บทที่ 279 คนฉลาดและมีความสามารถ
บทที่ 279 คนฉลาดและมีความสามารถ
ผู้จัดการร้านเข้าไปต้อนรับ “คุณฉิน ทำไมมาก่อนเวลาล่ะคะ?”
“เวลาเดิมที่นัดไว้ชนกันนิดหน่อย ฉันแจ้งพนักงานไว้ก่อนแล้วนะว่าจะมาไวขึ้น”
ผู้หญิงที่พูดอยู่หันหน้ามามองซูโย่วอี๋ ”มีลูกค้ากำลังเลือกชุดอยู่เหรอ?”
“ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะ พวกคุณดูไปก่อนเลย ฉันไม่รบกวนพวกคุณหรอกค่ะ”
ในคำพูดนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจ
ดูสงบเหมือนกับอวิ๋นจิ้งหว่านทุกประการ
เหมือนเป็นการดึงดูดคนประเภทเดียวกันให้มาอยู่รวมกัน
ซูโย่วอี๋ปิดนิตยสารในมือ “ไม่เป็นไรค่ะ”
อวิ๋นจิ้งหว่านจึงพูดขึ้น “คุณซูจะแต่งงานแล้วเหรอคะ?”
“หว่านหว่าน พวกคุณรู้จักกันเหรอ?”
อวิ๋นจิ้งหว่านกำลังจะตอบกลับ แต่ม่านของห้องลองก็ถูกดึงให้เปิดออก ซูหยินเดินออกมาในชุดแต่งงานสีขาวอันงดงาม เผยให้เห็นไหล่เล็กน้อย ส่วนกระโปรงยาวลากไปกับพื้น
ดูเป็นประกายไม่ต่างจากรอยยิ้มที่สดใสนั่น
“ที่รัก เป็นยังไงบ้าง?”
สายตาของซูโย่วอี๋เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เธอมองสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง “สวยมาก”
ผู้หญิงที่มาเลือกชุดแต่งงานเหมือนกันกับอวิ๋นจิ้งหว่านดึงมือของเธออย่างตื่นเต้น “หว่านหว่าน ชุดนี้สวยมากเลย ฉันอยากลองบ้าง”
อวิ๋นจิ้งหว่านยืนอยู่ที่เดิม ร่างกายของเธอชาวาบราวกับเลือดในร่างกายกำลังแข็งตัว
นี่มันซูหยิน!
หญิงสาวไม่ได้รับคำตอบกลับจากเพื่อนรัก จึงมองอวิ๋นจิ้งหว่านด้วยความสงสัย “หว่านหว่าน เธอเป็นอะไรไป?”
อวิ๋นจิ้งหว่านไม่ได้ตอบกลับ เธอค่อย ๆ ก้าวเข้าไปตรงหน้าของซูหยินทีละก้าว
“คุณจะแต่งงานแล้วเหรอ?”
ซูหยินเองก็ไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอกับภรรยาของฮัวจิงที่นี่
แม้ว่าเธอจะไม่เคยเจอตัวจริงมาก่อน แต่เธอเคยขยำภาพข่าวการแต่งงานของทั้งสองคนในหนังสือพิมพ์บันเทิงมาแล้ว
ทั้งคิ้ว ดวงตา ใบหน้า รูปร่าง ทุกอย่างดูคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ซูหยินตอบกลับด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “อืม”
อวิ๋นจิ้งหว่านจ้องมองไปยังคนตรงหน้าและหัวเราะออกมาเบา ๆ “ดีจริง ๆ”
มายุ่งกับสามีของเธอ ทำให้ลูกของเธอต้องตาย คนที่… ทำลายงานแต่งงานของเธอ
ตอนนี้กลับมาเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตใหม่ไปแล้ว
ผู้หญิงที่มาด้วยกันเดินตามเข้ามา “หว่านหว่าน นี่เพื่อนเธอเหรอ?”
“ไม่ใช่”
“ฉันไม่เคยเป็นเพื่อนกับหนูสกปรก ๆ แบบนี้”
ทันทีที่คำพูดนั้นออกมา สีหน้าของทุกคนในที่นั้นก็เปลี่ยนไป
ซูหยินดูเงียบสงบ “คุณนายฮัว…”
“อา รู้ว่าฉันคือคุณนายฮัวก็ดี” น้ำเสียงของอวิ๋นจิ้งหว่านฟังดูเลือดเย็นมาก “คุณซูเป็นคนฉลาดและมีความสามารถมากนะคะ ที่สามารถหาผู้ชายดี ๆ อย่างรองประธานกู่มาครอบครองได้”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงเสียดสี
ซูโย่วอี๋เห็นซูหยินขมวดคิ้วหาเรื่อง จึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ “คุณพูดจาไม่น่าฟังเลยนะคะ”
“ไม่น่าฟัง? ทำไมคุณไม่พูดด้วยหล่ะว่าเธอทำเรื่องที่ไม่น่าทำ?”
ซูโย่วอี๋อยากจะพูดอะไรต่อ แต่ซูหยินก็เข้ามาขวางตรงหน้าเธอเอาไว้ “คุณนายฮัว คุณและเพื่อนของคุณดูชุดแต่งงานไปเถอะค่ะ พวกเราไปก่อนดีกว่า”
สีหน้าของอวิ๋นจิ้งหว่านเย็นชาเป็นอย่างมาก
ซูหยินเปลี่ยนชุดแต่งงาน “ไว้ฉันค่อยนัดเวลามาดูใหม่”
ผู้จัดการร้านยังคงมีท่าทางที่ดีอยู่ โดยไม่ได้ถือสาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เลยแม้แต่น้อย “ได้ค่ะ”
ระหว่างทางกลับ ซูหยินเอาแต่นิ่งเงียบ
จนกระทั่งรถเข้าไปในโรงจอดและไฟดับลง
ซูหยินจึงมองซูโย่วอี๋และขอโทษด้วยรอยยิ้ม “ฉันทำให้เธอต้องขายหน้าไปด้วยซะแล้ว”
ซูโย่วอี๋พูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ “พวกเราทำผิด พวกเรายอมรับ และพวกเราก็เปลี่ยนแปลง”
“เธอไม่ได้อยากทำลายการแต่งงานของคนอื่นสักหน่อย หลังงานแต่งงานของฮัวจิง เธอเองก็ถอยออกมาจากความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้องนั้นแล้ว เธอทำได้ดีมากเลยนะ”
“ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยถ้าเราเผชิญหน้ากับมันอย่างใจเย็น ”
ซูหยินสูดลมหายใจเข้าลึก “ทำไมฉันถึงรักเธอขนาดนี้นะ ที่รัก ถ้าคนอื่นพูดคำพูดพวกนี้ออกมา ฉันอาจจะไม่เชื่อเลยแม้แต่คำเดียว แต่พอเธอพูดออกมา มันก็เหมือนประสานรอยแผลในใจของฉันเลยล่ะ”
“งั้นก็ทำตัวเป็นเจ้าสาวที่มีความสุขเถอะ ยังไงต่อไปพวกเธอก็ไม่ได้เจอกันอีกแล้ว”
ที่ร้านชุดแต่งงาน
เพื่อนสนิทมองอวิ๋นจิ้งหว่านอย่างเกรง ๆ “หว่านหว่าน เธอเป็นอะไรไป?”
เธอไม่เคยเห็นอวิ๋นจิ้งหว่านพูดจาหยาบคายแบบนี้มาก่อน
อารมณ์ของอวิ๋นจิ้งหว่านกลับมาเป็นปกติ “คนที่ทำให้ฉันแท้งลูกก็คือยัยนั่น”
“หะ!” เพื่อนสนิทร้องขึ้นมา
“ซูหยินคือผู้หญิงที่ทำให้ฮัวจิงนอกใจเธองั้นเหรอ?”
“ใช่”
ใบหน้าของเพื่อนสนิทดูไม่อยากจะเชื่อ “พระเจ้า หน้าตาสวยขนาดนั้น ทำไมถึงทำเรื่องแบบนี้กันนะ?”
อวิ๋นจิ้งหว่านตะคอกขึ้นมาอย่างเย็นชา “ก็เพราะเงินไง เพื่อสิ่งที่เหนือกว่า เพื่อชื่อเสียง”
“หว่านหว่าน เรื่องนั้นมันก็ไม่แน่นะ คุณฮัวจิงของเธอหล่อเหลาขนาดนั้น บางทีเธอคนนั้นอาจจะชอบเขาจริง ๆ ก็ได้นะ”
อวิ๋นจิ้งหว่านหมุนตัวและเดินไป
เพื่อนสนิทจึงรีบตามไป “ทำไมกัน?”
“ฉันไม่อยากได้ยินเธอแก้ตัวอะไรให้กับซูหยินทั้งนั้น”
“ฉันก็แค่พูดไปตามที่เห็น แก้ตัวแทนหล่อนที่ไหนกัน อีกอย่างนะ หล่อนกับฉันไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน จะเทียบกับเธอได้ยังไง? ยังไงฉันก็ไม่มีทางช่วยพูดแทนหล่อนหรอกนะ”
เพื่อนสนิทมองอวิ๋นจิ้งหว่าน “หว่านหว่าน เธอรู้สึกหรือเปล่าว่าช่วงนี้เธอค่อนข้างอ่อนไหวง่ายนะ?”
เธออยากจะบอกว่าอ่อนไหวแบบสุด ๆ ด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ดีว่าอวิ๋นจิ้งหว่านกำลังพบจิตแพทย์อยู่ จึงไม่กล้าพูดอะไรมากเกินไป เพราะกลัวว่าจะไปกระตุ้นอวิ๋นจิ้งหว่าน เข้า
“เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องเครียดแล้ว วันนี้ไม่ได้มาดูชุดแต่งงานเป็นเพื่อนฉันเหรอ พวกเรายังดูกันอยู่ไหม?”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงสดใส
อวิ๋นจิ้งหว่านจึงยิ้มขึ้นมา “ไปกันเถอะ”
…
ตกดึก
รถคันใหญ่จอดที่หน้าผับ คนที่มาคือลูกค้าประจำ
“โย่ว คุณซาน ทำไมวันนี้มาเองล่ะ มารับคนเหรอ?”
“ไม่ใช่ครับ มารอรับลูกค้าวีไอพีน่ะ”
“ฮ่า ๆ งั้นคุณทำงานต่อเถอะครับ”
เสี่ยวเหล่าซานเรียกพนักงานเข้ามา “จัดการหาตำแหน่งดี ๆ ให้เถ้าแก่ฮวาด้วย”
แต่รอแล้วรออีก ก็ไม่เห็นจะมีใครมา เสี่ยวเหล่าซานจึงเริ่มรู้สึกร้อนใจ
เขาจุดบุหรี่ขึ้นมาหนึ่งมวนพลางมองไฟลุกโชนแวววับ
แต่ปานจ่างกลับแย่งบุหรี่ไปจากมือของเขา “ขอบคุณนะ”
ก่อนจะสูบเข้าไปจนสุดปอดและสำลักจนน้ำตาไหลออกมา
“ของใหม่มาจากที่ไหนเนี่ย แรงชะมัด”
เสี่ยวเหล่าซานมีความสุขที่แกล้งเขาได้ “แรงเหรอ อากาศหนาว ๆ ก็ต้องสูบบุหรี่แรง ๆ สิ จะได้กระปรี้กระเปร่า”
“พวกนายสองคนพึมพำอะไรกัน”
เสียงของไป๋เสิ่งเฉียวดังขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว
เสี่ยวเหล่าซานค่อย ๆ จุดบุหรี่ให้ตัวเองอีกครั้ง และสูบเข้าไปอย่างเต็มที่ “ต้องรสชาติแบบนี้สิ”
“เชฟห้าดาวของพวกเรา วันนี้มาไวจริง ๆ”
ไป๋เสิ่งเฉียวเลิกคิ้วขึ้น “ขอแก้ไขหน่อยนะ ระดับของฉันอยู่เหนือกว่าห้าดาวอีก”
“เฮ้ย” ปานจ่างและเสี่ยวเหล่าซานส่งเสียงออกมาพร้อมกัน
“เฉียว ความมั่นใจของเธอมากเกินไปหน่อยนะ”
“ระดับของฉันถูกกำหนดให้อยู่ที่ห้าดาว เป็นเพราะว่าบนโลกใบนี้ไม่มีระดับที่สูงมากกว่านี้แล้วต่างหาก ไม่ได้แสดงว่าฉันจะอยู่แค่ระดับนั้นสักหน่อย”
ไป๋เสิ่งเฉียวพูดอย่างจริงจัง “แล้วนี่พวกนายยังอยากกินอาหารที่ฉันทำอยู่หรือเปล่า?”
เสี่ยวเหล่าซานโยนก้นบุหรี่ทิ้ง “พอเถอะ หนึ่งปีมี 365 วัน แต่นี่เธอเล่นขอลาหยุดไปแล้ว 365 วัน”
ถ้านับดูดี ๆ ต่อให้นัดกันก็ยังไม่ได้กินเลย
ปานจ่างลองคำนวณดู “ถ้าโชคดีก็อาจจะได้กิน”
“ปีอธิกสุรทินมี 366 วัน ใช่เปล่า”
ไป๋เสิ่งเฉียวตัวสั่นเพราะความหนาวเย็น “คำพูดพวกนี้ไม่เห็นจะตลกเลยสักนิด”
“อ่า หนาวจะตายอยู่แล้ว ฉันเข้าไปก่อนนะ”
พอเดินผ่านโถงขนาดใหญ่ไป เธอก็รู้สึกว่าหญิงสาวที่เป็นพนักงานต้อนรับนั้นหน้าตาคุ้น ๆ
ไป๋เสิ่งเฉียวจึงเดินเข้าไปดู นี่มันลูกของซูโย่วอี๋หรือเปล่าเนี่ย?
“พนักงานใหม่เหรอ?”
จินหลิงมองคิ้วหนา ๆ กับจมูกเป็นสันของคนที่เดินเข้ามา ท่าทางของเธอดูน่าดึงดูด
“ใช่ค่ะ คุณลูกค้า”
อาจเพราะรูปร่างหน้าตาของเธอดูสวยสำหรับไป๋เสิ่นเฉียว เธอจึงหยอกล้อด้วยความสนใจ “คุณมีพี่สาวที่ต้องแยกจากกันหรือเปล่า?”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงน่าขนลุก
ทำให้จินหลิงหน้าแดงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “ไม่มีค่ะ ฉันเป็นลูกสาวคนเดียว”
ไป๋เสิ่งเฉียวยังอยากจะพูดต่อ แต่ถูกฮันเจ๋อหยางโอบไหล่เอาไว้ “เธอมาทำอะไรตรงนี้?”
ไป๋เสิ่งเฉียวหันกลับไปมอง จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาเป็นแถว
เธอจึงเดินออกมา
“ไฮ โย่วโย่ว ซูหยิน”
และเข้าไปทักทายทั้งสองคนอย่างเป็นกันเอง
เมื่อจินหลิงเห็นว่าเถ้าแก่ใหญ่ทั้งสองคนก็อยู่ด้วย จึงรีบยืดตัวขึ้นตรง “คุณซาน คุณซื่อ สวัสดีค่ะ”
ไป๋เสิ่นเฉียวเข้าไปรวมตัวกับคนที่เพิ่งเข้ามา “พวกคุณดูสิ พนักงานต้อนรับคนใหม่ดูเหมือนโย่วโย่วไหม?”
ซูโย่วอี๋มองไป
อา
นี่มันคนคุ้นเคย
ผู้หญิงที่เป็นสตันต์แมน*[1]ให้เธอในละครรักในฝันนี่?
ถ้าพูดตามจริงก็คือคนที่มาเล่นบทจูบแทนเธอนั่นเอง
แต่ที่ซูโย่วอี๋รู้มา สตันต์แมนคนนี้เป็นคนเก่ง เรียนดี นิสัยดี แถมยังเป็นคนใสซื่อด้วย
ถึงที่บ้านไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ก็สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนของตัวเองได้
ทำไมถึงได้มาทำงานในสถานที่แบบนี้ล่ะ?
ซูโย่วอี๋เดินเข้าไปหาและถอดหน้ากากอนามัยออกพร้อมกับเรียกชื่อของอีกฝ่าย “จินหลิง”
จินหลิงนิ่งค้างไปก่อนจะตอบกลับมาด้วยความดีใจ “คุณซู ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ได้คะ?”
“มาเที่ยวน่ะ เธอทำงานที่นี่เหรอ?”
จินหลิงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เลยตอบออกไปด้วยสีหน้าเขินอาย “ค่ะ”
ที่ซูโย่วอี๋ถาม ไม่ได้เพราะอยากจะตำหนิใคร “ไม่ต้องกังวลไป ฉันไม่ได้หมายความเป็นอย่างอื่น”
และก็จากไปพร้อมกับคนอื่น ๆ
เสี่ยวเหล่าซานถามขึ้นมา “พี่สะใภ้รู้จักจินหลิงได้ยังไง?”
“เธอเป็นสตันต์แมนของฉันตอนที่ถ่ายละครน่ะ ถ้าเป็นไปได้รบกวนคุณช่วยดูแลเธอด้วยนะคะ”
ถึงว่า หน้าตาคล้ายกันมาก
เสี่ยวเหล่าซานรับปากอย่างดี “ไม่มีปัญหา พูดไปแล้วผมเองก็แปลกใจนะ ทำไมคนคนนั้นต้องรับเธอเข้ามาด้วยก็ไม่รู้?”
คนคนนั้นที่พูดถึงอยู่นี้คือปานจ่างอย่างแน่นอน
ปานจ่างรับรู้ได้ถึงสายตาของทุกคนที่กำลังซักไซ้เขา “คิดอะไรกัน พวกคุณคงไม่ได้สงสัยว่าผมมีแผนอะไรใช่ไหม”
“ตอนแรกผมไม่ได้อยากรับเธอเข้ามา แต่เป็นเพราะเธอขอร้องไม่หยุดต่างหาก เธอบอกผมว่าเธอต้องการใช้เงินมากจริง ๆ ผมใจอ่อนไปชั่วขณะก็เลยรับปากไป”
อย่างนี้นี่เอง
ซูโย่วอี๋คิดขึ้นมา บางทีที่บ้านอาจเกิดเรื่องอะไรขึ้นจนต้องใช้เงินก็ได้
พอเข้ามาในห้องส่วนตัว เสี่ยวเหล่าซานก็เปิดเหล้าที่แพงที่สุดในคลับแห่งนี้และรินให้ทุกคน
“รองประธานกู่ คุณเป็นตัวเอกของงานนี้ พูดอะไรหน่อยสิ?”
กู่อวี๋เฉิงยกแก้วเหล้าขึ้น “ขอให้งานหมั้นของผมและหยินหยิน… มีแต่ความสุข”
ทุกคนพากันหัวเราะ
พี่ชาย
คุณไม่มีประโยคอื่นจะพูดแล้วเหรอ?
แต่ถึงอย่างนั้น ทุกคนก็ดื่มกันอย่างมีความสุข
แต่จู่ ๆ ปานจ่างตะโกนขึ้นมา “ทุกคนมาอวยพรกันคนละประโยค ไม่งั้นรองประธานกู่คงจะเขินแย่”
“ไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร”
“ให้ความรักหวานราวน้ำผึ้ง”
“มีลูกสองคนภายในสามปี”
ซูโย่วอี๋พูดเพิ่มมาอีกประโยค “มีลูกสามคนภายในห้าปี”
“พี่สะใภ้ นี่มันลอกกันชัด ๆ”
“ฮ่า ๆ ได้รับรู้ความหมายก็พอแล้ว”
อีกอย่าง เธอเองก็รู้ดีว่าหยินหยินอยากมีลูกมาโดยตลอด
งานเลี้ยงในวันนี้สนุกมาก
ทุกคนดื่มเหล้าเปิดงานเลี้ยงกันเสร็จ เสี่ยวเหล่าซานเลือกเพลงรักให้กับคู่ว่าที่สามีภรรยา
ซูโย่วอี๋นั่งตะโกนเรียกสุนัขจิ้งจอกอยู่บนโซฟา
อ่า
ไม่มีใครตอบกลับมา?
ไปไหนแล้วนะ
พูดอย่างดีว่าแทบรอไม่ไหวที่จะได้มาเจอคนในดวงใจไม่ใช่เหรอ?
ตอนนี้ สุนัขจิ้งจอกกำลังอยู่ในห้องน้ำชายด้วยความกระวนกระวาย มันจัดระเบียบตัวเองในกระจกไม่หยุด
ไม่ง่ายเลยที่จะรวบรวมความกล้าในการเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่ก็ถูกกลุ่มพี่สาวขี้เมารั้งเอาไว้
“หนุ่มน้อยน่ารักคนนี้มาจากไหนกันเนี่ย รูปร่างหน้าตาน่ากินจริง ๆ”
“ผิวเรียบเนียนเหมือนไข่ไก่เลย”
“น้องชาย พี่สาวมีเงินนะ ไปกับพี่ไหม”
พูดจบไม่พอ เธอยังยกมือขึ้นมาลูบด้วย
สุนัขจิ้งจอกหลบได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะทำหน้าไม่พอใจ “พวกพี่สาวอย่าได้เอามือไปจับอะไรมั่ว ๆ นะ ไม่งั้นอย่าหาว่าผมไม่เกรงใจ”
แต่ใบหน้ากลม ๆ เล็ก ๆ ของเขากลับทำให้ความโกรธดูน่าเอ็นดูขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ยิ่งเป็นการกระตุ้นพี่สาวมากกว่าเดิม “กริ๊ดน่ารักจัง มามะน้องชาย มาหาพี่สาวมา”
[1] สตันต์แมน (Stuntman) นักแสดงแทนในฉากเสี่ยงอันตราย