บทที่ 66 ปู่ชอบสาวน้อยในรายการของหลานนะ
บทที่ 66 ปู่ชอบสาวน้อยในรายการของหลานนะ
“อีกอย่างพี่สาวของฉันสวยกว่าคุณเป็นหมื่นเท่า ในแง่ของพรสวรรค์ ขอโทษนะ คุณไม่มีพรสวรรค์อะไรเลย”
“เรื่องที่จะขอบคุณก็คงมีอยู่เรื่องเดียวคือคุณเอาผู้ชายแย่ ๆ ออกไปจากชีวิตพี่สาวฉัน นอกจากนั้นฉันก็คิดเรื่องอื่นไม่ออกแล้วจริง ๆ”
“เพราะอย่างนั้นรีบกลับไปซะ ยิ่งคุณอยู่นานเท่าไหร่มีแต่จะทำให้พี่สาวฉันแปดเปื้อน”
เหอมี่มี่โกรธจนหน้าแดง “นี่เธอตาบอดหรือไง?”
เด็กคนนี้พูดได้อย่างไรว่าเธอไม่ดีเท่าหมูอ้วนตัวนั้น?
แต่ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร เฉินซีซีก็พยายามลากเธอออกจากประตู
แม้ว่าเธอจะขัดขืนอย่างถึงที่สุด แต่ก็ไร้ประโยชน์
เด็กคนนี้แรงเยอะขนาดนี้ได้ยังไง!
บ้าอะไรเนี่ย!
เฉินซีซีโยนเหอมี่มี่ออกไปอย่างรังเกียจ “เดินดี ๆ ล่ะ ฉันไม่ไปส่งนะ ลาก่อน”
เธอกระแทกประตูใส่หน้าหญิงสาว
เมื่อเฉินซีซีกลับไปที่ห้อง เธอเห็นว่าซูโย่วอี๋ที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดยืนอยู่ในห้องนั่งเล่น
กระต่ายน้อยคิดว่าพี่สาวของเธอกำลังเศร้า
เธอเดินเข้าไปหาอย่างเงียบ ๆ และถามว่า “พี่สาว พี่โอเคไหม?”
“ฉันไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง”
ในตอนนี้ ซูโย่วอี๋ดูสงบผิดปกติ
ถ้าไม่ใช่เพราะเหอมี่มี่มา เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเจอเฉินเฉินครั้งสุดท้ายได้เมื่อไหร่
เธอไม่ได้ตั้งใจจะลืมหรือหลีกเลี่ยงที่จะเจอเขา
แต่ในตอนนี้ เธอยอมรับการจากไปของผู้ชายคนนั้นแล้วจริง ๆ
“ถ้าเธออยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันบอกเธอได้นะ”
เฉินซีซีกำมือแน่นแล้วพูดว่า “ฉันแค่เป็นห่วงพี่ ฉันไม่อยากฟังเรื่องราวของคนเลว ๆ พวกนั้น แต่พี่สาว พี่เคยคิดไหมว่าถ้าพี่เคยหย่าร้าง วันหนึ่งมันอาจจะมีผลกระทบต่ออาชีพของพี่ได้นะ”
หลายบริษัทห้ามคนของพวกเขามีความสัมพันธ์เชิงชู้สาว เพราะไม่ต้องการให้อาชีพของพวกเขาได้รับผลกระทบ
จากการจัดอันดับความนิยมในปัจจุบัน เกือบจะแน่นอนว่าพี่สาวของเธอต้องได้เป็นศิลปินของเทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์แน่
แต่พี่สาวกลับเคยแต่งงานและหย่าร้าง จะเป็นยังไงถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดเผย
แต่ซูโย่วอี๋กลับไม่ได้คิดมาก “อืม เป็นแค่เด็กอายุ 17 ปี แต่กังวลมากขนาดนี้ไม่กลัวแก่เร็วเหรอ เอาเถอะ ถึงจะถูกเปิดโปงก็ไม่เป็นไร ฉันมีแผนอยู่แล้วน่า”
ว่าจบ เธอก็ไปที่ครัวเพื่อทำอาหาร
เมื่อมองร่างที่กำลังวุ่นอยู่ในครัวของพี่สาว เฉินซีซีก็รู้สึกเป็นห่วง
ด้านสุนัขจิ้งจอกชำเลืองมองกระต่ายน้อยที่อยู่ไม่ไกลและพูดว่า [ซู่จู่ ดูเหมือนกระต่ายน้อยจะเป็นห่วงคุณมากนะ]
ซูโย่วอี๋วางชามลงแล้วพูดว่า “ฉันเคยผ่านการแต่งงานและการหย่าร้าง มันคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง จะทำยังไงฉันก็ลบมันออกไปจากชีวิตไม่ได้ สู้ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาจะดีกว่า เมื่อถึงตอนนั้น ฉันก็ทำได้แต่ยอมรับผลที่ตามมา”
ระบบตรวจพบว่าซู่จู่พูดคำเหล่านี้ออกมาอย่างจริงใจ และเธอทำใจยอมรับมันได้
เมื่อรู้อย่างนั้น สุนัขจิ้งจอกจึงลอยไปด้านข้างและเฝ้าซู่จู่ของมันอยู่พักหนึ่ง
[ลืมมันไปซะ ฉันจะบอกความลับให้คุณฟัง]
เธอเลิกคิ้วถาม “ความลับอะไร”
[มีสถานที่ที่เรียกว่าโรงรับจำนำแบบไร้กังวลในระบบ]
โรงจำนำ?
ที่เอาไว้ซื้อขายสิ่งของน่ะเหรอ?
สุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์พยักหน้า [ใช่ มันเป็นแค่โรงรับจำนำที่สามารถแลกเปลี่ยนได้ทุกอย่าง บางทีคุณอาจจะลองลบประสบการณ์ชีวิตของคุณดูก็ได้]
ซูโย่วอี๋ไม่เข้าใจ หมายความว่ามันสามารถทำให้เธอกับเฉินเฉินเป็นคนที่ไม่เคยรู้จักกันได้น่ะเหรอ?
[เฉพาะซู่จู่ที่ผูกมัดกับระบบเท่านั้นที่สามารถเข้าโรงรับจำนำได้ ฉันไม่รู้ว่าราคาจะเท่าไหร่ ฉันแค่อยากให้คุณลอง]
[เงื่อนไขการแลกเปลี่ยนนั้นเข้มงวดมาก โดยทั่วไปแล้ว คุณไม่ควรเข้าไปจนกว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังจริง ๆ]
เธอพยักหน้าอย่างครุ่นคิด
สำหรับเธอ การหย่าร้างไม่ใช่สถานการณ์ที่สิ้นหวังสักหน่อย
“เจ้าของโรงรับจำนำนี้เป็นใคร มีในระบบตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เจ้าจิ้งจอกตกตะลึงเมื่อได้ยินคำถามนั้น โรงรับจำนำนี้มีมาตั้งแต่ระบบถูกสร้างขึ้นมา มันไม่รู้จริง ๆ ว่าใครเป็นเจ้าของ
……
ในคฤหาสน์ของตระกูลลู่
ลู่เฉินขับรถเข้าบ้านไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
ทุกครั้งที่คุณปู่มาหาเขา ก็มักมีเพียงสิ่งเดียวที่จะถาม คือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฮันเอินจี
เมื่อเขาเดินเข้าไปหาก็เห็นผู้เฒ่าลู่กำลังตัดแต่งดอกไม้และต้นไม้อยู่ภายในสวน
“คุณปู่”
ผู้เฒ่าลู่ได้ยินเสียงเรียกก็มองกลับมาที่แล้วพูดว่า “อะไรกัน? ทำไมหลานดูไม่มีความสุขทุกครั้งที่ปู่ขอให้หลานกลับมาเลยล่ะ?”
ดอกไวโอเล็ตกำลังบานสะพรั่ง
ผู้เฒ่าลู่ตัดกิ่งที่ไม่จำเป็นออกอย่างระมัดระวัง พลางโบกมือให้คนรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างเข้ามา
เขาวางกรรไกรบนถาดและเช็ดมือด้วยผ้าขนหนู
“รดน้ำมันหน่อยนะ”
จากนั้นเธอก็พาเขาเข้าไปข้างใน
“ทำไมช่วงนี้หลานพูดน้อยจัง? หรือจะเหนื่อยจากการถ่ายรายการวาไรตี้?”
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ลู่เฉินก็ตัดสินใจเล่าให้ปู่ของเขาฟัง มิฉะนั้นจะเป็นการลำบากที่จะต้องคอยตอบคำถามเกี่ยวกับความคืบหน้าทุก ๆ 2-3 วัน
ผู้เฒ่าลู่นำหน้าเขาไปและพูดว่า “ปู่จะไม่ถามหลานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของหลานกับฮันเอินจี ปู่ดูการถ่ายทอดสดทุกวัน จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหลานไม่ชอบเธอ?”
แล้วทำไมคุณปู่ถึงขอให้เขากลับมา?
“แต่ปู่ชอบสาวน้อยในรายการของหลานนะ”
“ใครเหรอครับ?” เขาถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“สาวอ้วนคนนั้นไง เหมือนจะชื่อ… โย่วอี๋”
ลู่เฉินไม่คาดคิดว่าปู่ของเขาจะเป็นผู้ไล่ล่าดวงดาว*[1]ทั้งทีอายุปูนนี้แล้ว
แต่เมื่อได้ยินอย่างนั้น ชายหนุ่มก็มีความสุขแบบไม่ทราบสาเหตุ
ผู้เฒ่าลู่เป็นแฟนตัวยงของหลินลี่ จึงเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงชอบซูโย่วอี๋
“แต่มันยังไม่แน่นอน ตามกฎแล้ว เฉพาะห้าอันดับแรกเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่เทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์ได้”
หนวดเคราของผู้เฒ่าลู่ปลิวไสวพร้อมพูดว่า “หลานกำลังพูดอะไร? การมีเธออยู่ในบริษัทไม่ใช่เรื่องดีเหรอ? หลานควรดึงตัวเธอไว้ด้วยซ้ำ ไม่กลัวว่าเธอจะถูกบริษัทอื่นแย่งไปรึไง?”
นี่คุณปู่ห่วงเรื่องซูโย่วอี๋เกินไปรึเปล่า?
“คุณปู่เป็นแฟนคลับของเธอด้วยเหรอครับ?”
ขณะที่พวกเขากำลังคุยกัน ก็มีสาวใช้ก็เดินเข้ามาและพูดว่า “นายท่าน เที่ยงนี้มีของว่างเป็นส้มโอค่ะ นายท่านอยากให้ยกมาตอนนี้เลยไหมคะ”
เฒ่าลู่พยักหน้า “ได้สิ เอามาเลย”
ลู่เฉิน “…???”
ชายหนุ่มคิดว่าปู่ของเขาชอบซูโย่วอี๋ และต้องการเซ็นสัญญากับเธอเพราะเขาคิดว่ามูลค่าทางการตลาดของเธอมันคุ้มค่า แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าปู่ของเขาจะชอบซูโย่วอี๋เหมือนเป็นแฟนคลับของไอดอล?
นี่มันเกินคาดไปเล็กน้อย
“ลู่เฉิน แจ้งแต่ละบริษัทของหลานให้เตรียมส้มโอไปแจกในการประชุมประจำปี เพราะปู่ได้เลือกส้มโอจำนวนมากมาจากประเทศต่าง ๆ มีส้มโอทุกสายพันธุ์ อ้อ แล้วหลานก็ช่วยปู่เอาไปให้โย่วโย่วด้วยได้ไหม?”
ลู่เฉิน “…???”
“คุณปู่ ผมคงไม่สะดวก” ลู่เฉินพูดอย่างช่วยไม่ได้
ดวงตาของ ผู้เฒ่าลู่เบิกกว้าง “อะไรนะ? หลานยังเป็น CEO อยู่หรือเปล่า ทำไมถึงพูดแบบนั้น เธอโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า น่าสงสารมากเลยนะ จากนี้ไป หลานต้องปฏิบัติต่อเธอเหมือนเธอเป็นน้องสาว ต้องคอยดูแลเธอให้ดีนะ”
ลู่เฉิน “…???”
เกิดอะไรขึ้นกับคุณปู่?
ตลอดทั้งวัน ผู้เฒ่าลู่เอาแต่จู้จี้
“หลานน่าจะเข้ากันได้ดีกับโย่วโย่ว”
“อย่าทำหน้าแบบนั้น”
“พาเธอมากินอาหารเย็นที่บ้านเราให้ได้นะ”
“หลานอย่าลืมทำตัวกับเธอดี ๆ ตามที่ได้สัญญากันไว้นะ”
“หลานไม่ชอบคนอ้วนเหรอ?”
“คุณปู่ นี่คุณปู่จะไม่บังคับผมแต่งงานแล้วเหรอ?” จู่ ๆ คำถามนี้ก็ผุดขึ้นในหัวของเขา ลู่เฉินจึงถามออกไป
ผู้เฒ่าลู่ชะงักไปอยู่ครู่หนึ่ง “อะไรนะ? หลานอยากแต่งงานกับโย่วโย่วเหรอ”
หลังจากพูดอย่างนั้น ผู้เฒ่าก็คิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดกับตัวเองว่า “มันก็เป็นไปได้ ตราบใดที่พวกหลานชอบพอกัน”
ลู่เฉินไม่ทันได้ฟังคำตอบก็เดินออกไป
ส่วนผู้เฒ่าลู่ก็ขอให้คนรับใช้ขนส้มโอไปที่รถของหลานชาย
“อย่าลืมเอาไปให้โย่วโย่วนะ”