บทที่ 330 กลับไปที่ทางแยก
บทที่ 330 กลับไปที่ทางแยก
หลังเสร็จสิ้นภารกิจในกลางดึก ลู่เฉินก็กอดเธอและหลับไป
หลังซูโย่วอี๋ได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอที่ข้างหู เธอก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น และด้วยแสงจันทร์ราง ๆ เธอพินิจดูใบหน้าของลู่เฉินครั้งแล้วครั้งเล่า
ตีสี่แล้ว
ยังมีเวลาอีกยี่สิบแปดนาทีก่อนที่ลู่เฉินจะลืมเธอ
ซูโย่วอี๋ค่อย ๆ แกะมือของลู่เฉินออก จากนั้นเดินออกจากห้องนอนพร้อมกับเสื้อผ้าในอ้อมแขน
เจ้าจิ้งจอกเน่าก็อ่อนไหวเช่นกัน [ซู่จู่ คุณกำลังคิดอะไรอยู่?]
ซูโย่วอี๋ไม่พูด สีหน้าของเธอสงบนิ่ง
ยังคงมีหน้ากากสองอันอยู่บนโต๊ะในห้องนั่งเล่น ซูโย่วอี๋หยิบเขี้ยวสีฟ้าและแหวนเพชรที่ลู่เฉินใส่ออกไป
ส่วนหน้ากากจิ้งจอกนอนอยู่บนนั้นอย่างโดดเดี่ยว
หลังจากเก็บข้าวของของเธอ ซูโย่วอี๋ก็มองไปที่ห้องนอนอย่างอาลัย แต่กลับเห็นลู่เฉินยืนมองเธอนิ่ง ๆ อยู่ที่ประตู
ซูโย่วอี๋ตกใจ “คุณ… คุณตื่นแล้วเหรอ?”
แววตาของลู่เฉินยังคงอ่อนโยน “ผมตื่นทันทีหลังจากที่คุณลุกจากเตียง”
“ตอนแรกผมคิดว่าคุณกำลังจะไปห้องน้ำ แต่รอตั้งนาน ผมไม่ได้ยินเสียงเลยออกมาดู”
“โย่วอี๋ คุณจะแต่งตัวไปไหน?”
ซูโย่วอี๋หลบตา “ฉันจะออกไปเดิน… ไม่สิ หยินหยินโทรหาฉันและบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะบอก ฉันเลยจะรีบไปที่นั่น”
ลู่เฉินขมวดคิ้ว “ไม่ต้องกลัว ผมไม่ได้ว่าคุณ”
“โย่วอี๋ คำโกหกของคุณไม่ฉลาดเลย เราเพิ่งออกจากบ้านของซูหยินเมื่อบ่ายวานนี้ และซูหยินคงไม่เรียกให้คุณให้ไปที่นั่นตอนกลางดึกหรอก”
ริมฝีปากของซูโย่วอี๋เปลี่ยนเป็นสีซีด “ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
ในห้องนั่งเล่นไม่มีเครื่องทำความร้อน ลู่เฉินจึงจามออกมา ซูโย่วอี๋หยิบผ้าห่มจากโซฟามาห่มให้เขา “อย่าเป็นหวัดนะคะ”
ลู่เฉินจับข้อมือของเธอไว้แน่น “คุณจะสวมหน้ากากไปไหน?”
“เหมือนซินเดอเรลล่าที่จะหายไปเมื่อถึงเวลาเหรอ? หรือคุณจะกินแล้วทิ้ง?”
แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะดูล้อเล่น แต่ซูโย่วอี๋ก็รู้ว่าลู่เฉินกำลังโกรธอยู่จริง ๆ
เธอเงยหน้าขึ้นเห็นเข็มนาทีของนาฬิกาบนผนังชี้ไปที่เลขห้า
“ลู่เฉิน ขอเวลาฉันสามนาที ฉันจะออกไปสงบสติอารมณ์สักสามนาที แล้วฉันจะกลับมาสารภาพกับคุณนะคะ?”
มีน้ำตาอยู่ในดวงตาของเธอ ทำให้ลู่เฉินปล่อยมือออกโดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับซูโย่วอี๋ แต่เขาก็ไม่ได้บังคับเธอ
“ตกลง”
ซูโย่วอี๋เดินไปที่ประตูทีละก้าว “ลู่เฉิน คุณต้องเปิดประตูหลังจากสามนาทีนะคะ”
“ถ้าคุณไม่ทำตามข้อตกลงและเปิดประตูก่อนเวลา ฉันจะไม่สนใจคุณอีก”
หลังจากพูดจบ ซูโย่วอี๋ก็ก้าวข้ามธรณีประตู ปิดประตูลง
ในห้อง สมองของลู่เฉินหมุนติ้วอย่างงุนงง แต่ไม่ว่าเขาจะคิดยังไง เขาก็ไม่สามารถนึกถึงเหตุผลเรื่องสามนาทีนี้ของซูโย่วอี๋ได้เลย
เขาเอาแต่จ้องมองที่นาฬิกา
เมื่อตัวเข็มนาทีชี้ไปนาทีที่ยี่สิบแปด ลู่เฉินก็รู้สึกวิงเวียนไปชั่วขณะ คล้ายมีบางอย่างหลุดลอยออกจากร่างกาย
ลู่เฉินยื่นมือออกไปและโบกในอากาศ ราวกับว่าเขาต้องการคว้าบางสิ่งที่สำคัญมากกลับมา
แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ
หลังจากความรู้สึกแปลก ๆ ผ่านไป ลู่เฉินก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความงุนงง
เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงมาอยู่ในห้องนั่งเล่นตอนตีสี่?
เมื่อมองไปรอบ ๆ ลู่เฉินมองไปที่ประตูราวมีแรงดึงดูดบางอย่าง
เพียงกรี๊กเดียว ประตูก็เปิดออก
ไม่มีใครอยู่ข้างนอก ดังนั้นลู่เฉินจึงปิดประตูและกลับไปที่ห้องนอน
เขาเหนื่อยจากการทำงานมากเกินไปงั้นเหรอ?
ซูโย่วอี๋ซ่อนตัวอยู่ในทางเดินหนีไฟ เมื่อเธอได้ยินลู่เฉินเปิดประตู ในใจเธอพลันมีความหวังริบหรี่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่พอประตูปิดลงในไม่ช้า
แม้แต่ความหวังของเธอที่มีก็ถูกดับลง
เจ้าจิ้งจอกเน่าแสดงรูปร่างเดิมของมันและต้องการกอดปลอบซูโย่วอี๋เพื่อให้เธอสบายใจ แต่ตอนนี้มันสูงแค่หน้าอกของซูโย่วอี๋เท่านั้น ไม่สามารถให้ความรู้สึกปลอดภัยกับเธอได้เลย
ทำได้แต่ยอมแพ้
“ซู่จู่ คุณร้องไห้ได้นะถ้าต้องการ”
หัวใจของซูโย่วอี๋เจ็บปวดเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง เธอกุมหน้าอกของตัวเองและก้มลง “เจ้าจิ้งจอกเน่า ฉันเจ็บจัง”
เจ้าจิ้งจอกเน่าตบไหล่ของเธอ “ตราบใดที่คุณไม่คิดถึงลู่เฉิน มันจะไม่เป็นไร”
มันไม่ใช่โรค เป็นเพียงปฏิกิริยาทางร่างกายที่เกิดจากความเศร้าที่เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป ร่างกายของเธอเลยทนไม่ได้
มันจะดีขึ้น
หลังจากที่ซูโย่วอี๋ได้ยินว่าลู่เฉินออกไปแล้ว เธอก็ยืนขึ้นพิงกำแพงอย่างอ่อนแรง และเดินกลับไปที่บ้านเดิมของเธอและลู่เฉิน
เจ้าจิ้งจอกเน่าตามมาข้างหลัง “ซู่จู่ คุณจะทำอะไร?”
ซูโย่วอี๋วางนิ้วชี้ขวาของเธอบนตำแหน่งปลดล็อกลายนิ้วมือ
‘ไม่ได้ลงทะเบียน’
หลังจากพยายามหลายครั้งติดต่อกัน ซูโย่วอี๋ก็ไม่สามารถเปิดได้ ซูโย่วอี๋จึงหันไปใช้รหัสปลดล็อก
แต่ใส่รหัสผ่านกี่ครั้งมันก็ยังผิดจนถูกล็อก
เจ้าจิ้งจอกเน่าทนไม่ได้ [ซู่จู่ เมื่อความทรงจำถูกลบ ทุกอย่างจะเป็นไปตามเหตุและผล ตอนนี้คุณไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับลู่เฉินแล้ว คุณเข้าไปในบ้านนี้ไม่ได้]
ซูโย่วอี๋ถามอย่างงุนงง “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นไม่มีอยู่ในโลกนี้อีกแล้วเหรอ?”
[ใช่ หลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคุณและลู่เฉินเคยอยู่ด้วยกันก็จะหายไป]
…
ซูโย่วอี๋กำลังร่อนเร่อยู่บนถนน ก่อนได้รับสายจากฮันเจ๋อเหยียนที่โทรเข้ามา “[น้องสาว วันนี้จะมีงานแถลงข่าวเวลา 8.30 น. จริงสิ เธออยู่ที่ไหน?]”
“พี่ชาย ฉันเหนื่อยเหลือเกิน”
ฮันเจ๋อเหยียนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น “[พี่จะไปรับเธอ เธอไม่ต้องพูดอะไรในงานแถลงข่าว แต่เธอต้องปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนแล้วหลังจากนั้นพี่จะพาเธอกลับบ้าน ตกลงไหม?]”
ซูโย่วอี๋ยังคงไปที่งานแถลงข่าว
ภายในงาน
การแถลงข่าวครั้งนี้สร้างความฮือฮาไปทั้งเมืองปักกิ่งและประเทศจีน
ใครจะไปคิดว่าลูกสาวของฮันกรุ๊ปจะถูกสับเปลี่ยน และลูกสาวที่แท้จริงของพวกเขาก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากดาราสาวชื่อดังอย่างซูโย่วอี๋!
อินเทอร์เน็ตแทบระเบิด
[พระเจ้า ฮันเอินจีตกถังข้าวสารจริง ๆ ได้รับการเลี้ยงดูจากตระกูลฮันมากว่า 24 ปี]
[ฉันดูโหงวเฮ้งเป็น ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันเห็นโย่วโย่วในรายการ ฉันคิดว่าเธอต้องรวยมากแน่ แต่เธอบอกว่าตัวเองเป็นเด็กกำพร้า ฉันคิดว่าดูผิดไป แต่เหตุการณ์กลับพลิกผันอย่างน่าตกใจ]
[เห็นรูปคุณนายฮันไหม? ทั้งสองคล้ายกันมากกว่า 80 % ไม่จำเป็นต้องทดสอบความเป็นแม่ลูกด้วยซ้ำ]
[ให้ตายเถอะ ฉันก็ว่าอยู่ทำไมซูโย่วอี๋ดูหน้าคุ้น ๆ ที่แท้เป็นเพราะคุณนายฮันนี่เอง ในหมู่ลูกสาวตระกูลดังสมัยก่อน เธอมีชื่อเสียงมากเลย]
[ขอถามหน่อยนะ ถ้าซูโย่วอี๋กลับมาแล้ว แล้วฮันเอินจีจะทำยังไงล่ะ?]
[งานแถลงข่าวไม่ได้บอกเหรอ? ขึ้นกับความปรารถนาของฮันเอินจี เธออยู่ในตระกูลฮันต่อไปในฐานะลูกสาวบุญธรรมได้]
[เอ่อ ตัวจริงกลับมาแล้ว มันไม่น่าอายไปเหรอที่ตัวปลอมอย่างเธอยังอยู่ต่อ?]
[เป็นฉันจะไปนะ ตระกูลฮันจะเลี้ยงดูเธอมามากขนาดนี้ เธอมีมือมีเท้า ทำไมจะทำมาหากินไม่ได้ ดีกว่าอยู่ใต้ชายคาคนอื่น]
[ให้พูดตรง ๆ ผลประโยชน์ที่ฮันเอินจีได้รับจากตระกูลฮันมันมากมายมหาศาล แต่ชื่อเสียงของเธอยังห่างไกลจากซูโย่วอี๋ พูดตามตรง ซูโย่วอี๋ได้รับความนิยมโดยไม่มีตระกูลฮัน แต่ฮันเอินจีอาจจะทำไม่ได้ด้วยซ้ำ]
[การอยู่ในตระกูลฮันน่าจะดีกว่า แม้จะเป็นลูกสาวบุญธรรม แต่ตระกูลฮันก็ใจดีและพวกเขาก็ไม่ได้ปฏิบัติกับเธอแย่ ซูหยินคือคนที่น่าอิจฉามากที่สุด เพราะซูโย่วอี๋ เธอเลยถูกรับเป็นลูกสาวบุญธรรมของตระกูลฮันเหมือนกัน]
[ฮันเจ๋อหยางตาบอดจริง ๆ เขากับซูโย่วอี๋มีจัดการคนเดียวกันแท้ ๆ แต่กลับไม่รู้ตัว]
ภาพถ่ายในงานแถลงข่าวถูกแชร์อย่างบ้าคลั่ง ในสายตาของทุกคน ซูโย่วอี๋กลายเป็นผู้หญิงที่ร่ำรวยในค่ำคืนเดียว บางคนยกย่องความงามและความโชคดีของเธอ แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นอารมณ์หดหู่ของเธอเลย
หลังจากเหตุการณ์นี้ ซูโย่วอี๋นอนอยู่ที่บ้านเป็นเวลาสามวันเต็มก่อนจะลุกจากเตียง จนตระกูลฮันกังวลมาก
เห็นเธอซึม ๆ คนอื่น ๆ ก็ไม่กล้าหายใจแรง เพราะกลัวว่าจะทำให้เธอไม่มีความสุข
เมื่อไม่มีใครอยู่ในห้อง แม้เจ้าจิ้งจอกเน่าจะอยู่กับเธอ แต่มันก็ซ่อนตัวในพื้นที่ของระบบเมื่อมีคนมา
จนกระทั่งมีสายเรียกเข้าจากหมายเลขที่ไม่รู้จัก
ซูโย่วอี๋รับสายพบว่าฝั่งตรงข้ามเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งพูดอย่างอ่อนโยนว่า “[สวัสดีค่ะ คุณซู บริษัทกำลังจะจัดประชุมคณะกรรมการในเช้าวันพรุ่งนี้เพื่อทบทวนสัญญาและทิศทางการพัฒนาของบริษัทสำหรับปีนี้ คุณมีเวลาเข้าร่วมหรือเปล่าคะ?]”
ซูโย่วอี๋งง “คณะกรรมการอะไรคะ? คุณโทรผิดหรือเปล่า?”
“[ขอโทษค่ะ คุณคือคุณซูโย่วอี๋หรือเปล่าคะ?]”
“ใช่ค่ะ”
“[ถูกต้องแล้วค่ะ คุณซื้อหุ้นของเทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์ 20% ในเดือนมกราคมปีนี้ และตอนนี้คุณเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับหนึ่งของ เราค่ะ]”
หญิงสาวอธิบายอย่างอดทน แต่ก็รู้สึกแปลกเช่นกัน ทำไมเธอถึงลืมบริษัทที่พวกเขาลงทุนด้วยไปได้?
ซูโย่วอี๋ไม่เข้าใจสถานการณ์เลย เธอจึงได้แต่วางสายโทรศัพท์และขอให้เธอโทรหาใหม่ในภายหลัง
จากนั้นค้นหาเทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์ในไป๋ตู้ ดูคอลัมน์ที่สองของข้อมูลก็พบว่าชื่อผู้ถือหุ้นคือชื่อของเธอ
เป็นไปได้ยังไงกัน?
เจ้าจิ้งจอกเน่าค้นหาข้อมูลในระบบ [ซู่จู่ ลู่เฉินมอบหุ้น 20% ให้คุณด้วยความสมัครใจ]
แต่เนื่องจากการลบความทรงจำ หุ้นที่ให้เป็นของขวัญจึงถูกเปลี่ยนเป็นการซื้อ
ซูโย่วอี๋ถือโทรศัพท์ด้วยความงุนงง “หมายความว่ายังไง?”
“เขาคงอยากให้ความมั่นใจกับคุณ”
ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้นมองเจ้าจิ้งจอกเน่า
เจ้าจิ้งจอกเน่ากล่าว “เมื่อรู้ว่าคุณกำลังจะกลับไปหาตระกูลฮัน ลู่เฉินก็โอนหุ้นของเขาให้กับคุณ หุ้นเหล่านี้เป็นของคุณโดยสมบูรณ์ แม้จะไม่มีตระกูลฮันและลู่เฉิน คุณก็ยังสามารถมีชีวิตอย่างมีความสุข”
ซูโย่วอี๋สะอื้น “แต่… เรายังไม่ได้แต่งงานกัน”
เจ้าจิ้งจอกเน่าอยากบอกว่าลู่เฉินกำลังวางแผนที่จะขอแต่งงานแล้ว แต่การพูดตอนนี้มีแต่จะทำให้ซูโย่วอี๋เจ็บปวดมากขึ้น [ซู่จู่ ใช้ชีวิตให้ดี อย่าทำผิดต่อความตั้งใจของคุณลู่ที่มีต่อคุณล่ะ]
ซูโย่วอี๋ใช้ความคิดเป็นเวลานาน จากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอขึ้นมาโทรหาลู่เฉิน โทรศัพท์มือถือของเธอยังคงมีหมายเลขของลู่เฉิน แต่บนโทรศัพท์มือถือของลู่เฉิน เธอเป็นเบอร์โทรที่ไม่รู้จัก “[สวัสดีครับ]”
เสียงทุ้ม ๆ ของลู่เฉินดังผ่านโทรศัพท์ราวกับว่ามันผ่านมานานแล้ว “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อซูโย่วอี๋”
ลู่เฉินหยุดมือของเขา “[ประธานซู เกิดอะไรขึ้นครับ?]”
ซูโย่วอี๋พยายามสงบสติอารมณ์ “คือว่าพรุ่งนี้ฉันไม่สามารถมาประชุมคณะกรรมการได้ และมีบางอย่างที่ฉันต้องการบอกคุณ ”
“[เชิญบอกมาได้เลยครับ]”
ลู่เฉินดูสุภาพและห่างเหิน “ในฐานะผู้ถือหุ้น ฉันไม่ต้องการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของบริษัท ฉันจะไม่เข้าร่วมในการประชุมผู้ถือหุ้นหรือคณะกรรมการในอนาคตค่ะ”
ลู่เฉินขมวดคิ้ว “[ผมถามได้ไหมว่าทำไมคุณทำแบบนี้?]”
“เพราะฉันเชื่อในความสามารถของคุณ เหตุผลนี้เพียงพอหรือเปล่าคะ?”
ลู่เฉินหยุดถาม “[ขอบคุณประธานซูสำหรับความไว้วางใจของคุณ]”
ณ จุดนี้ ความสัมพันธ์ของเธอและลู่เฉินก็กลับไปที่ทางแยกอีกครั้ง
นับวันลูกของซูหยินก็โตขึ้นเรื่อย ๆ และผลการตรวจก่อนคลอดแต่ละครั้งก็ดีมาก
ทารกมีสุขภาพแข็งแรงดี
ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของโรงรับจำนำหรือเปล่า แต่ก็ถือเป็นเรื่องดี