“กระหม่อม…บกพร่องในหน้าที่ ขอฝ่าบาทโปรดลงโทษพ่ะย่ะค่ะ” ตงฟังซวี่ไม่รู้จะพูดอะไร ทำได้เพียงเดินเข้าไปรับโทษ
หรงจิ่นเหลือบมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หลบไปก่อน ไว้ค่อยจัดการเจ้าทีหลัง”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” ตงฟังซวี่ถอนหายใจ ในใจแอบวางแผนว่าหากเขารอดพ้นจากหายนะครั้งนี้เขาจะเพิ่มกำลังคนลาดตระเวนบริเวณจวนกู้เป็นสามเท่า เพราะหากมีปัญหาในครั้งต่อไปตัวเองคงชะตาขาดเป็นแน่
ตงฟังซวี่ลูบจมูกแล้วไปคุกเข่าอยู่ด้านข้างอย่างเชื่อฟัง
เมื่อเห็นว่าแม้แต่ตงฟังซวี่ที่เห็นได้ชัดว่าเป็นคนสนิทที่ไว้ใจได้ของฝ่าบาทก็ยังถูกลงโทษ สีหน้าของทุกคนจึงตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม
“หรงฮ่าว คำถามของข้า…เจ้าคิดคำตอบออกแล้วหรือยัง” หรงจิ่นถามอย่างสบายๆ ที่จริงแล้วที่กล่าวโทษตงฟังซวี่อย่างกะทันหันเมื่อครู่นี้ก็เพื่อให้เวลาหรงฮ่าวหาข้อแก้ตัว
หรงฮ่าวไหนเลยจะคิดหาคำตอบได้ เมืองหลวงมีกฎห้ามสัญจรตอนกลางคืน ยกเว้นบุคคลพิเศษบางคนเท่านั้น กลางคืนไม่หลับไม่นอนออกมาเดินเที่ยวเตร็ดเตร่เดิมทีก็เป็นโทษหนักอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับการเดินเตร็ดเตร่ตอนกลางคืนในชุดดำ แม้ว่าหรงฮ่าวจะใช้คำพูดสวยหรูแค่ไหน แต่เขาก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมตัวเองถึงได้ถูกจับในสถานที่ที่กู้หลิวอวิ๋นถูกลอบสังหาร
“กระหม่อม…กระหม่อม…กระหม่อมถูกใส่ความพ่ะย่ะค่ะ…” หรงฮ่าวที่ไม่มีอะไรจะพูดทำได้เพียงปฏิเสธหัวชนฝา
หรงจิ่นอ้าปากหาวด้วยความเบื่อหน่าย หันไปมองคนอื่นๆ ที่ถูกคุมตัวคุกเข่าอยู่บนพื้นเช่นกัน แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นคนในเชื้อพระวงศ์ แต่นอกจากหรงไหวแล้วหรงจิ่นก็ไม่รู้จักใครอีกเลย “พวกเจ้า หรงฮ่าวบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้พวกเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ไหนลองพูดมาซิ”
“กระหม่อมถูกใส่ความพ่ะย่ะค่ะ!” เหล่าเชื้อพระวงศ์ทั้งหมดพูดพร้อมกัน ในขณะเดียวกันยังไม่ลืมที่จะโบ้ยความผิดทั้งหมดให้หรงฮ่าว ในเมื่อหรงฮ่าวไม่มีคุณธรรมก็อย่าพูดว่าพวกเขาไร้คุณธรรม ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ถูกจับได้ในที่เกิดเหตุไม่ใช่พวกเขา ย่อมไม่มีทางยอมรับ
“พวกเจ้า!” หรงฮ่าวจ้องไปที่ทุกคนด้วยความโกรธ ทั้งๆ ที่ตอนแรกอยู่ฝ่ายเดียวกัน แต่ตอนนี้เมื่อคนเหล่านี้เห็นเขาตกลงไปในบ่อน้ำกลับพากันโยนหินใส่ บรรดาหลานคนอื่นๆ เองก็มีความแค้นต่อหรงฮ่าวเช่นกัน จะมีใครบ้างที่ปัญญาอ่อนถึงขั้นวิ่งไปลอบสังหารด้วยตัวเอง เมื่อโดนจับแล้วยังทำให้พวกเขาเดือดร้อนอีกตวนอ๋องดูเป็นคนฉลาดเช่นนั้น เหตุใดจึงมีบุตรชายที่โง่เขลาเช่นนี้ พอเกิดเรื่องก็สารภาพเรื่องพวกเขาออกมาหมดเปลือก!
“เรื่องนี้พวกกระหม่อมไม่รู้เรื่อง ขอฝ่าบาทโปรดตรวจสอบด้วยพ่ะย่ะค่ะ” บรรดาผู้คนที่ถูกคุมตัวคุกเข่าอยู่บนพื้นพากันร้องขอความเป็นธรรม
หรงจิ่นเลิกคิ้ว “คนผู้นี้คือ?”
เจี่ยงปินที่อยู่ข้างหลังกล่าวเสียงเบา “คนผู้นี้คือคุณชายใหญ่จวนองค์ชายห้า แล้วยังมี…คุณชายสามขององค์รัชทายาทเต้ากง คุณชายสี่จวนองค์ชายหก คุณชายใหญ่จวนองค์ชายเจ็ด…” องค์ชายแปดนั้นอายุมากกว่าหรงจิ่นไม่มากนักเลยยังไม่ทันได้ให้กำเนิดบุตรชายมาก่อความวุ่นวาย
“ดูเหมือนว่าทุกคนจะไม่พอใจข้ามาก หืม? พี่ห้า พี่หก พี่เจ็ด” หรงจิ่นกล่าวด้วยท่วงท่าสบายๆ
ผู้ที่ถูกเรียกชื่อรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งร่างกาย หลายปีมานี้หรงจิ่นเคยเรียกพวกเขาว่าพี่อย่างจริงจังที่ไหนกัน เมื่อได้ยินก็รู้สึกขนลุกและสั่นสะท้านไปทั้งใจ
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ต้องมีการเข้าใจผิดเป็นแน่ ถึงแม้ว่าลูกข้าจะกล้ามากแค่ไหนก็ไม่มีทางกล้าลอบสังหารอัครมหาเสนาบดีแห่งราชสำนักเป็นแน่ ขอฝ่าบาททรงตรวจสอบด้วยพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายหกก้าวไปข้างหน้าพลางกล่าวเสียงดัง
“เข้าใจผิด? พี่สี่คิดว่าเป็นการเข้าใจผิด? ท่านว่า…หรงฮ่าวใส่ร้ายบรรดาหลานๆ ของข้า หรือว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง…ทุกคนร่วมมือกันลอบสังหารจื่อชิง?” หรงจิ่นมองหรงเหยี่ยนด้วยสีหน้าเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม หรงเหยี่ยนพลันสีหน้าแข็งทื่อ จ้องไปที่หรงจิ่นอย่างไม่ละสายตา หรงจิ่นเองก็จ้องหรงเหยี่ยนตาไม่กะพริบเช่นกัน ในแววตายังแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน เดิมทีนี่ก็เป็นสิ่งที่เลือกได้ยาก หากหรงเหยี่ยนสนับสนุนหรงฮ่าวก็ย่อมเป็นการทำให้บรรดาองค์ชายขุ่นเคือง แต่หากหรงเหยี่ยนลำเอียงไปทางบรรดาบุตรชายคนอื่นเหล่านี้ก็หมายความว่าเขาต้องทอดทิ้งบุตรชายแท้ๆ ของตัวเอง แม้ว่าหรงฮ่าวจะเป็นบุตรชายอนุ ซ้ำยังมือด้วนหนึ่งข้าง แต่อย่างไรเสียก็เป็นสายเลือดแท้ๆ ของเขา
ดูเหมือนบรรยากาศจะหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ทุกคนกลั้นหายใจเพื่อรอการเลือกของหรงเหยี่ยน หลังจากผ่านไปนานหรงเหยี่ยนก็หลับตาลง กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เรื่องนี้…ฝ่าบาทย่อมมีวิจารณญาณของพระองค์เอง”
หรงจิ่นแสยะยิ้ม ไม่มีทางเปิดโอกาสให้เขาหลบหนี “เรามีคำตัดสินอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เราอยากฟังคำตัดสินของพี่สี่ ว่ากันว่าไม่มีใครรู้จักบุตรชายดีไปกว่าบิดา คิดว่าพี่สี่จะต้องเข้าใจหรงฮ่าวเป็นแน่ เมื่อถึงเวลานั้นคนอื่นจะได้ไม่คิดว่าเราใส่ร้ายหลานแท้ๆ ของตัวเอง ท่านว่า…ถูกหรือไม่”
หรงเหยี่ยนกัดฟัน หลังจากผ่านไปนานจึงได้เงยหน้าขึ้น จ้องหรงจิ่นด้วยสายตาเย็นชาอยู่นาน จากนั้นก็ยกชายเสื้อขึ้นพลางคุกเข่าลงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ทั้งหมดเป็นความผิดของฮ่าวเอ๋อร์ ขอฝ่าบาทโปรดลงโทษด้วย”
“ท่านพ่อ!” หรงฮ่าวตระโกนเสียงดัง
“หุบปาก! เจ้าลูกทรพี! เจ้ายังสร้างปัญหาไม่พออีกหรือ” หรงเหยี่ยนตวาดด้วยความโกรธ จากนั้นก็หันไปทางมู่ชิงอี ก้มหัวคำนับเอ่ย “บุตรชายกระทำชั่วโดยรู้เท่าไม่ถึงการ ขอเสนาบดีกู้โปรดเข้าใจด้วย”
ดียิ่งนัก! ตวนอ๋องผู้อดทนต่อความอัปยศอดสู หรงเหยี่ยนผู้ผดุงความยุติธรรมโดยไม่นึกถึงเรื่องส่วนตัว!
เมื่อจ้องไปยังหรงเหยี่ยนที่มีท่าทีเคารพ แววตาของหรงจิ่นก็แฝงไว้ด้วยไอสังหาร ยิ้มอย่างโกรธเกรี้ยว
“ตวนอ๋องกำลังทำอะไรอยู่ เป็นถึงสายเลือดราชวงศ์มาคุกเข่าให้อัครมหาเสนาบดี ต่อให้จื่อชิงไม่ยอมยกโทษก็คงไม่กล้าพูดอะไร ท่าน…กำลังขู่อัครเสนาบดีของข้าอยู่หรือ” หรงจิ่นเอ่ยเสียงเรียบ
หรงเหยี่ยนกัดฟันตอบ “กระหม่อม มิบังอาจ”
“ทางที่ดีอย่าบังอาจ” หรงจิ่นที่เอนกายพิงเก้าอี้เปลี่ยนท่านั่ง จ้องมองผู้คนที่อยู่ด้านล่างอย่างเหยียดหยาม “ทุกคนฟังไว้ให้ดี หากใครกล้าทำตัวต่ำช้าภายใต้สายตาของข้า ข้าจะทำให้คนผู้นั้นเสียใจที่เกิดมาบนโลกนี้ หรงฮ่าว เจ้ายังมีอะไรจะพูดหรือไม่”
หรงฮ่าวจมอยู่กับความตกใจที่ถูกบิดาทอดทิ้งยังไม่ได้สติกลับมา เมื่อได้ยินคำพูดของหรงจิ่นก็ยังรู้สึกมึนงงอยู่ หรงจิ่นเลิกคิ้วถาม “ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เจ้ากรมอาญา”
“พ่ะย่ะค่ะ” เจ้ากรมอาญาเดินออกมาด้วยอาการตัวสั่น แม้ว่ากลางดึกของเดือนสี่จะไม่ร้อนนัก แต่เม็ดเหงื่อก็ปรากฏบนหน้าผากของเขาอย่างชัดเจน
“ลอบสังหารอัครมหาเสนาบดีแห่งราชสำนัก มีโทษอย่างไร” หรงจิ่นถามอย่างเกียจคร้าน
“…” เจ้ากรมอาญาลังเลเล็กน้อย หรงจิ่นสบถอย่างเย็นชา “หากเจ้าไม่รู้ก็เปลี่ยนเจ้ากรมอาญาที่มีความสามารถมาตอบคำถามเราแทน” เจ้ากรมอาญาใจสั่นวาบ ฮ่องเต้องค์ใหม่หมายความว่า หากเขาไม่ตอบก็ไม่ต้องดำรงตำแหน่งเจ้ากรมอาญานี้แล้ว
“กราบ…กราบทูลฝ่าบาท ลอบสังหารขุนนางในราชสำนัก…ประหารชั่วโคตร” เจ้ากรมอาญากล่าวด้วยตัวสั่นสะท้าน
หรงจิ่นมองดูผู้คนด้านล่างด้วยความรู้สึกสนุก “ประหารชั่วโคตรอย่างนั้นหรือ…”
“ฝ่าบาท…” ในที่สุดก็มีพรรคพวกของตวนอ๋องอดไม่ได้ลุกขึ้นมา “กราบทูลฝ่าบาท เรื่องนี้คุณชายสองเป็นคนตัดสินใจเองทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับองค์ชายตวนอ๋องและซื่อจื่อ ขอฝ่าบาทโปรดตรวจสอบด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“ขอฝ่าบาทโปรดตรวจสอบด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ผู้คนฝ่ายตวนอ๋องทยอยกันก้าวมาข้างหน้าเพื่อขอความเมตตา กลับยิ่งทำให้หรงฮ่าวดูโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งพิงอย่างชัดเจน หรงฮ่าวจ้องมองคนที่อยู่ข้างหน้าด้วยความสิ้นหวัง ในแววตาเผยให้เห็นความหมดหวังและโดดเดี่ยว ทำไม…ทำไม…
หรงจิ่นชำเลืองมองหรงฮ่าวที่ดูเหมือนกำลังเหม่อลอยอย่างไม่ใส่ใจ พยักหน้าเอ่ย “ช่างเถิด เสด็จพ่อพึ่งจะสิ้นพระชนม์ ข้าเองก็ไม่อยากลากใครเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในตอนนี้ หรงฮ่าวจวนตวนอ๋องรับโทษทัณฑ์เลาะกระดูก ให้จบเพียงเท่านี้เถิด พี่สี่ก็จะได้ส่งบุตรชายด้วย” ความหมายก็คือต้องการให้หรงเหยี่ยนเห็นบุตรชายของตัวเองถูกประหารชีวิตด้วยโทษทัณฑ์เลาะกระดูก