บทที่ 259 กลับไปเป็นเหมือนเดิม
บทที่ 259 กลับไปเป็นเหมือนเดิม
ลู่เฉินเอื้อมมือไปแตะที่ปลายจมูกของเธอ “ความงามเป็นบาปจริง ๆ ตอนแรกผมกะจะพาคุณไปที่ ๆ หนึ่งสักหน่อย”
เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ล่วงเลยไปถึงสามทุ่มแล้ว
ซูโย่วอี๋เปิดตาสีอัลมอนด์ของเธอขึ้นเล็กน้อยด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “ไปไหนคะ?”
“ไม่ทันแล้วล่ะ พรุ่งนี้ค่อยพาคุณไปแล้วกัน”
ซูโย่วอี๋ขี้เกียจขยับไปไหน “ไม่ได้บอกว่ามีของขวัญให้ฉันเหรอ?”
ลู่เฉินหัวเราะ “ความจำดีนี่”
เขาหยิบกล่องไม้ขนาดเล็กออกมาจากห้องนอน มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากไม้ลอยมา
ซูโย่วอี๋ลุกขึ้นนั่งด้วยความสงสัย “รีบเอามาให้ฉันดูเร็ว”
เธอรับมาและเปิดออก มันคือเข็มกลัดเปลือกหอยสีน้ำเงิน ตรงกลางมีไข่มุกสีชมพูแวววาวประดับอยู่
สวยมากเลย
ซูโย่วอี๋ไม่อาจต้านทานสิ่งของที่มีประกายแวววาวได้เลย ดวงตาของเธอเป็นประกายในทันที
“ฉันชอบมาก ๆ ขอบคุณนะคะ”
ลู่เฉินลูบที่หัวของเธออย่างเอ็นดู “คุณอยากกินอะไร? ผมจะให้เสิ่นเฉียวทำมาให้”
“ตอนนี้เหรอ?”
เวลานี้จะไปรบกวนคนอื่นคงไม่ดีมั้ง
ลู่เฉินดูไม่ได้สนใจอะไร “ขอแค่คุณอยากกิน ดึกแค่ไหนเธอก็ยอมลุกขึ้นมาทำให้”
ซูโย่วอี๋คิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่ดีกว่า ฉันสั่งร้านข้างนอกให้มาส่งก็ได้”
ระหว่างที่รออาหารมาส่ง ซูโย่วอี๋ถามถึงความคืบหน้าเรื่องการซื้อสูตรของเสิ่นเฉียว
“เธอไม่มีทางยอมแพ้หรอก รอให้ผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาใหม่เสร็จก่อน ถึงจะต้องไปโม่เป่ยอีกครั้ง เสิ่นเฉียวยอมรับความเสี่ยง ถ้าเธอต้องการอะไร ต่อให้มีวัวสิบตัวก็รั้งเธอไว้ไม่ได้หรอก”
เมื่อเห็นซูโย่วอี๋ขมวดคิ้ว เขาจึงปลอบขึ้น “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เสิ่นเฉียวไม่ได้อ่อนแออย่างที่คุณคิด”
หากซื้อสูตรมาไม่ได้ อย่างมากก็แค่เสียใจ
เมื่อนึกเรื่องดื่มเหล้าขึ้นมาเขาก็ถามขึ้น “เมื่อคืนที่คุณไปกินมื้อค่ำที่ตระกูลฮันเกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
ซูโย่วอี๋นิ่งค้างไปครู่หนึ่งและตอบอย่างตรงไปตรงมา “ฉันเป็นเด็กกำพร้า คุณรู้ใช่ไหม?”
“อืม”
“จริง ๆ แล้ว พ่อกับแม่ของฉันยังมีชีวิตอยู่”
ลู่เฉินเริ่มครุ่นคิด หลังจากนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ “คุณเป็นลูกสาวของพวกเขาเหรอ?”
สมกับที่เป็นลู่เฉิน แม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดรายละเอียด เขาก็สามารถเชื่อมต่อเรื่องราวได้
“ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะต้องโกหกฉัน”
ในหัวของลู่เฉินคิดถึงหน้าของคุณนายฮัน “เหมือนกันมากจริง ๆ”
“เรื่องนี้กวนใจคุณอยู่เหรอ?”
ซูโย่วอี๋พูดด้วยน้ำเสียงโล่งใจ “ตอนแรกก็ใช่ แต่พอได้ดื่มเหล้ากับซูหยินแล้ว ฉันก็คิดและเข้าใจว่าจะปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ”
แม้ว่าในใจจะยังไม่สามารถยอมรับได้ในทันที แต่เธอก็จะไม่หลีกหนีความจริงอีกต่อไป
ลู่เฉินพยักหน้า “อืม คุณตัดสินใจแล้วก็ดี”
เขาก็แค่ติดใจว่าปีนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นถึงทำให้ลูกสาวแท้ ๆ ของตัวเองต้องออกมาอยู่ข้างนอก นอกนั้นลู่เฉินก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
เขามีวิธีที่จะรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
เช้าวันต่อมา นี่เป็นครั้งแรกที่ซูโย่วอี๋และลู่เฉินตื่นนอนขึ้นมาพร้อมกันและไปบริษัทด้วยกัน
ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังรอลิฟต์อยู่นั้น พนักงานทุกคนเข้ามาทักทายกันอย่างสุภาพ “อรุณสวัสดิ์ค่ะประธานลู่ อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณซู”
ซูโย่วอี๋ตอบกลับอย่างสุภาพเช่นกัน
เมื่อเห็นใบหน้าเย็นชาของลู่เฉิน ในใจของเธอก็อดไม่ได้ที่จะแอบขำ นี่เขากำลังแกล้งทำเป็นขรึมต่อหน้าคนนอกงั้นเหรอ
ลิฟต์ตัวพิเศษเปิดออก ลู่เฉินพาซูโย่วอี๋เข้าไป พอประตูปิดลงพนักงานถึงกล้าชะโงกหน้าไปดู
“กริ๊ด ประธานลู่ดูหลงคุณซูหนักมากเลย”
“อ่า พวกเขามาทำงานพร้อมกัน หรือว่าเมื่อคืนจะอยู่ด้วยกันนะ”
“พี่ดูสิว่าประธานลู่อายุเท่าไหร่? แล้วคุณซูอายุเท่าไหร่กัน?”
“ประธานลู่น่าจะ 28-29 คุณซู 24-25?”
“รู้ก็ดีแล้ว!”
เรื่องการแสดงความรักของคู่รักมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอเลย
“แฟนหนุ่มผู้หล่อรวยและมีน้ำใจ ฮ่า ๆ ๆ”
“แนะนำให้ไปฝันหวานเอาน่าจะไวกว่า”
“อย่าว่าฉันได้ไหม”
ทุกคนพากันหัวเราะและเข้าลิฟต์ไป
ซูโย่วอี๋ตรงไปยังห้องทำงานของตัวเองจึงได้เตรียมลงลิฟต์มาก่อน ส่วนลู่เฉินจับประตูเอาไว้ “ตอนหกโมงเย็นผมจะพาคุณออกไปกินข้าวนะ”
ซูโย่วอี๋หันกลับมาพร้อมรอยยิ้มอันสดใส “ตกลง”
รออยู่ที่ห้องทำงานสักพัก เหมยเหมยก็มาบอกให้เธอไปยังห้องประชุม “ทุกคนมากันพร้อมแล้ว”
ตอนที่ซูโย่วอี๋เข้าไปก็พบกับใบหน้าอันคุ้นเคย อวิ๋นเหมี่ยว ป๋ายลิ่น เสิ้งเซี่ย และพระรองคนที่สาม แน่นอนว่าฮันเจ๋อหยางเองก็อยู่เช่นกัน
และยังมีอีกสองคนที่เธอไม่รู้จัก คนหนึ่งเป็นผู้ชาย คนหนึ่งเป็นผู้หญิง น่าจะเป็นทีมงานของรายการ ‘ดาราบันเทิง’ และคงมาเพื่อถ่ายภาพ
ไม่ว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวจะเป็นอย่างไร ใบหน้าของทุกคนดูกระตือรือร้นมาก
อวิ๋นเหมี่ยวแต่งหน้ามาเบา ๆ ดูน่าเอ็นดู ส่วนน้ำเสียงของเธอยังคงนุ่มนวลเหมือนเคย “โย่วอี๋ ไม่เจอกันนานเลยนะ”
เสิ้งเซี่ยโบกมือให้เธอ “มานั่งนี่สิ”
ดวงตาของป๋ายลิ่นไม่สามารถซ่อนความประหลาดใจเอาไว้ได้ ไม่ว่าจะเคยเจอกันมากี่ครั้ง ทุก ๆ ครั้งที่เขาเจอเธอ เขาก็มักจะถูกดึงดูดโดยผู้หญิงคนนี้เสมอ
ซูโย่วอี๋กวาดสายตามองที่นั่ง “ด้านนี้น่าจะสะดวกกว่าค่ะ”
พูดจบเธอก็นั่งลงข้าง ๆ ฮันเจ๋อหยาง ทำให้ใจของฮันเจ๋อหยางนุ่มฟูขึ้นมา ที่แท้น้องสาวก็ยังไว้ใจเขาสินะ
ทีมงานหยิบกระดาษเอกสารและแจกให้ทุกคนคนละชุด “ทุกคนลองดูก่อน แล้วพวกเราค่อยมาพูดคุยกัน”
เสิ้งเซี่ยเปิดดูอย่างสบาย ๆ และพบว่าหัวข้อหลักในนี้ล้วนพุ่งเป้าไปที่ฮันเจ๋อหยางกับซูโย่วอี๋ เพราะเป็นคู่ชิปกันในละคร อวิ๋นเหมี่ยวและป๋ายลิ่นถูกพูดถึงอยู่ไม่น้อย เหลือเพียงเธอและพระรองคนที่สามที่เหมือนแค่มารวมด้วยเฉย ๆ และตอนที่ต้องเล่นเกมกันจำนวนคนก็เต็มแล้ว
ไม่มีอะไรน่าดูเลย
เธอจึงเลิกสนใจไปอย่างรวดเร็วและหันไปพูดคุยกับอวิ๋นเหมี่ยวแทน “ทีมงานของรายการปฏิบัติต่อพวกเราตามชื่อเสียงจริง ๆ คำถามของซูโย่วอี๋มีเยอะกว่าคุณมากเลย”
อวิ๋นเหมี่ยวแกล้งทำเป็นเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่ตั้งใจและพูดด้วยเสียงต่ำ “มันก็แค่เป็นไปตามกฎ ก่อนมาฉันรู้อยู่แล้ว ยังไงก็ต้องยอมรับไปตามสถานการณ์”
เสิ้งเซี่ยนึกถึงวันที่กลับมาที่ปักกิ่ง “อ่า ถ้าไม่ใช่ว่าเธอโชคดีหาแฟนแบบประธานลู่ได้ ก็คงไม่ได้ขนาดนี้หรอก”
อวิ๋นเหมี่ยวได้ยินแบบนั้นก็ไม่ค่อยสบายใจ
ต่อมาทีมงานอธิบายถึงสิ่งที่ต้องให้ความสนใจในรายการและตอบกลับข้อสงสัยต่าง ๆ ของทุกคน
ซูโย่วอี๋มองไปยังคำถามของเธอ
“ระหว่างถ่ายทำละคร คุณชอบนักแสดงชายท่านไหนมากที่สุด?”
“ฉากที่จูบกับอูซือม่านเล่นจริงหรือเปล่า?”
“เคยใจเต้นกับอูซือม่านบ้างไหม?”
“แฟนหนุ่มของคุณรู้สึกยังไงบ้างกับการถ่ายฉากจูบและฉากมีอะไรกัน?”
จุดสำคัญของคำถามมาจากความอยากรู้อยากเห็นและการตั้งตารอของผู้ชมเป็นหลัก
อีกประการหนึ่งคือการแสดงฉากเด่นในละคร ทีมงานของรายการจึงเลือกฉากจูบของฮั่วเสวียนและอูซือม่านมา
ยังไม่ทันที่ซูโย่วอี๋จะพูดอะไร ฮันเจ๋อหยางก็ลุกขึ้นก่อน “ผมไม่เห็นด้วย”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ทุกคนจึงเงยหน้ามองเขา
ฮันเจ๋อหยางไม่ได้รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย “ในรายการมีคนเห็นตั้งมากมาย จะไปโชว์ฉากแบบนั้นได้ยังไง”
ทีมงานยิ้มขึ้น “มันก็แค่เพื่อความสนุก พอถึงตอนนั้นก็ใช้มุมหลอกก็ได้”
ทีมงานคิดเอาไว้แล้วว่าหากสามารถจูบจริงได้ก็คงจะดีกว่า
ด้วยความร้อนแรงของซูโย่วอี๋ หากแสดงฉากนี้ต่อหน้าทุกคน เรตติ้งคงจะพุ่งกระฉูด
แต่ซูโย่วอี๋ไม่อยากดังด้วยวิธีการแบบนี้ “ฉันสามารถรำดาบหรือกระบี่โชว์ได้ค่ะ”
ทีมงานทำสัญลักษณ์เอาไว้ในสมุดบันทึก “งั้นก็รอการพิจารณาก่อน รอให้พวกเรากลับไปหารือกับผู้อำนวยการก่อนแล้วค่อยตัดสินค่ะ ความต้องการของคุณ พวกเราจะส่งต่อไปให้ผู้อำนวยการเอง”
สุ่ยเวยเปิดประตูออก “กินข้าวกันก่อน ตอนบ่ายค่อยประชุมต่อ”
อวิ๋นเหมี่ยวแนะนำขึ้น “ไม่ได้รวมตัวกันตั้งนาน วันนี้ฉันเป็นเจ้าภาพเลี้ยงข้าวทุกคนเองค่ะ”
“พี่เวย พี่ก็ไปด้วยกันนะคะ”
สุ่ยเวยพยักหน้า “ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจของคุณนะคะ แต่ฉันมีประชุม ไปไม่ได้หรอกค่ะ”
เธอสั่งให้เหมยเหมยรับผิดชอบกระบวนการงานต่าง ๆ ต่อในช่วงบ่าย
ส่วนฮันเจ๋อหยางไม่สนใจคนอื่น เขาหันหน้ามามองน้องสาว “เธอไปหรือเปล่า?”
ซูโย่วอี๋ลำบากใจที่จะปฏิเสธ “ขอโทษนะคะ ตอนบ่ายฉันนัดกินข้าวกับคนอื่นเอาไว้แล้ว”
ดวงตาของเสิ้งเซี่ยเปล่งประกายและคันปากยุบยับ “กับประธานลู่ใช่ไหมคะ โชคดีจัง แถมยังทำงานที่บริษัทเดียวกันอีก”
ซูโย่วอี๋เอาแต่ยิ้มและไม่ได้พูดอะไร ทุกคนจึงถือว่านี่คือการยอมรับ
อวิ๋นเหมี่ยวกลับรู้สึกไม่ดี แต่เธอก็ไม่ได้แสดงออกมา “ได้เลย งั้นพวกเราไปกันก่อนนะคะ”
เดินไปไม่กี่ก้าวเธอก็พบว่าฮันเจ๋อหยางไม่ได้ตามมาด้วย “คุณฮันคะ?”
ฮันเจ๋อหยางยืนเอามือล้วงกระเป๋าอย่างไม่แยแส “ผมรู้สึกท้องไส้ไม่ค่อยดี”
หมายความว่าเขาปฏิเสธที่จะไปด้วยอย่างชัดเจน นั่นทำให้อวิ๋นเหมี่ยวหน้าเสียไปเล็กน้อย
ส่วนทีมงานของรายการดาราบันเทิงทำเป็นมองไม่เห็น แต่ในใจก็เริ่มเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาแล้ว
จนกระทั่งภายในห้องประชุมเหลือเพียงคนสามคน ซูโย่วอี๋จึงถามขึ้น “กลางวันนี้กินอะไรดี?”
ฮันเจ๋อหยางนิ่งค้างไป “เธอไม่ได้นัดประธานลู่เอาไว้เหรอ?”
“ไม่ ฉันแค่ไม่อยากไป”
การไปกินข้าวด้วยกันก็แค่เพื่อมารยาท น่าเบื่อ กินข้าวเงียบ ๆ แล้วนอนพักดีกว่า
ฮันเจ๋อหยางมีความสุขขึ้นมา “งั้นพวกเราออกไปกินกันสองคนกันเถอะ”
“ไม่ ถ้าใครเห็นเข้ามันจะลำบาก”
ท้ายที่สุดก็ยังคงเป็นเหมยเหมยที่สั่งอาหารมาให้และไปกินด้วยกันที่ห้องทำงานของฮันเจ๋อหยาง
จากคำพูดของซูโย่วอี๋ กินข้าวในที่ทำงานจะทำให้มีแต่กลิ่นของอาหาร แต่หากเป็นในห้องทำงานของฮันเจ๋อหยาง ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
ฮันเจ๋อหยางอยากจะกลอกตาแต่ก็พยายามไม่ทำอย่างนั้น
และแอบเตือนตัวเองเอาไว้ นี่คือน้องสาว!
น้องสาวแท้ ๆ!
เป็นแก้วตาดวงใจเลยด้วย!
พอกินข้าวเสร็จก็รู้สึกง่วงนอน ซูโย่วอี๋เลยกลับมาที่ห้องทำงานของลู่เฉิน
ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพราะที่นั่นมีเตียง เธออยากจะนอนหลับสบาย ๆ
เมื่อเลขาเห็นว่าเธอขึ้นมาก็รีบลุกขึ้นยืน “คุณซู ประธานลู่ออกไปพบลูกค้าแล้วค่ะ”
“ฉันขอไปอยู่ในห้องทำงานของเขาสักพักนะคะ”
“ได้ค่ะ เชิญเลยค่ะ”
แม้เลขาอยากจะเดินไปส่ง แต่ก็ถูกซูโย่วอี๋ขัดเอาไว้ “ฉันไปเองค่ะ”
ห้องทำงานของลู่เฉินใหญ่และโล่งมาก ภายในแบ่งเป็นห้องนั่งเล่นและแยกเป็นสัดส่วน และยังมีห้องน้ำที่สามารถอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้
ซูโย่วอี๋จับโน่นนี่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลังจากนั้นก็ไปนอนบนเตียง
นอนไปได้ไม่นาน ซูโย่วอี๋ได้ยินคำพูดหนึ่งของลู่เฉิน จึงตกใจจนตื่นขึ้น “เคารพตัวเองบ้าง”
พูดตามตรง ในห้องนอนเก็บเสียงได้ดีมาก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าลู่เฉินพูดด้วยเสียงที่ดังมาก ซูโย่วอี๋คงจะไม่มีทางตื่นขึ้นมา
เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยความงุนงง ก่อนจะพลิกตัวเตรียมจะนอนต่อ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินเสียงของผู้หญิงอันคุ้นเคย
“อาเฉิน ฉันผิดไปแล้ว ยังไม่พออีกหรอ?”
“ตอนนั้นฉันตาบอด แต่ฉันไม่มีทางเลือกจริง ๆ”
?
??
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ซูโย่วอี๋ตื่นขึ้นมาหลังจากงีบหลับ เสียงนี้ไม่ใช่เสียงของอวิ๋นเหมี่ยวเหรอ?
เธอรู้จักกับลู่เฉินงั้นเหรอ?
ผ่านไปสักพัก ด้านนอกก็มีเสียงของลู่เฉินดังขึ้น “เท่าที่ผมรู้มา คุณยังอยู่กับชู้ของคุณ ถึงตอนนี้คุณก็ยังตาบอดอยู่นี่”
อวิ๋นเหมี่ยวร้องไห้กระซิก ๆ “อาเฉิน ฉันมีปัญหา ฉันไม่กล้าบอกความจริงกับคุณมาโดยตลอด เพราะว่าฉันยังรักคุณอยู่ ฉันไม่อยากให้คุณเห็นด้านที่น่าเกลียดที่สุดของฉัน”
“ฉันอยู่กับเขามีแต่ความทุกข์ ตอนนี้ฉันไม่ได้อยากได้อะไรแล้ว ฉันแค่อยากกลับมาอยู่ข้าง ๆ คุณ”
“พวกเรากลับไปเป็นเหมือนเดิมนะ?”
เสียงนั้นดังก้องอยู่ในหัวของซูโย่วอี๋ เธออึ้งราวกับถูกฟ้าผ่าและหัวใจถูกบีบอย่างแรง
ฟังจากคำพูดของอวิ๋นเหมี่ยว พวกเขาเคยคบกันมาก่อนเหรอ?
ถ้าอย่างนั้น อวิ๋นเหมี่ยว… คือรักแรกของลู่เฉิน!