มู่หรงเค่อกับจ้าวจื่ออวี้เป็นองค์ชายกับจวิ้นอ๋องจากแคว้นอื่น ซ้ำยังเป็นราชฑูต เลยไม่ต้องถวายบังคมหรงจิ่นอย่างเป็นทางการ เพียงแค่โค้งหัวคำนับด้วยความเคารพก็พอแล้ว
หรงจิ่นโบกมือ ยิ้มพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า “ฝูอ๋องกับอานซีจวิ้นอ๋องเดินทางมาไกล เมื่อคืนพักผ่อนสบายหรือไม่”
มู่หรงเค่อมุมปากกระตุกเล็กน้อย ที่ว่าการเฟิ่งเทียนกับสถานทูตแคว้นหวาอยู่เขตเมืองชั้นใน แม้ว่ามู่หรงเค่อกับจ้าวจื่อวี้จะไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงเมื่อคืนนี้กับตาของตัวเอง แต่พวกเขาก็พอรู้เรื่องอยู่บ้าง เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้มีหรือเขาจะนอนหลับสบาย
เมื่อเห็นฮ่องเต้แคว้นเย่ว์องค์ใหม่นั่งอยู่บนบัลลังก์ต่อหน้าตน สวมเพียงชุดเสื้อแพรสีดำลายมังกร แต่ไม่มีเสื้อคลุมลายมังกร มู่หรงเค่อก็แอบรู้สึกประหลาดใจ ใครจะคิดถึงว่าองค์ชายแคว้นเย่ว์ที่ไม่มีใครเห็นเขาอยู่ในสายตาเมื่อตอนที่อยู่แคว้นหวาเมื่อปีที่แล้ว ทั้งยังดูหยิ่งยโสแต่กลับขี้โรคจะได้ข้ามขั้นไปเป็นถึงผู้สืบทอดบัลลังก์แคว้นเย่ว์ ยิ่งคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์องค์ใหม่ผู้ที่มีใบหน้างดงามพอที่จะทำให้สตรีนับไม่ถ้วนหลงไหลได้นั้นจะไร้ความปรานีเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะแน่ใจว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา มู่หรงเค่อก็อดสงสัยไม่ได้ว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ของแคว้นเย่ว์กำลังแสดงอำนาจให้ตัวเองดูหรือไม่
เหลือบมองไปยังกลุ่มขุนนางในพระตำหนัก แม้แต่ท่านอ๋องทั้งสองที่มีอำนาจมากที่สุดอย่างตวนอ๋องกับจวงอ๋องก็ยังสงบเสงี่ยม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความยำเกรงและความเชื่อฟังของขุนนางในราชสำนักเหล่านั้น เดิมทีคิดว่าการสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหันของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะทำให้คนในราชวงศ์แคว้นเย่ว์เข้าสู่สงครามเพราะราชบัลลังก์ คิดไม่ถึงว่าองค์ชายเก้าที่ใครก็คาดไม่ถึงผู้นี้จะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วหลังจากขึ้นครองบัลลังก์ ถึงกระทั่งใช้คนจากตระกูลตงฟังและตระกูลหนานกงที่แม้แต่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็ยังเกรงกลัว ดูเหมือนว่าการคำนวณของเสด็จพ่อจะผิดพลาด
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่เป็นห่วง พวกข้าสบายดี” ฝูอ๋องยกมือคำนับ
หรงจิ่นพยักหน้าอย่างพอใจ ค่อนข้างพอใจกับมู่หรงเค่อผู้ซึ่งเป็นราชทูต อย่างน้อยก็ไม่เหมือนพวกที่ชอบหาเรื่องให้คนอื่นเดือดร้อน แม้ว่าองค์ชายเก้าจะไม่กลัวปัญหา แต่ถ้ามีมากเกินไปก็จะทำให้รู้สึกเอือมระอา เป็นเพราะมู่หรงเค่อน่าสนใจ หรงจิ่นจึงดูอารมณ์ดีมากขึ้น ยิ้มเอ่ย “เช่นนั้นก็ดี หากมีอะไรไม่สะดวกก็ให้รีบกำชับกรมพิธีกรรมไปจัดการ อีกอย่าง อัครมหาเสนาบดีของข้าก็มาจากแคว้นหวา หากฝูอ๋องมีเรื่องอันใดก็สามารถปรึกษากับอัครมหาเสนาบดีได้”
ฝูอ๋องฝืนยิ้ม “ขอบพระทัยฝ่าบาท” ข้าไม่หาเรื่องท่าน ท่านก็อย่าหาเรื่องข้าเลย การที่พูดถึงเรื่องอื้อฉาวที่รู้กันดีในแคว้นหวาต่อหน้าคนจำนวนมากเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเป็นการตบหน้าข้าอยู่หรือ
ความจริงฝูอ๋องคิดมากเกินไป องค์ชายเก้าเพียงแค่อยากจะโอ้อวดเท่านั้น
“ฝูอ๋อง ขอฝากตัวด้วยพ่ะย่ะค่ะ” มู่ชิงอีเหลือบมองหรงจิ่นที่อยู่บนพระที่นั่งด้วยใบหน้ากลั้นยิ้ม แล้วหันมายกมือคำนับมู่หรงเค่อ มู่หรงเค่อยิ้มพลางตอบกลับว่า “อัครมหาเสนาบดีกู้เกรงใจแล้ว”
โชคดีที่กู้หลิวอวิ๋นไม่ใช่คนน่ารำคาญขนาดนั้น…
เมื่อเลิกประชุมราชสำนักช่วงเช้า มู่ชิงอีก็เดินตามขุนนางทั้งหมดออกจากพระตำหนักหลวงหันหลังเตรียมกลับจวน มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายก่อนขึ้นครองราชย์ นางย่อมไม่มีเวลามาเบื่อหรงจิ่น เพียงแต่ก่อนเดินออกประตูมาเห็นดวงตาขุ่นเคืองของหรงจิ่น ก็อดแอดรู้สึกขบขันไม่ได้ ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนที่สามารถทำให้ขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารทั้งราชสำนักใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ได้เพียงแค่มุ่นคิ้ว แต่กลับชอบทำตัวเหมือนเด็กเช่นนี้
“อัครมหาเสนาบดีกู้” ภายใต้สายตาที่ลังเลและสงสัยของทุกคน หรงเซวียนพาหนานกงอี้กับหรงยางไปทักทายมู่ชิงอีอย่างเป็นมิตร เหตุการณ์ครั้งนี้หรงเซวียนไม่ได้เข้าไปร่วมก่อความวุ่นวายด้วย หรงจิ่นก็ยอมรับในน้ำใจของเขาและเริ่มใช้งานหนานกงเจวี๋ยอีกครั้ง ทั้งยังแต่งตั้งหรงยางเป็นจวิ้นอ๋อง ตอนนี้ในสายตาคนนอกเห็นได้ชัดว่าจวงอ๋องยืนอยู่ข้างฮ่องเต้องค์ใหม่แล้ว ในขณะที่หลายคนอิจฉาตาร้อน แต่ก็รู้สึกทอดถอนใจที่ถึงแม้ว่าจวงอ๋องกับหนานกงเจวี๋ยจะเกิดมาในสายเลือดทหาร แต่สายตาที่มั่นคงกับการปฏิบัติตัวนับว่าไม่เลวเลย ผู้ที่รู้จักเวลาที่เหมาะสมเรียกว่าวีรบุรุษ ตอนนี้เป็นเวลาขึ้นครองบัลลังก์ใหม่หลังจากที่ฮ่องเต้องค์ก่อนสิ้นพระชนม์…เลือดที่อยู่นอกประตูที่ว่าการเฟิ่งเทียนก็ยังไม่ได้รับการชำระให้สะอาด
ถึงแม้ว่าคนนอกจะคิดว่าจวนจวงอ๋องไม่มีอะไรต้องกังวล แต่ตัวหรงเซวียนกลับรู้ดีว่าใช่ว่าระหว่างจวนจวงอ๋องกับฮ่องเต้จะไม่มีอะไรขัดแย้งกัน ตราบใดที่ความขัดแย้งนี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข เกรงว่าสักวันหนึ่งหรงจิ่นก็อาจจะไม่เก็บจวนจวงอ๋องไว้ แต่ในเมื่อแม้แต่ความคิดที่จะครอบครองบัลลังก์ก็ยังละทิ้งแล้ว แล้วจะยังมีอะไรที่ละทิ้งไม่ได้อีก หรงเซวียนก็ไม่ใช่คนลังเลหรือเจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นนั้น ในเมื่อทำใจเป็นข้าราชบริพารแล้วก็ไม่ต้องเสียใจภายหลัง คนอย่างหรงเซวียนต่อให้เป็นเพียงท่านอ๋อง ก็จะเป็นท่านอ๋องเพียงหนึ่งเดียวในบรรดาองค์ชายทั้งหมด!
“จวงอ๋อง” มู่ชิงอีเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วเหลือบมองหรงยางที่สวมชุดตำแหน่งจวิ้นอ๋อง ยกมือคำนับพลางยิ้มแล้วกล่าวว่า “ยินดีกับจวิ้นอ๋องด้วย”
หรงจิ่นไม่ได้มีปัญหาเหล่านั้นเหมือนฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ มันไม่คุ้มค่าที่จะใช้จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อเลี้ยงคนในราชวงศ์โดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นบรรดาองค์ชายและพระราชนัดดาที่ได้รับการแต่งตั้งก็ต้องประชุมราชสำนักและทำงานทุกคน วันนี้เป็นการประชุมราชสำนักครั้งแรกของหรงยาง เห็นได้ชัดว่าเขาตื่นเต้นไม่เบา
“ขอบคุณอัครมหาเสนาบดีกู้” ช่วงที่ผ่านมานี้จวนจวงอ๋องจากจุดแข็งแกร่งไปสู่การตกอยู่ในจุดอันตราย ตอนนี้กลับมาตั้งหลักได้อีกครั้ง ด้วยคำแนะนำของหรงเซวียนกับหนานกงอี้ ทำให้หรงยางดูค่อนข้างมั่นใจหนักแน่นอย่างเห็นได้ชัด คาดว่าหลังจากมีประสบการณ์มากขึ้น เขาก็คงไม่แพ้บิดาของเขา บรรดาลูกหลานเชื้อพระวงศ์แคว้นเย่ว์เหล่านี้ไม่ได้โง่เขลา เพียงแค่พวกเขาไม่มีโอกาสฝึกฝนก็เท่านั้น
“อัครมหาเสนาบดีกู้จะกลับจวนแล้วหรือ” หรงเซวียนเอ่ยถาม
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางเอ่ย “ใช่แล้ว ราชทูตแคว้นเป่ยฮั่นคาดว่าจะมาถึงเมืองหลวงในวันนี้ ยังมีเรื่องที่ต้องกลับไปจัดการก่อน เพื่อจะได้ไม่เป็นการไปต้อนรับแขกล่าช้า”
หรงเซวียนกล่าว “ถึงแม้บุตรชายข้าจะโง่เขลา แต่ก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง หากอัครมหาเสนาบดีกู้มีอะไรจะกำชับก็สามารถส่งเขาไปจัดการได้” หมายความว่าหรงยางที่เป็นจวิ้นอ๋องจะเชื่อฟังคำสั่งของมู่ชิงอี แม้ว่าการทำเช่นนี้จะเป็นการลดศักดิ์ศรีลงไปบ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ อย่างไรเสียระดับความสูงต่ำของขุนนางกับระดับบรรดาศักดิ์นั้นก็ไม่เหมือนกัน ในความเป็นจริงกู้หลิวอวิ๋นนั้นเป็นหัวหน้าขุนนางฝ่ายพลเรือน บุคคลอันดับหนึ่งรองจากฮ่องเต้ ไม่ใช่เรื่องผิดหากหรงยางจะฟังคำสั่งเขาเมื่อต้องจัดการงาน เพียงแต่เป็นเรื่องยากมากที่องค์ชายอย่างหรงเซวียนจะพูดเช่นนี้ด้วยตัวเอง
มู่ชิงอีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบตกลง “เช่นนั้นต่อไปต้องรบกวนจวิ้นอ๋องแล้ว”
หรงยางไม่กล้ากล่าวอะไร เพียงแต่เอ่ยขึ้นว่า “ต่อไปต้องรบกวนอัครมหาเสนาบดีกู้ให้คำแนะนำแล้ว” แม้ว่ากู้หลิวอวิ๋นจะดูอ่อนกว่าเขามาก แต่หรงยางก็ไม่กล้าดูถูกอัครมหาเสนาบดีหนุ่มผู้นี้เป็นอันขาด ไม่ต้องพูดถึงว่าฝ่าบาทไว้วางใจเขามากแค่ไหน แม้แต่ท่านพ่อกับท่านอาของเขาก็ยังต้องระวังตัวเมื่ออยู่ต่อหน้ากู้หลิวอวิ๋น ดังนั้นจึงรู้ได้ว่าชายหนุ่มผู้นี้เก่งกาจเพียงใด
เมื่อเห็นว่ามู่ชิงอีตอบตกลง สีหน้าของหรงเซวียนก็ดูผ่อนคลายไม่น้อย ยิ้มเอ่ย “ข้ายังมีเรื่องอยากจะปรึกษาอัครมหาเสนาบดีกู้ ไม่ทราบว่าจะเป็นการรบกวนหรือไม่”
มู่ชิงอีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านอ๋องเกรงใจแล้ว เชิญเถิด”
เมื่อเห็นมู่ชิงอีและคนอื่นๆ เดินออกไป บรรดาขุนนางในราชสำนักและผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ชั้นสูงที่อยู่ข้างหลังต่างมีสีหน้าซับซ้อน มีคนรู้สึกทอดถอนใจ มีคนอิจฉา มีคนโกรธแค้น บรรดาท่านอ๋องที่ปกติมีคนห้อมล้อมกลับดูเงียบเหงาอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่านอกจากองค์ชายทั้งสองและบรรดาหลานในเชื้อพระวงศ์ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อคืนนี้ องค์ชายที่เหลือก็ไม่ได้ถูกลากมาเกี่ยวข้องด้วย แต่ทุกคนล้วนรู้จักดูสีหน้าและสถานการณ์ บรรดาขุนนางคนสำคัญที่เอะอะโวยวายตามบรรดาท่านอ๋องเหล่านั้นยังถูกบุกค้นจวนไม่หมดเลย ดังนั้นดูเหมือนว่าหรงเหยี่ยนและคนอื่นๆ จะไม่ได้รับความเสียหายอะไร แต่ในความจริงกองกำลังระดับล่างได้กระจัดกระจายไปหมดแล้ว