บทที่ 1309 ก่อความแค้นใหญ่หลวงแล้ว
แกยังไม่ตอบฉัน เยี่ยหวันหวั่นจ้องหลี่โม่เฉิน สายตาวาบประกายเย็นเยียบ มุมปากยกขึ้นน้อยๆ วาดเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย
ตอบอะไร! หลี่โม่เฉินตะคอก
ตอบฉัน แกนับเป็นตัวอะไร เยี่ยหวันหวั่นเอ่ยเสียงเลือนราง
หลี่โม่เฉินเพิ่งคิดจะพูดอะไรบางอย่าง เยี่ยหวันหวั่นก็พลันออกแรงที่ฝ่ามือ
วินาทีถัดมา ตะเกียบก็ทิ่มทะลุผิวหนังของหลี่โม่เฉิน เหลือไหลเป็นสาย ตามด้วยตะเกียบที่ค่อยๆ ตกลง
เยี่ยหวันหวั่นนิ่งเงียบ
แม่มเอ๊ย ตะเกียบนี่จะคุณภาพดีไปหน่อยไหม ทั้งที่เธอแค่อยากจะขู่หลี่โม่เฉิงนี่สักหน่อย ทำไมกลายเป็นแทงทะลุเฉยเลย…
เวลานี้ชีซิงมองเยี่ยหวันหวั่น ดวงตาฉายแววประหลาดใจ ถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่พี่เฟิง เธอจะกล้าล่วงเกินผู้อาวุโสสามแบบนี้ไหม
อ้าก กะ…แกกล้าฆ่าฉันเหรอ… ในที่สุดดวงตาของหลี่โม่เฉินก็วาบแววหวาดกลัว
ถึงแม้ผู้หญิงตรงหน้าตนจะเป็นผู้นำพันธมิตรอู๋เว่ยจริงๆ แต่สติปัญญาของแบดเจอร์ จะเข้าใจสถานการณ์ของพันธมิตรอู๋เว่ยยามนี้ได้ยังไง
ไม่พูดถึงตัวปลอม แม้แต่ผู้นำพันธมิตรตัวจริงก็ไม่น่ากล้าทำกับเขาแบบนี้หรือเปล่า…
เขาไม่เชื่อว่าผู้หญิงนี่จะกล้าฆ่าเขาจริงๆ แต่เห็นแววสังหารไร้ซึ่งการปกปิดในดวงตาเยี่ยหวันหวั่น ชั่วขณะนั้นหลี่โม่เฉินอดใจฝ่อไม่ได้อยู่บ้าง
ฆ่าแก…เปื้อนมือฉันจะตายไป ไว้ชีวิตแก ฉันคิดว่าพรุ่งนี้พ่อแกน่าจะมายื่นข้อตกลงให้ฉัน เยี่ยหวันหวั่นแค่นหัวเราะ จากนั้นก็เขวี้ยงตะเกียบที่เปื้อนเลือดในมือไปอีกด้าน
เป่ยโต่ว เยี่ยหวันหวั่นมองทางเป่ยโต่วที่อยู่ด้านหลังหลี่โม่เฉิน
พี่เฟิง พี่พูดมา เป่ยโต่วยิ้มแย้ม ขึ้นหน้ามาอย่างประจบเอาใจ
เกะกะลูกตา โยนมันออกไป เยี่ยหวันหวั่นเอ่ย
ได้เลย! เป่ยโต่วพยักหน้า พูดจบก็คว้าลำคอของหลี่โม่เฉินแล้วเอ่ยกับชิวสุ่ย ชิวสุ่ย เปิดหน้าต่างให้หน่อย
หา? ชิวสุ่ยอึ้ง เป่ยโต่ว นี่มันชั้นสี่…
ชั้นสี่แล้วยังไง พี่เฟิงให้ฉันโยนเขาลงไป ชั้นสี่สิบฉันก็จะโยนอยู่ดี เป๋ยโต่ยิ้มเอ่ย
เยี่ยหวันหวั่นพูดไม่ออก
มารดาให้นายโยนเขาออกนอกประตู ไม่ใช่ให้โยนเขาออกนอกหน้าต่าง
ระยะห่างของชั้นอาหารนี้กว้างมาก สี่ชั้นของตำหนักเทียนเกอพอๆ กับหกเจ็ดชั้นของตึกระฟ้าธรรมดา…
ยะ…อย่า…เข้าใจผิดสิ มีอะไรก็คุยกันดีๆ … เห็นชิวสุ่ยเปิดหน้าต่างจริงๆ หลี่โม่เฉินหน้าเปลี่ยนสีทันควัน
พวกชายฉกรรจ์ที่หลี่โม่เฉินพามาก็กำหมัดแน่น ดูเหมือนอยากเข้ามาห้าม แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำบุ่มบ่ามภายใต้สายตาของเยี่ยหวันหวั่น
‘ฟึ่บ!’
เวลาอย่างมากแค่สองลมหายใจ ทั้งตัวหลี่โม่เฉินก็ถูกเป่ยโต่วโยนออกไปแล้ว
เยี่ยหวันหวั่นกุมหน้าผากเงียบๆ ในใจ มุมปากกระตุกเล็กน้อย เธอไม่ได้ตั้งใจจะโยนหลี่โม่เฉินลงไปจากชั้นสี่จริงๆ …
ความสามารถในการทำความเข้าใจของเจ้าเป่ยโต่วนี่…ทำไม ถึงแข็งแกร่งขนาดนี้…
เขาโยนคนออกไป แถมยังโยนแพะรับบาปให้เธอ…
เป่ยโต่วตบๆ มือ มองเยี่ยหวันหวั่นแล้วยิ้มเอ่ย พี่เฟิง เก้าในสิบน่าจะตกตาย ไม่งั้นก็เลี้ยงไม่โต
ทำได้ดี… ในใจเยี่ยหวันหวั่นจนปัญญา แต่ภายนอกยังคงต้องยิ้มให้สอดคล้องกัน
มารดามันเถอะ พวกตาแก่นั่นของผู้อาวุโสสามมีอำนาจในพันธมิตรอู๋เว่ยล้นฟ้า แทบจะชักใยอำนาจของพันธมิตรอู๋เว่ยกว่าครึ่ง ตอนนี้ต่อให้ผู้นำพันธมิตรอู๋เว่ยตัวจริงกลับมา ก็เกรงว่ายังต้องหวาดกลัวพอสมควร
ตอนนี้เป็นไงล่ะ ตัวเองทำลูกนอกสมรสของผู้อาวุโสสามครึ่งเป็นครึ่งตาย…ก่อความแค้นใหญ่หลวงแล้ว!
——————————————————————————————
บทที่ 1310 มีหน้ามีตาขนาดนั้นเลยเหรอ
ยังยืนหาพระแสงอะไร ยังไม่รีบไปดูคุณชายหลี่ของพวกแกว่าตายหรือยังอีก เป่ยโต่วเอ่ยกับพวกชายฉกรรจ์
ได้ยินเป่ยโต่วพูดแบบนี้ คนที่หลี่โม่เฉินพามาก็พากันพุ่งออกไป
หมดอารมณ์ ชิวสุ่ยแค่นเสียงเย็น ไอ้สารเลวนี่กล้าสาดไวน์แดงฉัน วันนี้มันไม่ตาย ไม่ช้าเร็วฉันจะฆ่ามันตาย
พอแล้ว ไม่ใช่พี่เฟิงระบายความโกรธให้แล้วเหรอ หลี่โม่เฉินนั่นมันเป็นสวะ ถูกสุรานารีสูบร่างนานแล้ว คุณสมบัติร่างกายแย่เกินไป สูงขนาดนี้ไม่ตกแหลกก็ใกล้เคียง เป่ยโต่วยิ้มเอ่ย
เสี่ยวเฟิงเฟิงดีที่สุดเลย…
ชิวสุ่ยกอดหมับเยี่ยหวันหวั่นทันใด
ตอนนี้เยี่ยหวันหวั่นชินกับความเร่าร้อนของชิวสุ่ยแล้วเลยยังคงใจเย็น
ความจริงเมื่อครู่นี้ที่เธอลงมือ ถึงแม้เพื่อแสร้งเป็นแบดเจอร์ แต่ตอนเห็นหลี่โม่เฉินนั่นหยาบคายใส่ชิวสุ่ย ความรู้สึกโกรธและอยากปกป้องบางอย่างที่พลันปะทุขึ้นในใจเธอกลับเป็นของจริง
พี่เฟิง ผู้อาวุโสนั่นหาเรื่องไม่ได้ง่ายๆ พี่ระวังหน่อยดีกว่า ชีซิงมองเยี่ยหวันหวั่นพลางเอ่ยเสียงเรียบ
ได้ยินดังนั้น เยี่ยหวันหวั่นผุดรอยยิ้มเย็นบนใบหน้า ดูราวกับว่าไม่มองผู้อาวุโสสามอยู่ในสายตา
ช่างเถอะ ไม่กินแล้ว หมดอารมณ์! พี่เฟิง พวกเราไปเล่นคาสิโนกัน! เป่ยโต่วแนะอย่างตื่นเต้น
เยี่ยหวันหวั่นนิ่งเงียบ
เธอไม่ไปได้ไหม
นี่เธอยังไม่ทันเดินออกจากเงาใจ ‘มังกรบิน’ ก็ไม่ให้เธอพักสักนิด…
…
ทุกคนลงชั้นล่างไปจากตำหนักเทียนเกออย่างรวดเร็ว
ผมยังมีธุระ พวกพี่ไปเล่น ชีซิงพูดจบก็หันตัวจากไปคนเดียว
ธุระไร้สาระแกเยอะซะจริง เป่ยโต่วเหลือบมองชีซิงแวบหนึ่งก็ไม่ได้สนใจเขาอีก
เยี่ยหวันหวั่นเห็นชีซิงที่รับมือยากสุดเดินไปแล้วจึงค่อยลอบถอนหายใจโล่งอก
ความรู้สึกนี้เหมือนกับตอนครูประจำชั้นเดินออกจากห้องเรียนชัดๆ …
หลังชีซิงจากไป เป่ยโต่วก็ขับรถ ผ่านไปครึ่งชั่วโมงทั้งสามคนก็มาถึงคาสิโนหรูหราขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
สถานที่อย่างนี้และธุรกิจการพนันสามารถเจอได้ทุกแห่งหนในรัฐอิสระ คาสิโนหรูหราขนาดใหญ่แบบนี้ไม่แปลกตาแม้แต่น้อย
รอบนอกคาสิโนมีเครื่องพนันไฟฟ้าจำนวนหนึ่ง ส่วนด้านในก็เป็นประเภทที่พนันได้ทั้งร่างกายบ้านและชีวิต
พี่ชิวสุ่ย คุณชายเจ็ด…แขกหายากนะครับเนี่ย!
เมื่อพวกเยี่ยหวันหวั่นย่างเท้าเข้าคาสิโน ชายวัยกลางคนสวมชุดสูทเรียบกริบ ใบหน้าสวมรอยยิ้มแย้มผู้หนึ่งก็รีบเข้ามาทักทาย
ว่าไงนะ ไม่เห็นผู้นำพันธมิตรของพวกเราเรอะ เป่ยโต่วที่ผมสีแดงเย่อหยิ่งเป็นเอกลักษณ์พลันแววตาเย็นเยียบ ในดวงตาท้อสวยงามแฝงจิตสังหารทำให้คนสั่นกลัว
อย่ามองว่าเด็กนี่อยู่ต่อหน้าเยี่ยหวันหวั่นแล้วเหมือนสาวน้อยไร้สมอง ตอนอยู่ข้างนอกเขาขู่ขวัญคนเก่งทีเดียว
ได้ยินแบบนั้น ชายวันกลางคนตัวสั่นสะท้าน หันมองเยี่ยหวันหวั่นทันที วินาทีถัดมาก็หน้าเปลี่ยนสี
ผู้นำพันธมิตรอู๋เว่ย!
แบดเจอร์ผู้นำพันธมิตรอู๋เว่ยหายตัวไปตั้งกี่ปี…ไม่น่าเชื่อว่ากลับมาแล้ว…
แต่ในเมื่อเป่ยโต่วพูดว่าเป็นผู้นำพันธมิตรอู๋เว่ย งั้นก็ต้องเป็นแบดเจอร์ไม่ผิดแน่…
ผู้นำพันธมิตร…ไม่เจอกันหลายปี…ผมจำไม่ได้ซะแล้ว เป็นความผิดของผม…แบบนี้ พวกผมขอให้ชิปหนึ่งล้านเหรียญเป็นของขวัญแก่แบดเจอร์ เล่นตามสบายเลยครับ… ชายชุดสูทจ้องเยี่ยหวันหวั่น ปาดเหงื่อไปด้วยยิ้มเอ่ยปากไปด้วย
เยี่ยหวันหวั่นพูดไม่ออก
เจอหน้ากันก็ให้ชิปหนึ่งล้านเหรียญแล้ว…มีหน้ามีตาขนาดนั้นเลยเหรอ…
เยี่ยหวันหวั่นในใจตกตะลึง แต่ภายนอกกลับมีสีหน้าเปี่ยมความไม่พอใจ เอ่ยเสียงเย็นว่า คิดว่าฉันขาดแคลนชิปล้านเหรียญเหรอ
ได้ยินแบบนั้น ชายชุดสูทพลันชะงักก่อนรีบส่ายหน้าเอ่ย เปล่าๆๆ ท่านผู้นำย่อมไม่มีทางขาดแคลนเงินแค่นี้ เป็นกระผมที่พูดผิดไปแล้ว…