“พ่ะย่ะค่ะ!” ท่ามกลางทหารของกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อ เทียนซูกับไคหยางก้าวออกมาข้างหน้าพลางกล่าวด้วยความเคารพ
หรงจิ่นเอ่ยเสียงเรียบ “เอาตัวพวกโง่เง่าเหล่านี้ไป เห็นแล้วรำคาญตา”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” เทียนซูตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม พอโบกมือทหารกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อก็ก้าวเข้ามาทันที ควบคุมตัวขุนนางคนสำคัญที่กระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขเมื่อครู่ไป
“นี่…เป็นไปได้อย่างไร…” องค์ชายหกพลันสับสนในทันที คิดมาเสมอว่ากองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อคือไพ่ใบใหญ่ที่สุดของตน ซึ่งแม้แต่หรงเซวียนกับหนานกงเจวี๋ยก็ไม่รู้เรื่องนี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่ากองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อจริงๆ ที่เข้าเมืองมามีไม่ถึงหนึ่งส่วน ที่เหลือล้วนเป็นทหารเมืองเทียนเชวีย แม้แต่กองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อที่เขาคิดว่าตัวเองควบคุมได้ก็ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเขามานานแล้ว อย่างไรเสียเดิมทีกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อก็ทำตามป้ายคำสั่งเท่านั้น
เมื่อเห็นหรงจิ่นจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชาราวงูพิษก็ไม่ปาน มีหรือที่องค์ชายหกจะไม่รู้ว่าตัวเองจบสิ้นแล้ว แต่สถานที่นี้ถูกล้อมไว้ด้วยกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อที่ตัวเองเรียกมา ต่อให้มีปีกก็ยากที่จะหนีไปได้ กวาดสายตามองผู้คนรอบตัว ทันใดนั้นองค์ชายหกก็เคลื่อนตัวพุ่งไปหามู่ชิงอี
เงาดำเคลื่อนไหวท่ามกลางผู้คนอย่างรวดเร็ว หรงจิ่นที่เดิมทีอยู่ห่างจากมู่ชิงอีอยู่พอสมควรพลันปรากฏตัวขึ้นระหว่างทั้งสองคนขวางทางองค์ชายหกเอาไว้ แสงสะท้อนจากคมมีดสีแดงเข้มตวัดผ่านไป จากนั้นองค์ชายหกก็ร้องด้วยความเจ็บปวด ทรุดตัวลงกับพื้น
องค์ชายหกที่ล้มลงกับพื้นร่างกายไม่ได้มีบาดแผล ดูดีกว่าหรงซิงที่ท่าทางอนาถกว่าหลายเท่า แต่ว่ามีเลือดไหลออกมาจากข้อมือของเขาทั้งสองข้าง ไม่นานก็เปียกชุ่มไปทั่วพื้น แม้ว่าองค์ชายหกจะไม่ตาย แต่มือก็ใช้การไม่ได้แล้ว
“หรงจิ่น!” องค์ชายหกที่เสียมือทั้งสองข้างไปทั้งโกรธทั้งแค้น ลืมความระมัดระวังและการป้องกันตัวจากหรงจิ่นเมื่อก่อนหน้านี้ไปจนหมด ตะโกนด้วยความโกรธว่า “หรงจิ่น แน่จริงเจ้าก็ฆ่าข้าสิ!”
หรงจิ่นแสยะยิ้ม “คิดว่าข้าไม่กล้าหรือ”
เมื่อสะบัดแขนเสื้อกว้าง องค์ชายหกผู้ซึ่งกำลังตะโกนด่าอย่างบ้าคลั่งเมื่อครู่นี้ก็คอหักแล้วหมดลมหายใจในทันที เส้นเลือดที่คอของเขาค่อยๆ แตกออก ดวงตาของเขายังคงเบิกกว้างเต็มไปด้วยความโกรธปนตกใจ ราวกับว่าไม่เชื่อว่าหรงจิ่นจะฆ่าเขาอย่างง่ายดายขนาดนี้
องค์ชายผู้หยิ่งยโสเมื่อครู่นี้ได้เสียชีวิตไปอย่างง่ายดาย ทุกคนพากันเงียบราวกับว่าพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง เมื่อมองไปยังชายหนุ่มชุดดำที่แขนเสื้อลอยอยู่เหนือกองเลือด ใบหน้างดงามของเขาเต็มไปด้วยไอสังหารเย็นยะเยือก ราวกับปีศาจที่ขึ้นมาจากนรกอย่างไรอย่างนั้น
พวกเขา…กำลังท้าทายคนแบบไหนกันแน่
ทุกคนอดใจหายไม่ได้ บุรุษเย็นชาที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ทำให้คนแทบหายใจไม่ออก คือองค์ชายเก้าผู้ไม่เอาไหนที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์โปรดปรานในตอนนั้นจริงหรือ ความจริงแล้วองค์ชายหกไม่นับว่าเป็นคนที่ตายอย่างอนาถที่สุดภายใต้เงื้อมมือของหรงจิ่น แต่จุดจบขององค์ชายหกกับวรยุทธ์ของหรงจิ่นในตอนนี้นั้นทำให้ในใจของผู้คนเกิดความหวาดกลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“พวกเจ้าฟังให้ดี แคว้นเย่ว์นี้เป็นของข้า ข้าไม่ต้องการให้ใครมาบอกว่าข้าควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร หากเกิดขึ้นอีก นี่จะเป็นดั่งจุดจบของพวกเจ้า!” น้ำเสียงทุ้มต่ำแต่กลับดังเข้าหูของทุกคนอย่างชัดเจน คนที่ขี้ขลาดตาขาวพลอยขาสั่นจนทรุดลงไปกองกับพื้นตั้งนานแล้ว
“กระหม่อมสมควรตาย ขอฝ่าบาทประทานอภัยให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” บรรดาขุนนางในราชสำนักที่เดิมทีกล่าวโทษมู่ชิงอีโดยคิดว่าเป็นความชอบธรรมที่ถูกต้องได้คุกเข่าลงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับยอมจำนนด้วยความยำเกรง
หรงจิ่นยกยิ้ม ในเมื่อไม่รู้ว่าอะไรคือความภักดี เช่นนั้นก็จะสอนให้พวกเขารู้ว่าอะไรคือความกลัว!
“ตอนนี้ เจ้ากรมอาญา ดำเนินโทษ!” หรงจิ่นเดินกลับไปที่ตำแหน่งเหนือบันไดอย่างเนิ่บนาบพลางกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“พ่ะ…พ่ะย่ะค่ะ…กระหม่อมรับทราบ” เจ้ากรมอาญากล่าวอย่างสั่นกลัว
หรงจิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองไปที่มู่ชิงอีซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยเสียงเรียบว่า “ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องไปต้อนรับราชทูตจากแคว้นเป่ยฮั่นอีก อัครมหาเสนาบดีกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”
ฉากการลงโทษทัณฑ์เลาะกระดูกโหดร้ายเกินไป หรงจิ่นไม่อยากทำให้มู่ชิงอีตกใจกลัว มู่ชิงอีถอนหายใจแผ่วเบาแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “การขึ้นครองบัลลังก์ของฝ่าบาทใกล้เข้ามาแล้ว การลงโทษทัณฑ์เลาะกระดูกจะเป็นอันตรายต่อความสงบสุขสามัคคี ขอฝ่าบาทโปรดลดโทษลงด้วยเถิด”
หรงจิ่นพยักหน้าเอ่ย “ในใจข้าย่อมรู้ขอบเขตดี จื่อชิงกลับไปก่อนเถิด ทหาร ส่งอัครมหาเสนาบดีกู้กลับไป”
“กระหม่อมรับทราบพ่ะย่ะค่ะ!” ตงฟังซวี่ที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้างกำแพงห้องยากนักที่จะมีไหวพริบขึ้นมาบ้าง รีบแย่งเอ่ยรับปากก่อนทหารองครักษเสียอีก จากนั้นก็วิ่งพรวดมาอยู่ตรงหน้ามู่ชิงอี “อัครมหาเสนาบดีกู้ เชิญทางนี้”
เขาไม่อยากเห็นภาพเลือดไหลเป็นสายน้ำแม้แต่นิดเดียว ยิ่งไม่อยากรอให้ฝ่าบาทจัดการธุระเสร็จแล้วค่อยกลับมาคิดบัญชีกับเขา มู่ชิงอีพยักหน้า ลุกขึ้นพลางกล่าวว่า “รบกวนใต้เท้าตงฟังแล้ว”
เมื่อเห็นมู่ชิงอีขึ้นรถม้าแล้วจากไป ภายในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็อดแตกสลายไม่ได้ หากมู่ชิงอีอยู่หรงจิ่นก็จะยับยั้งชั่งใจอยู่บ้าง แต่หลังจากที่มู่ชิงอีจากไปทุกคนก็ตระหนักได้ว่าที่แท้สิ่งที่พวกเขาเห็นไปเมื่อครู่นี้ไม่ใช่ด้านที่น่ากลัวที่สุดของฝ่าบาท
“ในเมื่ออัครมหาเสนาบดีขอความเมตตาให้แก่พวกเจ้า…โทษทัณฑ์เลาะกระดูกนับว่าเสียเวลาจริงๆ เช่นนั้นก็ช่างเถิด” หรงจิ่นเอนหลังพิงเก้าอี้กว้าง จ้องมองผู้คนด้านล่างพลางกล่าวอย่างเกียจคร้าน
“เมื่อครู่ทุกคนรีบร้อนที่จะกำจัดขุนนางชั่ว ให้คำแนะนำเพื่ออยากแบ่งเบาความกังวลของข้า ข้าเองก็รู้สึกโล่งใจ” หรงจิ่นกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “คราวนี้…ต้องรบกวนพวกเจ้าแบ่งเบาความกังวลให้ข้าแล้ว”
หลังจากพูดจบหรงจิ่นดูเหมือนเรียกชื่อคนสองสามคนอย่างไม่ใส่ใจ พวกเขาล้วนเป็นขุนนางที่มีอำนาจค่อนข้างสำคัญในราชสำนักแต่เป็นผู้คนที่ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างชัดเจน ได้ยินเพียงหรงจิ่นเอ่ยเสียงเรียบว่า “ต้องขอให้บรรดาใต้เท้าเป็นผู้ดำเนินโทษด้วย”
ตุบ!
บรรดาขุนนางที่พึ่งลุกขึ้นยืนพลันคุกเข่าลงอีกครั้ง หากจะให้พวกเขาวางแผนทำให้ตระกูลผู้อื่นย่อยยับ พวกเขาก็สามารถทำได้โดยตาไม่กะพริบ แต่หากให้พวกเขาถือดาบไปฆ่าคนด้วยตัวเอง หรือสังหารคนในเชื้อพระวงศ์อย่างโจ่งแจ้ง พวกเขากลับไม่มีความกล้าเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้น หากพวกเขาลงมือ ความสัมพันธ์กับท่านอ๋องแต่ละจวนในอนาคตก็คง…
ดูเหมือนว่าหรงจิ่นไม่ได้มีเจตนาที่จะบังคับพวกเขา หลังจากเอ่ยคำพูดเหล่านี้เสร็จก็กุมขมับแล้วหลับตาลงเพื่อพักผ่อน ผู้คนด้านล่างต่างมองหน้ากันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร
หลังจากนั้นไม่นานหรงจิ่นก็ลืมตาขึ้นพลางมองพวกเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ถอนหายใจเอ่ย “นี่คือ…ขุนนางผู้จงรักภักดีที่เสด็จพ่อทิ้งเอาไว้ให้ข้าอย่างนั้นหรือ หืม?”
ผู้คนด้านล่างต่างเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร
“ฝ่าบาท” ชายผู้หนึ่งที่ดูเหมือนทหารองครักษ์เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก้มศีรษะกระซิบบางอย่างที่ข้างหูหรงจิ่น หรงจิ่นสีหน้าพลันเย็นชา ใบหน้าที่เดิมทีก็ไม่ค่อยสบอารมณ์อยู่แล้วยิ่งดูเย็นชามากกว่าเดิม จ้องมองผู้คนด้านล่างพลางกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้าไม่เต็มใจแบ่งเบาความกังวลของข้า เช่นนั้นก็อยู่แต่ในเรือนเถิด ทหาร! หรงไหวฟู่เอินโหว หรงฮ่าวบุตรชายรองตวนอ๋องและคนอื่นๆ ลอบสังหารอัครมหาเสนาบดี ไม่เคารพฮ่องเต้ ลงโทษประหารชีวิต! องค์ชายสิบหรงซิง องค์ชายหกหรงเชิงคบคิดก่อกบฏ ลงโทษประหารชีวิต ผู้สมรู้ร่วมคิดทุกคนก็มีความผิด ลงโทษเช่นกัน ส่วนคนที่เหลือถูกลดตำแหน่งหนึ่งระดับ หากยังทำผิดอีก ประหารชั่วโคตร!”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!” ทุกคนพากันกล่าวด้วยความสั่นกลัว
หากก่อนหน้านี้หรงจิ่นจัดการคนจำนวนมากในคราเดียว จะต้องเกิดความวุ่นวายอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกคนจะมึนงงจากความหวาดกลัว เมื่อได้ยินว่าถูกลดตำแหน่งหนึ่งระดับเท่านั้นก็รู้สึกโล่งใจ จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนหนีจากความตายมาได้ ไหนเลยจะมีเวลาไปสนใจอย่างอื่นอีก กระทั่งคิดว่าการที่องค์ชายหกก่อเรื่องขึ้นก็สมควรที่จะได้รับจุดจบเช่นนี้แล้ว