“พี่สี่” บรรดาองค์ชายมองไปยังหรงเซวียนและคนอื่นๆ ที่กำลังจากไปด้วยสีหน้าขมขื่นและลำบากใจ ตอนแรกพวกเขาแทบไม่ได้เห็นหรงจิ่นอยู่ในสายตา ซ้ำยังมองว่าการยอมถอยให้หลายครั้งของหรงจิ่นเป็นเพราะอ่อนแอและไร้ความสามารถ ตอนนี้ไปทำให้เขาขุ่นเคืองเข้าจึงทำให้เห็นความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย แต่กลับสายเกินไปที่จะเสียใจภายหลัง
“พี่สองช่างสายตาเฉียบคมจริงๆ ” องค์ชายห้ากล่าวด้วยความทอดถอนใจ เดิมทีหรงเซวียนเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์ที่มีอำนาจมากที่สุด คิดว่าถูกเหยียบย่ำจนจมดินไปแล้ว แต่ใครจะไปคิดว่าเขาจะปีนขึ้นมาอีกครั้งด้วยความช่วยเหลือจากฮ่องเต้องค์ใหม่ แม้ว่าจะสูญเสียบัลลังก์ แต่พระราชโองการของฮ่องเต้องค์ก่อนได้บอกทุกคนแล้วว่าการต่อสู้ของพวกเขาไม่มีความหมาย และตอนนี้สามารถคาดการณ์ได้ว่าหรงเซวียนจะเป็นองค์ชายที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดในบรรดาองค์ชายทั้งหมด หากหรงเซวียนจัดการได้ดี เขาอาจจะมีอำนาจมากกว่าตอนที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ครองบัลลังก์อยู่ด้วยซ้ำ อย่างไรเสีย ยี่สิบปีหลังจากที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ขึ้นครองราชย์ ตระกูลหนานกงก็ถูกปล่อยทิ้งไว้ตลอดมา
หรงเหยี่ยนถอนหายใจเอ่ย “ไม่ใช่ว่าใครก็จะโชคดีเหมือนเขา หากไม่มีตระกูลหนานกง...ต่อให้เป็นคนอย่างพวกเรา ไม่แน่ฝ่าบาทอาจจะคิดว่าพวกเราเกะกะด้วยซ้ำ”
เริ่มแรกคนที่หรงจิ่นต้องการดึงมาเป็นพรรคพวกไม่ใช่หรงเซวียน และไม่ใช่จวนจวงอ๋อง แต่เป็นตระกูลหนานกงที่อยู่เบื้องหลังจวนจวงอ๋อง เพียงแต่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหนานกงกับจวนจวงอ๋องนั้นใกล้ชิดกันมากจนไม่สามารถแยกจากกันได้ ดังนั้นหรงจิ่นจึงตัดสินใจเข้าทางจวนจวงอ๋อง ตอนนี้ดูแล้วได้ผลไม่เลวเลย
ในห้องตำราจวนตระกูลกู้
หลังจากที่สาวใช้นำน้ำชามาส่งแล้วออกไป มู่ชิงอีจึงได้กล่าวกับหรงเซวียนและคนอื่นๆ ด้วยรอยยิ้มว่า “จวนกระหม่อมไม่ได้หรูหราใหญ่โต แต่ชานี้ก็นับว่าไม่เลวเลย ท่านอ๋องลองชิมสักหน่อยเถิด” แม้ว่าหรงเซวียนจะระมัดระวังคนนอกมากขึ้นหลังจากถูกวางยา แต่ก็ไม่ถึงขั้นสงสัยว่ามู่ชิงอีจะวางยาพิษในชา ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบหนึ่งอึก ก่อนจะเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่ชาของแคว้นเย่ว์ แต่รสชาติไม่ได้ด้อยไปกว่าชาบรรณาการที่ดีที่สุดในแคว้นเย่ว์เลย แถมยังมีรสชาติที่แตกต่างกันด้วย”
มู่ชิงอียิ้มบางเอ่ย “พี่ชายกระหม่อมกลับมาจากดินแดนหนานอี๋ พอดีนำชาท้องถิ่นกลับมาด้วย ได้ยินมาว่าจวงอ๋องก็เป็นคนรักการดื่มชา เช่นนั้นก็เอากลับไปด้วยเถิด”
แน่นอนว่าหรงเซวียนรู้ว่ากู้ซิ่วถิงอยู่ในเมืองหลวง หากเป็นเมื่อก่อนตอนที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ยังอยู่ คุณชายซิ่วถิงเคยมีชื่อเสียงในแคว้นหวา เคยเป็นผู้คอยชี้แนะรัชทายาทแคว้นหวา คนเช่นนี้หรงเซวียนย่อมต้องต่อสู้เพื่อแย่งมา แต่ตอนนี้ความปรารถนาที่จะยึดครองบัลลังก์ดับลงแล้ว เมื่อคิดถึงเรื่องเล่านี้ความรู้สึกกลับจางลงไปไม่น้อย มีเพียงความรู้สึกที่อยากจะออกจากเรื่องพวกนี้มากขึ้น ยิ้มแล้วกล่าวว่า “คุณชายซิ่วถิงมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว หากได้พบสักครั้งนับว่าเป็นเกียรติแก่ข้าไปสามภพสามชาติ ฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์…ไม่ทราบว่าคุณชายซิ่วถิงจะเข้าร่วมพิธีขึ้นครองราชย์หรือไม่”
มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ย “แน่นอน”
หรงเซวียนยิ้มเอ่ย “ข้าชื่นชมคุณชายซิ่วถิงมานานแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นจะขอดื่มด้วยสักจอกอย่างแน่นอน” มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “จวงอ๋องมาด้วยตัวเอง เดิมทีควรจะแนะนำให้รู้จักในฐานะพี่ชาย แต่วันนี้พี่ใหญ่ได้ออกไปเที่ยวเล่นนอกเมืองตั้งแต่เช้าแล้ว ต้องขออภัยด้วย”
แน่นอนว่าหรงเซวียนไม่ได้ตำหนิ เขาเองก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อพบกู้ซิ่วถิงโดยเฉพาะ คลี่ยิ้มเอ่ย “เช่นนั้นก็น่าเสียดาย”
“ไม่ทราบว่า…จวงอ๋องมีอะไรจะชี้แนะหรือ” เมื่อเห็นท่าทางลังเลของหรงเซวียน มู่ชิงอีก็เข้าเรื่องทันที หรงเซวียนเหลือบมองหรงยางที่นั่งอยู่ข้างๆ หรงยางเข้าใจและลุกขึ้นทันที “ได้ยินมาว่าจวนตระกูลกู้งดงามดั่งภาพวาด มีลักษณะเด่นของแคว้นหวา ไม่ทราบว่าข้าจะขอชมสักหน่อยได้หรือไม่”
มู่ชิงอียิ้มพลางกวักมือเรียกผู้ดูแลให้เขาพาหรงยางออกไป ในห้องหนังสือเหลือเพียงหรงเซวียน หนานกงอี้ และมู่ชิงอีเพียงสามคน มู่ชิงอีเลิกคิ้ว กล่าวด้วยความสงสัยว่า “มีเรื่องอะไรหรือ แม้แต่อานจวิ้นอ๋องก็รู้ไม่ได้” หรงเซวียนบางเอ่ย “แม้ว่ายางเอ๋อร์จะอายุมากกว่าอัครมหาเสนาบดีกู้อยู่มาก แต่ก็มีความแตกต่างกับอัครมหาเสนาบดีกู้ในด้านของความรู้และไหวพริบ นิสัยของเขาไม่แน่วแน่พอ บางเรื่องไม่รู้จะดีกว่า จะได้ไม่ต้องถูกคนอื่นหลอกใช้โดยไม่รู้ตัว”
มู่ชิงอีขมวดคิ้วจับจ้องมองหรงเซวียน คาดเดาในใจว่าเขาต้องการพูดอะไรกันแน่ หลังจากคิดทบทวนดูแล้วก็ได้ข้อสรุปเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าจางหายไป กล่าวขึ้นว่า “จวงอ๋องว่ามาเถิด กระหม่อมจะตั้งใจฟัง”
หรงเซวียนขมวดคิ้วพลางมองมู่ชิงอีด้วยสีหน้าเรียบเฉย เงียบอยู่นานก่อนจะถามขึ้นมาว่า “มีคนบอกข้าว่าวรยุทธ์ของน้องเก้าไม่ด้อยไปกว่าแม่ทัพใหญ่หนานกงแน่นอน?”
มู่ชิงอีหรี่ตา ยิ้มเอ่ย “นี่คือ…คำพูดของแม่ทัพใหญ่หนานกงหรือ แม่ทัพใหญ่หนานกงได้เจอผู้คนนับไม่ถ้วนในสนามรบ การที่ได้รับคำชมจากแม่ทัพใหญ่ ฝ่าบาทจะต้องรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากแน่นอน” ไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ คิ้วของหรงเซวียนขมวดแน่นยิ่งกว่าเดิม จ้องมู่ชิงอีเอ่ย “จะว่าไปแล้ว…นับตั้งแต่ที่น้องเก้าขึ้นครองบัลลังก์ ข้าก็มักจะมีความรู้สึกคุ้นเคย สวมชุดดำ การใช้มีด วรยุทธ์เก่งกาจระดับใต้หล้า และนิสัยดื้อรั้น…อัครมหาเสนาบดีกู้พอจะรู้จักคุณชายอวิ๋นอิ่นหรือไม่”
มู่ชิงอีถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่หรงเซวียนคาดเดาตัวตนของหรงจิ่นออก อย่างไรเสียตราบใดที่คนผู้นั้นรู้ถึงความแข็งแกร่งด้านวรยุทธ์ของหรงจิ่นและเคยได้พบทั้งสองคนมาก่อน ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะมองว่าหรงจิ่นกับอวิ๋นอิ่นเป็นคนคนเดียวกัน เหตุผลที่ไม่เคยมีใครสงสัยมาก่อนก็เพราะความจริงที่ว่าวรยุทธ์การต่อสู้ของอวิ๋นอิ่นนั้นยอดเยี่ยมมาก ส่วนหรงจิ่นกลับไม่เคยฝึกฝนวรยุทธ์การต่อสู้ ซ้ำยังมีร่างกายอ่อนแอเป็นพื้นฐาน แต่เมื่อความเข้าใจนี้ถูกทำลายลงก็จะไม่เหลือความลับใดๆ อีก
“หากเป็นเช่นนี้ เดิมทีข้าก็ไม่ควรถามมาก แต่ว่า…มีหนึ่งเรื่องที่ข้าไม่ถามไม่ได้ หากข้าจำไม่ผิด ตอนนั้น…ที่พี่ใหญ่รัชทายาทเต้ากงสิ้นพระชนม์ น้องเก้าก็อยู่ที่เมืองเผิงด้วย!” นี่ถึงจะเป็นประเด็นสำคัญของทุกสิ่ง หากอวิ๋นอิ่นเป็นเพียงอวิ๋นอิ่น หากองค์ชายเก้าเป็นเพียงองค์ชายเก้า เช่นนั้นไม่ว่าหรงจิ่นจะปิดบังอะไรหรงเซวียนก็จะไม่ถาม แต่หากหรงจิ่นคืออวิ๋นอิ่น เช่นนั้นทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่เมืองเผิงในตอนนั้น เกิดจากความโลภของพวกเขา หรือเป็นเพราะแผนการของน้องเก้าผู้นี้กันแน่
มู่ชิงอีหลุบตาลงพลางถอนหายใจแผ่วเบา “แน่นอนว่าองค์ชายจำไม่ผิด”
หรงเซวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เช่นนั้น…ขอให้มหาเสนาบดีกู้บอกข้าด้วยเถิด การสิ้นพระชนม์ของรัชทายาทต้าวกงในตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่!” หรงหวงเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ความสมดุลของราชสำนักถูกทำลาย คนของฝ่ายจวงอ๋องและฝ่ายจื้ออ๋องโจมตีกันจนแยกไม่ออก ตวนอ๋องหรงเหยี่ยนอาศัยโอกาสนี้แทรกเข้ามา ครึ่งปีมานี้สถานการณ์ในเมืองหลวงขึ้นๆ ลงๆ เริ่มจากการเสียชีวิตของหรงหวงในตอนแรก และคนสุดท้ายที่ได้ประโยชน์กลับเป็นหรงจิ่น แม้ว่าฮ่องเต้องค์ก่อนจะมีพระราชโองการสืบทอดบัลลังก์ แต่หากบุตรชายของฮองเฮายังอยู่ ฮ่องเต้องค์ใหม่ก็ยากที่จะจัดการได้ หากน้องเก้าคำนวณเรื่องทั้งหมดนี้ตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อนแล้ว…หรงเซวียนก็อดรู้สึกสั่นสะท้านไม่ได้ นี่มันเรื่องอันใดกันแน่
“อัครมหาเสนาบดีกู้ ข้า…เพียงแค่อยากจะรู้ความจริงเท่านั้น”
“ในเมื่อพี่สองอยากรู้ เหตุใดไม่มาถามข้าโดยตรงเล่า” ด้านนอกประตูมีน้ำเสียงเรียบนิ่งของหรงจิ่นดังขึ้น หรงเซวียนตกใจก่อนจะสงบลงอย่างรวดเร็ว ลุกขึ้นเอ่ย “ถวายบังคมฝ่าบาท” ประตูใหญ่ห้องตำราเปิดอยู่ เขากับหนานกงอี้ต่างก็เป็นวรยุทธ์ แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็นว่าหรงจิ่นปรากฎตัวตั้งแต่เมื่อไร ความสามารถห่างชั้นกันขนาดนี้ หรงเซวียนจึงล้มเลิกความคิดที่จะต่อต้านโดยสิ้นเชิง ในห้องตำราแห่งนี้ ไม่ว่าหรงจิ่นต้องการจะทำอะไร พวกเขาก็จะไม่หยุดหรงจิ่น ในเมื่อเป็นเช่นนี้เหตุใดต้องเปลืองแรงโดยไร้ประโยชน์ด้วย