“ฝ่าบาทมาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” มู่ชิงอีกำลังจะลุกขึ้น แต่หรงจิ่นกลับมาอยู่ตรงหน้านาง ยกมือขึ้นแล้วกดนางนั่งลงบนเก้าอี้เหมือนเดิม “นั่งคุยกันก็ได้ พึ่งได้ยินมาว่าพี่สองมาจวนจื่อชิง ข้านึกขึ้นได้พอดีว่าเมื่อคืนดูเหมือนว่ามีเรื่องที่ลืมอธิบายกับพี่สอง ดังนั้นจึงตามมา จื่อชิงโทษที่ข้ามารบกวนหรือไม่”
มูชิงอีกลอกตา หรงจิ่นมานั่งเบียดอยู่ข้างนางอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่นิดเดียว ซ้ำยังวางมือบนหลังของมู่ชิงอีอย่างเปิดเผย ส่วนอีกมือหนึ่งก็โบกมืออย่างสบายๆ เอ่ย “มีอะไรก็นั่งลงพูดเถิด พี่สองเชิญนั่งลงก่อน”
หรงเซวียนยิ้มเจื่อนๆ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ยินหรงจิ่นเรียกเขาว่าพี่สองอย่างจริงจังแบบนี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาจะแบกรับคำว่าพี่สองไหวหรือไม่ หันไปสบตาหนานกงอี้ ทั้งคู่ต่างก็มีเรื่องให้คิดในหัวอยู่ชั่วขณะหนึ่งโดยไม่มีใครสังเกตเห็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างเห็นได้ชัดของหรงจิ่น
“พี่สองอยากจะถามอะไรอย่างนั้นหรือ” หรงจิ่นถาม
หรงเซวียนเงยหน้าสบตาเขา “พี่ใหญ่ตายได้อย่างไร เกี่ยวข้องอะไรกับฝ่าบาทกันแน่”
หรงจิ่นทำหน้าตาสงสัยเล็กน้อย “พี่สองสนใจด้วยหรือว่าพี่ใหญ่จะตายอย่างไร ทำไมข้าถึงมองไม่ออกว่าความสัมพันธ์ของพวกท่านดีขนาดนั้น”
หรงเซวียนส่ายหน้า “กระหม่อมเพียงแค่อยากรู้ความจริงเท่านั้น” หรงหวงตายแล้ว เขากับหรงจิ่นก็ไม่ได้มีความแค้นใหญ่หลวงอะไร อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าหรงหวงตายได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้หรงจิ่นก็ลากเขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย หรงจิ่นลูบคาง คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ “น่าจะ…มีส่วนเกี่ยวข้องนิดหน่อย”
หรงเซวียนส่ายหน้าเอ่ย “ตอนที่พี่ใหญ่เสียชีวิต ฝ่าบาทควรจะกลับไปที่เมืองหลวงแล้ว หรือว่า…ฝ่าบาทวางแผนไว้แล้วก่อนจะกลับไป ฝ่าบาทมั่นใจขนาดนั้นเลยหรือว่าจะไม่ผิดข้อผิดพลาด” หรงจิ่นพิงพนักเก้าอี้ ยิ้มเอ่ย “ในเมื่อพี่สองเดาถูกขนาดนี้แล้ว เหตุใดไม่เดาต่อไปเล่า”
หรงเซวียนหลับตาลง “แต่…หลังจากที่กระหม่อมรู้ว่าฝ่าบาทคือคุณชายอวิ๋นอิ่นก็สงสัยในเรื่องหนึ่งเป็นอย่างมากมาตลอด”
หรงจิ่นเลิกคิ้ว ส่งสัญญาณให้เขาพูดต่อ หรงเซวียนจ้องไปที่มู่ชิงอีที่อยู่ข้างๆ เขา กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “อวิ๋นอิ่นกล่าวว่า…มู่ชิงอี องค์หญิงหมิงเจ๋อแห่งแคว้นหวาเป็นคู่หมั้นของเขา เช่นนั้น…ตอนนี้องค์หญิงหมิงเจ๋ออยู่ที่ไหน หากดูจากความสัมพันธ์ เหมือนว่าองค์หญิงหมิงเจ๋อจะเป็นลูกพี่ลูกน้องหญิงของอัครมหาเสนาบดีกู้”
หรงจิ่นเพียงแต่ยิ้มไม่ได้กล่าวอะไร หรงเซวียนพูดต่อไปว่า “ครั้งหนึ่งเคยได้ยินน้องสี่พูดถึงตระกูลกู้แห่งแคว้นหวา ว่ากันว่าคุณชายสองตระกูลกู้ กู้หลิวอวิ๋น...เสียชีวิตแล้วก่อนที่เขาจะอายุแปดขวบ”
คำพูดเหล่านี้ดูเหมือนจะสับสนไม่มีที่มาที่ไป แต่คนที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดล้วนเป็นคนฉลาด หนานกงอี้ที่นั่งอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ มาตลอดพลันมีแสงสว่างผุดขึ้นในหัวของเขา สายตาจับจ้องไปที่มือของหรงจิ่นซึ่งกำลังเล่นผมของมู่ชิงอีอยู่ ใช้เวลานานกว่าจะได้สติกลับมา เขาเบิกตากว้าง จ้องไปที่มู่ชิงอีเอ่ย “อัครมหาเสนาบดีกู้! ท่าน…ท่านคือ…” หลังจากลังเลอยู่นาน แต่หนานกงอี้กลับพูดออกมาไม่ได้ เขารู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองคาดเดานั้นไม่ผิด แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าตัวเองต้องบ้าไปแล้ว หูมีปัญหาจนได้ยินอะไรผิดไปจึงได้มีความคิดที่ไร้สาระเช่นนี้
หรงเซวียนถอนหายใจ มองมู่ชิงอีด้วยสีหน้าซับซ้อน เอ่ยแก้สถานการณ์ “อัครมหาเสนาบดีกู้…ก็คือองค์หญิงหมิงเจ๋อกระมัง ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้มีคนอย่างกู้หลิวอวิ๋นอยู่เลย” คุณชายสองตระกูลกู้เสียชีวิตไปนานแล้ว แม้ว่าจะเป็นตระกูลย่อยของตระกูลกู้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตั้งชื่อเดียวกันกับเด็กที่เสียชีวิตไปตั้งแต่ยังเล็ก ตั้งแต่ต้นจนจบ จากแคว้นหวาถึงแคว้นเย่ว์ มือที่ทำให้ทุกอย่างกลับตาลปัตรล้วนเป็นฝีมือของสตรีเพียงคนเดียว
“ท่านพี่! จะเป็นไปได้อย่างไร! เขาเป็น…” หนานกงอี้กล่าวด้วยความสิ้นหวังเล็กน้อย ผู้ที่มีความสามารถและมีไหวพริบที่หาได้ยากเช่นนี้จะเป็นสตรีได้อย่างไร ทันใดนั้นหนานกงอี้ก็นึกถึงน้ำเสียงที่ไม่พอใจของเขาเมื่อเอ่ยถึงสตรีผู้หนึ่งและท่าทางแปลกๆ ของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนั้น
หรงจิ่นหัวเราะเบาๆ กล่าวชมว่า “สมแล้วที่เป็นพี่สอง ไม่ธรรมดาจริงๆ เพียงแค่การคาดเดาเล็กน้อยก็กล้าที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมาต่อหน้าข้า” หากเป็นผู้อื่น เกรงว่าต่อให้มีหลักฐานอยู่ในมือก็อดไม่ได้ที่จะต้องการยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่อให้ยืนยันแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหลอกตัวเองว่าเป็นไปไม่ได้
หรงเซวียนยิ้มแหย “ไม่ว่าจะหลอกตัวเองอย่างไรก็เปลี่ยนความจริงไม่ได้” ความจริงก็คือขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารคนสำคัญทั้งราชสำนัก แล้วยังมีบรรดาองค์ชายและลูกหลานในเชื้อพระวงศ์อย่างพวกเขาถูกหลอกปั่นหัวโดยสตรีคนเดียวกันโดยไม่รู้ตัว ต้องยอมรับว่าสตรีเช่นนี้ไม่มีใครเทียบได้ในใต้หล้า หรงจิ่นสามารถดึงสตรีผู้นี้มาไว้ในมืออย่างเงียบๆ ซ้ำยังซ่อนไว้โดยไม่มีใครรู้เลย
มู่ชิงอีคลี่ยิ้ม “ขายหน้าจวงอ๋องแล้ว”
น้ำเสียงสดใสไพเราะ ต่างจากบุรุษตรงที่ว่าน้ำเสียงของนางนุ่มนวลและกังวานเหมือนจี้หยกกระทบกัน หนานกงอี้อดจับหน้าผากไม่ได้ ส่งน้ำเสียงโอดครวญแผ่วเบา นี่มันโลกแบบไหนกัน หญิงสาวที่อายุสิบกว่าปีขึ้นนั่งตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีแคว้นเย่ว์ หากบรรดาขุนนางเก่าแก่ในราชสำนักรู้เรื่องนี้ เกรงว่าความวุ่นวายจะเลวร้ายไม่แพ้กับตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนรับพระสนมเหมยในตอนนั้น ไม่สิจะต้องรุนแรงกว่าแน่นอน อย่างไรเสียการที่ฮ่องเต้องค์ก่อนรับพระสนมเหมย ก็เป็นเพียงแค่เรื่องที่ไม่ควรจะเกิด ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย แต่การที่สตรีเป็นอัครมหาเสนาบดี ในสายตาขุนนางหัวโบราณเหล่านั้นเกรงว่าจะเห็นว่าเป็นการเหยียบหน้าบรรดาผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนในแคว้นเย่ว์
มู่ชิงอีเหลือบมองหนานกงอี้ด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย ทันใดนั้นหนานกงอี้รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถมองหน้าบุรุษงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวงได้โดยตรง ก่อนจะหันหน้าหนีอย่างพ่ายแพ้
หรงจิ่นแค่นเสียงอย่างไม่พอใจ “พี่สองเพียงแค่อยากจะถามว่าข้าใช่อวิ๋นอิ่นหรือไม่ และชิงชิงคือองค์หญิงหมิงเจ๋อหรือไม่?”
หรงเซวียนส่ายหน้าเอ่ย “ไม่ใช่ กระหม่อมเพียงแค่ต้องการยืนยันสิ่งที่คาดเดาเองก่อน ที่กระหม่อมอยากจะถามก็คือ…ตั้งแต่การตายของพี่ใหญ่ ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทวางแผนไว้ใช่หรือไม่”
“ก็เพียงแค่…ครึ่งต่อครึ่ง” หรงจิ่นก็ไม่ได้คิดจะปิดบัง เลิกคิ้วเอ่ย “พี่สองคิดว่าข้าเป็นเทพเจ้าอย่างนั้นหรือ ใช่แล้ว…การตายของพี่ใหญ่เป็นความตั้งใจของข้าจริงๆ แล้วอย่างไรเล่า” หรงเซวียนสบตาเขาอยู่นาน จากนั้นก็ก้มหน้าลงอย่างกะทันหัน เอ่ยเสียงเรียบว่า “ชนะเป็นราชา แพ้เป็นโจร ก็ไม่อย่างไรหรอก” ต่อให้หรงจิ่นจะฆ่าหรงหวงแล้วโยนความผิดให้เขา แล้วอย่างไรล่ะ เวลาผ่านไปนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ตอนนั้นหรงจิ่นยอมรับด้วยตัวเอง เขาก็หาหลักฐานไม่ได้อยู่ดี
หรงจิ่นเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “การตายของพี่ใหญ่จะโทษข้าทั้งหมดก็ไม่ได้ หากพวกท่านไม่ไปแย่งกล่องนั้น สุดท้ายคนที่ตายจะเป็นใครก็ไม่อาจรู้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น…แผนการหญ้าเซียนเก้าเมฆา ไม่ใช่ฝีมือข้าเป็นคนวางแผน เพียงแค่ไหลไปตามน้ำก็เท่านั้น ใครใช้ให้ชิงชิงมีมิตรภาพที่ดีกับมั่วเวิ่นฉิงกันล่ะ เพียงแค่ช่วยเขากำจัดการพัวพันของคนในยุทธภพเหล่านั้นก็เท่านั้น” ดังนั้นข้าไม่ได้บังคับให้พวกเจ้าไปแย่งกล่องเสียหน่อย
หรงเซวียนเพียงแต่ยิ้มอย่างขมขื่น เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเขาจะยังพูดอะไรได้อีก นั่งหลังตรงพลางมองหรงจิ่นด้วยสีหน้าจิงจังแล้วกล่าวว่า “คำถามสุดท้าย เรื่องที่กระหม่อมถูกวางยาเกี่ยวข้องกับฝ่าบาทหรือไม่”
หรงจิ่นมองเขากลับอย่างสงบ เอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่เกี่ยว” เรื่องของหรงเซวียนไม่เกี่ยวข้องกับเขาจริงๆ
“เอาล่ะ กระหม่อมไม่มีคำถามแล้ว” หรงเซวียนพยักหน้า ยืนขึ้นพลางมองหรงจิ่นอยู่นาน ทันใดนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก ยกชายเสื้อของตัวเองขึ้นแล้วคุกเข่าลงกับพื้น หรงเซวียนคำนับหรงจิ่นด้วยความเคารพ กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “กระหม่อม หรงเซวียน ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี!”