บทที่ 104 คนขี้เหนียว
บทที่ 104 คนขี้เหนียว
เธอต้องการจะแอบดูลู่เฉิน แต่ไม่คาดคิดว่าจะถูกจับได้
ดวงตาทั้งสี่ประสานกัน หญิงสาวจึงพูดด้วยรอยยิ้มแหย ๆ ว่า “ร้อนจัง”
พอได้ยินอย่างนั้น ดวงตาสีเข้มของชายหนุ่มก็กวาดไปทั่วริมฝีปากเซ็กซี่สีแดงสดและกระดูกไหปลาร้าของเธอ และกลืนน้ำลายลงคออย่างไม่รู้ตัว
ติ๊ง!
[ขอแสดงความยินดีซู่จู่: คุณดึงดูดความสนใจของลู่เฉินได้สำเร็จ ขอให้พยายามต่อไป]
ฮะ?
แค่ครั้งเดียวเท่านั้นเหรอ?
มันเกิดขึ้นเร็วมาก
ซูโย่วอี๋นอนลงและหลับตาเพื่อรับแสงแดดสักพัก แล้วเธอก็รู้สึกว่าดวงอาทิตย์ยังส่องแสงอยู่เล็กน้อย เธอจึงปิดใบหน้าด้วยหมวกปีกกว้าง
สองนาทีต่อมา
ติ๊ง!
[ขอแสดงความยินดีซู่จู่: คุณดึงดูดความสนใจของลู่เฉินได้สำเร็จ ขอให้พยายามต่อไป]
ฮะ!
‘เขากำลังมองมาที่ฉันเหรอ?’
ซูโย่วอี๋รู้สึกแปลก ๆ แต่หลังจากใช้ความคิดอยู่พักหนึ่ง เธอก็รู้ว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ นอกจากเขาและเธออีก บางทีเขาอาจแค่มองเธออย่างไม่ได้ตั้งใจก็ได้
ห้านาทีต่อมา เสียงเตือนของระบบก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ติ๊ง!
[ขอแสดงความยินดีซู่จู่: คุณดึงดูดความสนใจของลู่เฉินได้สำเร็จถึงสามครั้ง ผ่านการทดสอบ]
ตอนนี้เธอไม่สามารถหาเหตุผลมาแก้ตัวแทนเขาได้อีกแล้วได้ ‘นี่ลู่เฉินเป็นคนหื่นกามเหรอ?’ เธอสงสัย?
‘เจ้าจิ้งจอกเน่า เขายังมองฉันอยู่หรือเปล่า?’
[ใช่]
‘เขามองฉันตรงไหน’
สุนัขจิ้งจอกตรวจสอบอย่างละเอียด ใช้วิธีไฮเทคโนโลยีเพื่อฉายแสงไปที่ดวงตาของเขา ในที่สุดมันก็ตกลงบนนิ้วเท้าของเธอ
อะไรนะ???
เธออดไม่ได้ที่จะถอดหมวกกันแดดออกแล้วหันไปมองเขา
ลู่เฉินไม่ได้ลุกลี้ลุกลนแต่อย่างใด และทำราวกับว่าตอนนี้เขาไม่ได้มองมาที่เธอ เขาถามอย่างราบเรียบว่า “คุณตื่นแล้วเหรอ?”
ลู่เฉินทำตัวเหมือนสุภาพบุรุษ
ซูโย่วอี๋ชันตัวลุกขึ้นและพูดว่า “ใช่”
เธอมองไปที่นิ้วเท้าของตัวเอง และพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เธอไม่ได้ทาเล็บเท้า มันก็เหมือนกับคนอื่นที่เล็บเป็นสีชมพูและดูบอบบาง และนิ้วหัวแม่เท้าของเธอมีลักษณะกลมมน ไม่มีอะไรพิเศษ
หรือว่าเขาเป็นคนประหลาด?
เธอขยับร่างกายและต้องการจะลุกไปจากตรงนี้
“คุณยังไม่ได้ให้สัญญากับผม” จู่ ๆ เขาก็พูดขึ้น
ซูโย่วอี๋นึกได้ว่าเธอลืมส่งคืนเอกสารหลังจากเซ็นเสร็จแล้ว
แต่เมื่อเธอคุยเกี่ยวกับการเซ็นสัญญากับซูหยินในวันนั้น เธอก็รู้ถึงปัญหา
“ประธานลู่คะ ถ้าศิลปินเซ็นสัญญาก่อนเป็นพรีเซนเตอร์ของน้ำหอม เงินแปดล้านดอลลาร์จะถูกแบ่งให้บริษัทไหมคะ?”
พอได้ยินเธอพูดแบบนั้น เขาจึงถามกลับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “แล้วถ้าแบ่งล่ะ”
“งั้นฉันก็จะยกเลิก ฉันยังไม่พร้อมจะเซ็นสัญญาเป็นศิลปินในสังกัดคุณ”
ถ้าเป็นอย่างนี้ สัญญาการถ่ายโฆษณาน้ำหอมที่เธอได้ทำสัญญาไปแล้วนั้น เธอทำตอนที่ยังไม่ได้เป็นศิลปินของบริษัท เพราะอย่างนั้นรายได้ทั้งหมดมันต้องเป็นของเธอ!
ซูโย่วอี๋อดไม่ได้ที่จะชื่นชมตัวเอง!
ลู่เฉินมองไปที่หญิงสาวพร้อมกับคิดในใจและคิดว่า ‘ทำไมเธอถึงเป็นคนขี้เหนียวได้ขนาดนี้นะ?’
“สัญญานั่นควรจะเป็นโมฆะ หลังจากประเมินแล้ว มูลค่าของคุณเกินความคาดหมายของเรา และเทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์จะเซ็นสัญญาฉบับใหม่กับคุณ…”
“ด้วยเงื่อนไขที่ดีขึ้น”
ซูโย่วอี๋ตกตะลึง นี่บริษัทจะเพิ่มผลประโยชน์ให้เธองั้นเหรอ?
เธอยิ้มอย่างมีความสุข “ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณค่ะ”
จากนั้นลู่เฉินยืนขึ้นและพูดว่า “ไปตรงนั้นกันเถอะ”
ทั้งสองเดินไปบริเวณที่ฝูงชนหนาแน่น
ดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าและส่องแสงลงทะเลอันกว้างใหญ่ พร้อมกับปรากฏคลื่นระยิบระยับสะท้อนแสงเปล่งประกาย
ร่างกายของซูโย่วอี๋ถูกสาดส่องด้วยชั้นแสงสีเหลืองนั้น ซึ่งทำให้เธอดูอ่อนโยนและสง่างามมาก
ลู่เฉินมองไปที่หญิงสาวตรงหน้า ผมของเธอพาดบ่าและมีไฝเล็ก ๆ ที่ติ่งหู ขนตาของเธอเรียวยาวและหนา ผิวก็ขาวราวกับหิมะ
ภาพนี้ทำให้หัวใจของเขาอ่อนยวบ
ความสวยงามที่ทำให้ผู้คนโหยหา ซึ่งเขาเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น…
หัวหน้าผู้กำกับที่นั่งอยู่บนชายหาด จ้องไปที่กล้องและสบถออกมาอย่างหัวเสีย เขาต้องดูกล้องในขณะที่คนอื่นกำลังถ่ายรายการ เขาต้องดูกล้องในขณะที่คนอื่นนอนหลับ เขายังคงดูกล้องในขณะที่คนอื่นกำลังฉลอง!
ทันใดนั้นคนทั้งสองก็เดินผ่านกล้อง
ชายหญิงที่มีความสูงเหมาะสมกัน พวกเขาสองคนดูเหมือนหลุดออกมาจากภาพวาด
เป็นภาพที่สวยอะไรอย่างนี้!
จ้าวเว่ยเฉิงละสายตาจากภาพตรงหน้าไม่ได้แม้แต่น้อย “โอ้แม่เจ้า ช่างเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบที่สรวงสวรรค์ประทานมา”
“หืม คุณกำลังพูดถึงใคร?”
ผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ สังเกตเห็นคนทั้งสองเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ ท่ามกลางแสงจากพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน
“พวกเขาเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบ…”
“ให้ตายเถอะ! ทำไมชุดว่ายน้ำลายดอกไม้บนตัวเธอถึงสวยนัก ตอนฉันเห็นมันครั้งแรกทำไมมันดูน่าเกลียดมาก”
“พี่สาว มันไม่ได้เป็นเพราะชุดว่ายน้ำ แต่เป็นเพราะคน! ตื่นได้แล้ว”
“ใครจะคิดว่าเมื่อเดือนก่อน เธอยังอ้วนอยู่เลย”
“ยังจำได้ไหมว่าเมื่อก่อนเธอหน้าตาเป็นอย่างไร ฉันลืมไปแล้ว”
“ดูเธอสิ นี่คือผลจากการออกกำลังกายงั้นเหรอ? เอาล่ะ ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะเริ่มออกกำลังกายตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป”
“ถึงฉันจะผอมก็ไม่สวยเท่าเธอหรอก”
ด้านฮันเอินจีที่กำลังทำอาหารในโซนย่างบาร์บิคิว เมื่อเธอเห็นว่าซูโย่วอี๋และลู่เฉินเดินมาด้วยกัน ดวงตาของเธอก็กลายเป็นเย็นชา
แม้แต่ตัวเธอเองยังไม่สามารถเข้าหาเขาได้ แล้วซูโย่วอี๋อยู่กับลู่เฉินได้ยังไง
“พี่สาว มันไหม้แล้ว”
“อะ มือฉัน โอ๊ย เจ็บมาก ฉันเผลอไปจับเตาย่างบาร์บิคิว” หญิงสาวที่พูดก็ตะลึงจนลืมมองไปข้างหน้า
“เธอทำให้ฉันเจ็บเพราะดูผู้ชายหล่อกับสาวสวยงั้นเหรอ? เชื่อเลยจริง ๆ”
ฮันเอินจีเหลือบมองคนรอบตัว จากนั้นเธอจึงเดินไปล้างมือแล้วเดินไปหาทั้งสอง
“ประธานลู่ ซูโย่วอี๋มากินด้วยกันไหม แค่ย่างมันก็รสชาติดีแล้ว”
เขาชำเลืองมองฮันเอินจีและขอความเห็นจากซูโย่วอี๋
“ไม่ ขอบคุณ ฉันยังไม่หิว”
ซูโย่วอี๋ปฏิเสธและจากไป เมื่อเธอเห็นอวี๋ชิงจ้าว เธอก็ไปนั่งกับหญิงสาว
ทันทีที่พูดจบ เพื่อนร่วมทีมของซูโย่วอี๋ก็มาล้อมรอบทันที
“ลีดเดอร์ คุณหายไปไหนมา เราหาคุณไม่เจอเลย”
“หาโอกาสผ่อนคลายอย่างนี้ไม่ได้ง่าย ๆ นะ ไปกินกับเราไหม?”
“ได้ ๆ” ซูโย่วอี๋พูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
พอเห็นอย่างนั้น ลู่เฉินก็พยักหน้าให้เธอแล้วจากไป
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว
ไฟทุกชนิดที่เปิดอยู่ส่องสว่าง พวกเขาต่างกินอาหารเย็นใต้แสงเทียนด้วยกัน
นอกจากบาร์บิคิวที่ผู้เข้าแข่งขันทำเองแล้ว ทีมงานของรายการยังจัดพ่อครัวเพื่อปรุงอาหารจานหลักมากมาย
เมื่อซูโย่วอี๋กำลังกินอาหารกับสมาชิกในทีม จงลี่เดินมาหาเธอแล้วถามว่า “โย่วอี๋ คุณคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ฉันบอกก่อนหน้านี้แล้วหรือยัง?”
จนกระทั่งตอนนั้น ซูโย่วอี๋ก็นึกถึงสิ่งที่จงลี่พูดเกี่ยวกับจดหมายรับรองของฮิลเบิร์ตได้ เธอลืมไปหมดแล้ว!
เธอพูดอย่างเขินอาย “ฉันขอโทษ”
เธอไม่รู้จะพูดยังไงว่าเธอลืมมันไปแล้ว
จงลี่กลับคิดว่าเธอไม่ต้องการไป แต่ก็ไม่ง่ายนักที่จะพูดปฏิเสธ “ไม่เป็นไร ถ้าคุณไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปหรอก มันเป็นสถานที่แห่งโอกาสแต่ก็ยากเย็นแสนเข็ญ ถึงมันจะเป็นสวรรค์สำหรับคนอื่น ๆ แต่ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องชอบ ทำในสิ่งที่คุณชอบเถอะ”
“อย่าอายเลย ที่ฉันบอกก็เพราะอยากให้คุณมีทางเลือกอีกทางหนึ่ง ไม่อยากให้มันเป็นภาระ”
ซูโย่วอี๋รู้ว่าจงลี่กำลังเข้าใจเธอผิด แต่คงจะดีที่สุดถ้าเธอไม่อธิบายในตอนนี้
หลังจากจงลี่จากไป อวี๋ชิงจ้าวก็ถามอย่างเป็นกันเองว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
ซูโย่วอี๋จึงบอกเธอเกี่ยวกับจดหมายรับรองฮิลเบิร์ต
เช่นเดียวกับซูโย่วอี๋ พวกเธอไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยแม้แต่น้อย “มันอยู่ต่างประเทศใช่ไหม?”
ฟังจากชื่อแล้วน่าจะเป็นแบบนั้น
ส่วนอวี๋ชิงจ้าวที่ตอนนี้ตะลึงงัน
เธอจับมือซูโย่วอี๋แล้วพูดว่า “เธอต้องไป ฮิลเบิร์ตเป็นสถานที่รวบรวมอัจฉริยะทางดนตรีไว้ หลายคนไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนในชีวิต ในเมื่อเธอมีโอกาสก็อย่ายอมแพ้”
มันมีชื่อเสียงขนาดนั้นเลยเหรอ?
ก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไรอีก เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “เธอกำลังจะไปไหน?”