเถิด กระหม่อมจะให้เขาหาของกำนัลไปขอโทษอัครมหาเสนาบดีกู้ด้วยตัวเองแน่นอน”
“หาของกำนัลไปขอโทษอย่างนั้นหรือ” หรงจิ่นแค่นเสียงหัวเราะ “หากวันนี้เขาทำสำเร็จขึ้นมา หากจื่อชิงบาดเจ็บ กระนั้น…เจ้าคิดว่าการหาของกำนัลมาขอโทษมีประโยชน์อย่างนั้นหรือ”
หรงซิงยิ้มเยาะกล่าว “ก็แค่ขุนนางเจ้าเล่ห์คนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้ตายไป ฮ่าวเอ๋อร์ก็แค่ขจัดขุนนางคนโปรดของฝ่าบาทเพื่อแคว้นเย่ว์ไปคนหนึ่ง มันจะอะไรนักหนาเล่า หนุ่มน้อยหน้ามนอย่างกู้หลิวอวิ๋นสำคัญกว่าสายเลือดเชื้อกษัตริย์อย่างฮ่าวเอ๋อร์ที่เป็นหลานแท้ๆ ของท่านอีกหรือ”
หรงจิ่นหัวเราะเย้ยหยัน “เทียบกัน? ขยะแบบนี้มีสิทธิ์อะไรมาเปรียบเทียบกับจื่อชิง ข้าเคยบอกแล้วว่าหากใครกล้าแตะต้องจื่อชิง ข้าก็จะเอาชีวิตคนผู้นั้น! ตอนนี้…หรงฮ่าว เจ้าเตรียมตัวตายหรือยัง เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าตายเร็วแน่นอน”
หรงฮ่าวมองดาบในมือของหรงจิ่นที่ค่อยๆ ลูบไล้บนร่างตนเบาๆ อย่างหวาดผวา ฉับพลันบนร่างก็เจ็บปวดเย็นยะเยือกขึ้นมาเป็นระลอก จากนั้นหรงฮ่าวก็เบิกตากว้างมองเลือดสดไหลทะลักออกมาจากร่างกาย ชุดคลุมสีดำที่ย้อมสีเลือดจนชุ่มบนร่างขับให้ปอกมีดในมือหรงจิ่นยิ่งสวยวิจิตรงามตามากกว่าเดิม
กระทั่งหรงฮ่าวสัมผัสถึงไอเย็นสุดขั้วแทรกซึมเข้าสู่กระดูกของเขาผ่านบาดแผลที่อยู่ภายใต้คมดาบอย่างรวดเร็ว ฉับพลันทั่วทั้งร่างก็หนาวสะท้านถึงขีดสุด
“อย่านะ…อย่านะ! ไม่ใช่กระหม่อม…ไม่ใช่กระหม่อมคนเดียว!” หรงฮ่าวเอ่ยเสียงสั่นเครือ
หรงจิ่นผุดประกายเย็นชาพาดผ่านดวงตา “ยังมีใครอีก”
หรงฮ่าวทำได้แค่คายรายชื่อออกมาจากปากภายใต้ปลายมีดสีแดงสดด้วยร่างอันสั่นเทา ทั้งหมดล้วนเป็นชื่อหลานๆ ในจวนอ๋อง รวมถึงชื่อลูกหลานขุนนางที่มีความสัมพันธ์อันดีกับหรงฮ่าวด้วย
หรงจิ่นยิ้มเย็นชา จากนั้นก็เก็บมีดซิวหลัวแล้วหันไปสั่งปู้อวี้ถังว่า “ไปเอาตัวคนพวกนั้นมา”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” ปู้อวี้ถังเอ่ยอย่างระมัดระวัง ถึงแม้หรงจิ่นจะไม่ได้ระเบิดอารมณ์ดั่งสายฟ้าฟาด แต่ปู้อวี้ถังกลับสัมผัสกลิ่นอายอันตรายได้ด้วยสัญชาตญาณ ภายในใจอดสั่นสะท้านไม่ได้ พิธีขึ้นครองราชย์ใกล้เข้ามาแล้ว ฝ่าบาทคงไม่ได้เตรียมจะสังหารหมู่กระมัง เขาควรจะไปรายงานคุณชายกู้สักหน่อยดีหรือไม่
“รวมถึงอ๋องแต่ละจวน ตำแหน่งโหวขึ้นไป ขุนนางใหญ่ตั้งแต่ระดับหนึ่ง ไปเรียกตัวมาให้หมดด้วย” หรงจิ่นเอ่ยต่อ
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เมื่อรู้แก่ใจดีว่าเรื่องน่าจะไม่จบลงง่ายๆ ปู้อวี้ถังก็รีบขานรับอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มีเสียงฝีเท้าเหยียบย่ำเดินพุ่งออกไปดังไม่หยุด ฝ่าบาทที่นิ่งสงบเช่นนี้ดูน่ากลัวเหลือเกิน!
ชั่ววินาทีนั้นภายในโถงใหญ่ก็ตกอยู่ในความเงียบ หรงจิ่นนั่งด้วยท่าทีเกียจคร้านจับจ้องคนด้านล่างด้วยสีหน้าเยือกเย็น หรงเหยี่ยนและหรงซิงที่อยู่ด้านล่างต่างเผยสีหน้าไม่สู้ดีทั้งคู่ หลังจากหรงจิ่นเดินเข้าประตูมาก็ไม่พูดไม่จากับพวกเขาสักประโยค เห็นได้ชัดว่าไม่เก็บพวกเขามาใส่ใจเลยสักนิด หากเป็นยามปกติหรงซิงคงข่มอารมณ์ไม่อยู่ระเบิดความโกรธออกมาแล้ว แต่ตอนนี้ภายใต้สถานการณ์ที่พวกเขาไม่รู้ถึงความสามารถของหรงจิ่นเช่นนี้เลยทำได้แค่อดกลั้นไว้
หรงฮ่าวที่เผยสีหน้าหยิ่งผยองก่อนหน้านี้กลับนั่งสลดอยู่บนพื้น เลือดค่อยๆ ซึมไหลผ่านรอยแผลออกมาตามร่างกายราวกับไร้หนทางจะสมานแผลได้แล้วอย่างสิ้นเชิงพร้อมสีหน้าของเขาที่ซีดเซียวลงเรื่อยๆ
เดิมทีคืนนี้ควรจะเป็นค่ำคืนปกติ แต่เพราะพระราชโองการของฝ่าบาท ขุนนางใหญ่ทุกคนในเมืองหลวงเลยต้องมาเจอกันที่จวนว่าการเฟิ่งเทียน ตอนนี้นอกจากคนไม่กี่คน คนที่เหลือก็ไม่มีใครรู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ชั่ววินาทีนี้พลันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา พวกเขายังไม่ลืมว่าตอนนี้ภายในที่ว่าการเฟิ่งเทียนกักขังขุนนางใหญ่โตอยู่ไม่น้อย
ด้านนอกที่ว่าการเฟิ่งเทียนถูกองครักษ์วังหน้าล้อมปิดไว้จนหมด บัดนี้หรงจิ่นสถานะแตกต่างออกไป ทันทีที่ออกจากวังย่อมมีองครักษ์มากมายติดตามออกมาด้วย ถึงแม้องครักษ์เหล่านี้จะไม่เต็มใจเพราะมักถูกฝ่าบาททำร้าย แถมฝ่าบาทที่พวกเขาต้องคุ้มกันมักหายตัวไปทุกทีที่เผลอ แต่เวลานี้พวกเขาต่างคุ้มกันอยู่นอกโถงใหญ่ที่ว่าการเฟิ่งเทียนตามหน้าที่อย่างตั้งใจ เพื่อสกัดไม่ให้คนนอกเห็นทุกอย่างในนี้ได้