สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! – ตอนที่ 109.1 ทำสงครามเย็นกับพญายม (1) (รีไรท์)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

เมื่อได้ยิน ใบหน้าจิ้มลิ้มของเล่อเหยาเหยาตะลึงเล็กน้อย ก่อนมองไปบนตลิ่งที่ไร้ผู้คนนั้น เพราะเมื่อครู่พญายมโดดลงน้ำไปแล้ว

แม้สุดท้ายแล้วพญายมอาจจะใจดีรู้ว่าต้องช่วยเธอ แต่กลับไม่ได้หมายความว่า เธอจะให้อภัยกับเรื่องทั้งหมดที่เขาทำกับเธอ

ถึงแม้ตอนนี้เธอจะเป็นเพียงขันทีน้อยคนหนึ่ง

แต่เธอก็คือคน เป็นคนที่มีศักดิ์ศรี ไม่ใช่เครื่องมือที่คนสูงศักดิ์เช่นเขา คิดอยากเล่นสนุก อยากระบายอารมณ์ก็มาหาเธอ

หลังคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาปีนขึ้นบนตลิ่งอย่างเงียบเชียบ โดยไม่สนใจพญายมด้านหลัง

ฮึ!

เธอตอนนี้โมโหอย่างมาก ดังนั้น ให้เขาค่อยๆ ตามหาเธอไปเถอะ!

เล่อเหยาเหยาในใจแฝงด้วยกลุ่มไฟ แม้จะเปียกปอนทั้งตัว ก็ดับไฟโทสะที่มีในใจเธอไม่ได้ ดังนั้น เธอจึงหมุนตัวเดินจากริมแม่น้ำไปโดยไม่หันไปมองด้านหลัง เดินมุ่งหน้ากลับห้อง

สำหรับเล่อเหยาเหยาที่เพียงเอ่ยว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แต่เมื่อกลับมากลับเปียกปอนไปทั้งตัว ทำให้ทุกคนในห้องจัดเลี้ยงที่หรูหราต่างตกใจ ต่างถามว่าเกิดเรื่องใดขึ้น

เดิมทีเล่อเหยาเหยาที่รู้สึกไม่สบอารมณ์ หลังเห็นสายตาห่วงใยของทุกคน อารมณ์จึงดีมากขึ้น

แต่เธอไม่อยากพูดอะไรมาก เพียงเอ่ยว่าเมื่อครู่ดื่มสุรามากเกินไป เมื่อเดินไปที่ริมตลิ่งไม่ระวังจึงตกลงไปในน้ำ

สำหรับคำพูดของเล่อเหยาเหยา ทุกคนต่างเชื่อว่าคือความจริง รวมทั้งทุกคนต่างก็ดื่มจนเมามายแล้ว ดังนั้นภายในห้องจัดเลี้ยงที่หรูหราจึงเกิดเสียงหัวเราะเฮฮาขึ้นอีกครั้ง

“ฮ่าๆ น้องเหยา เจ้าถ่อมตัวเกินไปแล้ว เมื่อครู่เจ้าคล้ายไม่ได้ดื่มสุรามากนะ”

“ฮ่าๆ ถูกต้อง เดินไปปัสสาวะก็ตกน้ำ เจ้าล้อพวกเราเล่นแล้ว!”

สำหรับเสียงหัวเราะเอะอะของทุกคน เล่อเหยาเหยาเพียงยกมุมปาก ไม่ได้สนใจ

หลูซวงที่นั่งอยู่ด้านข้างเธอ ก็ขมวดคิ้วเข้มแน่น กระทั่งเอ่ยพูดยังดูแฝงความห่วงใย

“พี่เหยา ดูท่านสิเปียกไปทั้งตัวแล้ว พวกเรารีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อนดีกว่า มิฉะนั้นหากโดนความเย็นเข้าจะทำเช่นไร!”

“อืม ได้”

หลังได้ยินคำพูดของหลูซวง เล่อเหยาเหยาพยักหน้าตอบตกลง

แม้ตอนนี้จะเป็นฤดูร้อน แต่สวมเสื้อผ้าที่เปียกชื้นไปทั้งตัว อาจจะไม่สบายได้ง่าย

ดังนั้น หลังจากบอกลาทุกคน เล่อเหยาเหยาจึงเดินไปด้านหน้าตงฟางไป๋ ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า

“พี่ไป๋ เช่นนั้นพวกเราขอตัวก่อนนะ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา ตงฟางไป๋เพียงลุกยืนขึ้น มองใบหน้าเล็กมีรอยยิ้มจางๆ ของเล่อเหยาเหยา ที่มีสีหน้าดูโมโหเล็กน้อย แต่ยังถูกเขาสังเกตเห็น

แม้ไม่รู้ว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอันใดขึ้นระหว่างเหลิ่งจวิ้นอวี๋และเล่อเหยาเหยา แต่ตงฟางไป๋ก็รู้ดีว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีแน่นอน

แต่เขาก็รู้ว่าเล่อเหยาเหยาไม่อยากพูดถึง ดังนั้นเขาจึงไม่เอ่ยถาม

เพียงมองเล่อเหยาเหยาอย่างสงสัยเงียบๆ แวบเดียว พลันยิ้มมุมปากอย่างทำให้มองแล้วมีความสุข ก่อนเอ่ยเบาๆ ขึ้นว่า

“อืม เอาเถิด เช่นนั้นเจ้ากลับไปก่อนเถอะ!”

เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยาก็พยักหน้า และออกไปจากโรงเตี๊ยมหลูอวี้พร้อมกับหลูซวง

เพราะกลัวว่าเล่อเหยาเหยาที่เปียกไปทั่วตัว จะได้รับลมเย็น ดังนั้นหลูซวงจะพูดเช่นไร ก็ไม่ยอมให้เล่อเหยาเหยาไปส่งเธอกลับบ้าน

เล่อเหยาเหยาหลังจากเห็นหลูซวงยืนยันเช่นนั้น และสาบานว่าจะระวังสามรอบ จึงบอกลาหลูซวง เดินมุ่งสู่วังรุ่ยอ๋อง

แม้ตอนนี้จะเป็นฤดูร้อน แต่กลางคืนในฤดูร้อน สายลมที่พัดมายังถือว่าเย็นอย่างมาก

เมื่อพัดผ่านร่างกายที่เปียกชื้นของเธอ ก็ทำให้เล่อเหยาเหยารู้สึกหนาวเย็น

เกรงว่าหากไม่กลับไปเปลี่ยนชุดที่เปียกชื้นนี้ แล้วได้รับลมเย็น ต้องทรมานอย่างยิ่งแน่!

ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงเพิ่มความเร็วของฝีเท้าไม่หยุด รีบร้อนมุ่งกลับวังรุ่ยอ๋อง

หลังจากล้างหน้าแปรงฟัน เล่อเหยาเหยาม้วนตัวอยู่ในผ้าห่มหลับไป

รวมทั้งลมเย็นพัดโชยมา สมองจึงมึนงงและหนัก ดังนั้นเล่อเหยาเหยาเพิ่งนอนลงบนเตียงไม่นาน ก็พลันหลับสนิทไป

แต่ขณะที่เธอหลับฝันอยู่ ที่โรงเตี๊ยมหลูอวี้มีบางคนกำลังพยายามอย่างสุดชีวิต เพราะเธอ

ท่ามกลางคืนที่เงียบสงบเช่นนี้

พระจันทร์ลอยเด่นอยู่ทิศตะวันตก แสงดาวค่อยๆ จางหายไป แม้จะมีเสียงคนพลุกพล่านดังเข้ามาไม่ไกล แต่ก็ค่อยๆ เงียบสงบลง

ทว่าตรงข้ามกับคืนที่แสนสงบ ใจของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ กลับกังวลและหงุดหงิดอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!

ไม่มีร่องรอยของ ‘เขา’!

ยังตามหา ‘เขา’ ไม่พบ!

หรือ ‘เขา’ จะ…

พอนึกถึงความเป็นไปได้ ใจของเหลิ่งจวิ้นอวี๋พลันพรั่งพรูความหวาดกลัวขนาดใหญ่ขึ้นมา แต่มากที่สุดคือความเสียใจ!

หากเมื่อครู่ตนไม่โกรธจนสมองเลอะเลือน เขาก็คงสนใจความไม่ยินยอมของ ‘เขา’ ไม่บีบบังคับจุมพิต ‘เขา’

เขารู้อย่างชัดเจนว่า ‘เขา’ไม่พอใจตน

แม้ ‘เขา’ เป็นเพียงบ่าวผู้หนึ่ง แต่ ‘เขา’ ก็มีความโมโหของ ‘เขา’ เช่นกัน

‘เขา’ ไม่ชอบผู้อื่นบีบบังคับ ‘เขา’ ทำในสิ่งที่ตนไม่ยินยอม ตอน ‘เขา’ โมโหจะฉุนเฉียว ดุร้าย กระทั่งตบตีผู้คนได้

แต่เพราะ ‘เขา’ ที่มีเพียงหนึ่งเดียวไม่มีสองนี้ จึงทำให้เขาคลั่งไคล้และอยากลิ้มลองอย่างไม่รู้เบื่อเช่นนี้

แต่ตอนนี้กลับไม่เห็น ‘เขา’ ไม่ว่าเขาจะใช้เวลามากเพียงใด จนถึงตอนนี้หาไม่พบแม้แต่เงาของ ‘เขา’

เหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน ทั้งสิ้นหวัง ท้อแท้ใจ

หัวใจเจ็บปวดราวถูกกรีดด้วยมีด

หากย้อนเวลากลับไปได้ นั่นน่าจะดีมากเพียงใด…

เขาจะไม่บีบบังคับ ‘เขา’ แม้กระทั่ง ‘เขา’ อยากจากเขาไปแสนไกลย่อมได้แน่นอน เพียง ‘เขา’ ชื่นชอบเท่านั้น

แต่ตอนนี้เป็นไปไม่ได้แล้ว!

พอคิดถึงตรงนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ปวดใจอย่างมาก ในที่สุดก็อดทนไม่ไหว สาดน้ำออกมา ร้องตะโกนสุดเสียง

“อ๊าก…”

การแผดร้องดุจสัตว์ร้ายของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เสียงดังกึกก้อง จนถึงท้องนภา

เหลิ่งจวิ้นอวี๋เวลานี้ คล้ายสัตว์ร้ายที่สูญเสียลูกของตนจนใจแตกสลาย

เสียงคำรามนี้ของเขา ทำให้หนานกงจวิ้นซีที่เพิ่งมาถึงริมตลิ่งตกใจอย่างหนัก

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านเป็นอันใดไป”

หนานกงจวิ้นซีเห็นท่าทางเสียใจของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ จึงรีบร้อนเอ่ยถามขึ้น

เพราะตั้งแต่รู้จักกับศิษย์พี่ใหญ่มานาน ยังไม่เคยเห็นท่าทางเสียอกเสียใจเช่นนี้ของศิษย์พี่ใหญ่มาก่อนเลย ดังนั้นเวลานี้ หนานกงจวิ้นซีจึงตกใจอย่างหนัก

เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่กำลังเสียใจ เมื่อได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี เพียงค่อยๆ หลับดวงตาเย็นชาลง ไม่มองหน้าหนานกงจวิ้นซี เพียงเอ่ยขึ้นอย่างปวดใจและโทษตนเองว่า

“เป็นข้า เป็นเพราะข้า หากไม่ใช่ข้า ‘เขา’ ก็คงไม่ตาย”

“เขาหรือ!”

เมื่อได้ยิน หนานกงจวิ้นซีตะลึงชั่วขณะ คล้ายไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมด

“เขาคือผู้ใด!”

เขาที่ออกจากปากของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ทำให้หนานกงจวิ้นซีสงสัยไม่หยุด

เพราะ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าบนโลกนี้ยังมีคนที่สามารถทำให้ศิษย์พี่ใหญ่เสียใจเช่นนี้ได้

สำหรับความสงสัยของหนานกงจวิ้นซี เดิมทีเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่ยังแช่อยู่ในน้ำ ไม่อยากตอบออกมา เพราะเขาตอนนี้รู้สึกเพียงหัวใจเจ็บปวดราวกับถูกคนใช้มีดกรีดอย่างรุนแรง

ตอนนี้ เขาจึงพบว่าเมื่อสูญเสีย ‘เขา’ เขากลับเจ็บปวดจนแทบไม่อยากมีชีวิตต่อไป

แต่สุดท้าย เหลิ่งจวิ้นอวี๋ยังข่มความเจ็บปวดในใจไว้ เอ่ยกับหนานกงจวิ้นซีที่อยู่บนตลิ่งว่า

“เป็นกระต่ายน้อย เขาตายแล้ว”

“อะไรนะ! กระต่ายน้อยตาย! ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านอย่ามาล้อเล่นกับข้าได้หรือไม่ เมื่อครู่เจ้าหมูน้อย ‘เขา’ ยังมาบอกลาพวกข้า ต่อมา ‘เขา’ ก็จากไปด้วยตนเอง!”

สำหรับคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ทำหนานกงจวิ้นซีตกใจอย่างมาก จากนั้นจึงเอ่ยตามความจริงขึ้น

เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่เดิมทีเสียใจ หลังจากได้ยินคำพูดหนานกงจวิ้นซี ทั่วร่างราวกับถูกฟ้าผ่า ยืนโง่งมอย่างถึงขีดสุด

หลังอึ้งไปชั่วขณะ ค่อยๆ ได้สติ จึงเอ่ยปากด้วยสีหน้าราวคนโง่ว่า

“อะไรนะ! เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อใด”

“หนึ่งชั่วยามก่อน เมื่อครู่เจ้าหมูน้อยเปียกไปทั้งตัวกลับมา บอกว่าตนดื่มสุราจนเมาหล่นลงไปในแม่น้ำ ต่อมา ‘เขา’ ก็จากไปอย่างรวดเร็ว ข้าเห็นท่านหายมานาน จึงออกมาตามหา ศิษย์พี่ใหญ่ มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ!”

ตอนนี้นึกดูแล้ว ท่าทางตอนนี้ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ทำให้หนานกงจวิ้นซีพลันสังเกตได้ว่าต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นระหว่างเขาสองคนแน่นอน

แต่เหลิ่งจวิ้นอวี๋ตอนนี้เห็นชัดว่า ไม่ได้ตอบคำถามของหนานกงจวิ้นซี

เพราะหลังจากได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี ในที่สุดเหลิ่งจวิ้นอวี๋ก็เข้าใจทันที นั่นคือ…

เขาถูกกลั่นแกล้ง!

พอนึกถึงความเสียใจ เจ็บปวดเจียนตาย กระวนกระวายเมื่อครู่ของตน เพียงเพราะ ‘เขา’ ตอนนี้นึกดูแล้วตนช่างเสียสติจริงๆ !

ยิ่งคิด ในใจเหลิ่งจวิ้นอวี๋ยิ่งโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ จนเผาไหม้ลุกโชนขึ้น

ดวงตาเย็นชาที่เดิมทีเต็มไปด้วยความเสียใจ ถูกแทนที่ด้วยเปลวไฟอย่างรวดเร็ว

ใบหน้าหล่อเหลา บนหน้าผากดูเขียวคล้ำ ดวงตาแดงก่ำ จมูกโด่งผลุบเข้าผลุบออก และริมฝีปากรูปกระจับบางเฉียบเม้มแน่นเป็นเส้นตรง เผยความโมโหของเจ้าของออกมา

น้ำเสียงแฝงด้วยความโมโหที่คล้ายกับสัตว์ร้ายที่ถูกยั่ว จนคำรามเสียงดังออกมา

“เสี่ยวเหยาจื่อ”

ขณะเดียวกัน เล่อเหยาเหยาที่กำลังนอนฝันหวานอยู่ พลันสะดุ้งจนตกใจตื่นขึ้นมา

เล่อเหยาเหยาสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ปรือตาขึ้นอย่างสงสัย คิ้วเข้มขมวดชั่วขณะ จุ๊ปากเล็ก ก่อนพึมพำขึ้นว่า

“น่าตายนัก กระทั่งตอนหลับยังฝันถึงพญายมผู้นั้น น่ารังเกียจเสียจริง!”

เล่อเหยาเหยาเอ่ยพึมพำขึ้น จากนั้นก็ปิดตาลง หลับไปอีกครั้ง

เดิมทีเล่อเหยาเหยาคิดว่า ตนจะหลับสนิทตลอดคืนจนถึงเช้า ผู้ใดจะรู้ว่าค่อนคืนต่อมา เธอจะตกใจจนตื่นขึ้นอีกครั้ง

เห็นชัดว่าอากาศร้อนจัด แต่เล่อเหยาเหยากลับถูกปลุกจากความเย็น

ทั่วร่างหนาวสั่น เล่อเหยาเหยาหลับอยู่อย่างสะลืมสะลือ สมองยังมึนงง แต่ความเย็นบนร่างกาย ทำให้เธออดยื่นมืออกไปสัมผัสไม่ได้ จึงคิดเลิกผ้าห่มที่ห่มอยู่ออก

คิดไม่ถึง มือเล็กของเธอเพิ่งยื่นออกไปยังจับไม่ถึงผ้าห่ม บนหลังมือกลับเย็น คล้ายมีบางสิ่งหล่นลงมาที่มือของเธอ

“เอ๊ะ”

เล่อเหยาเหยาที่เดิมทีหลับสะลืมสะลือ มีสติเพียงสามส่วน ตอนนี้พอรู้สึกถึงความเย็นบนหลังมือ ทำให้สติของเธอพลันหายจากการง่วงงุน

เพราะบนเตียงของเธอจะมีน้ำมาจากที่ใดกัน!

หรือว่าฝนตก!

แต่หากฝนตก ภายในห้องของเธอไม่ควรมีน้ำ หรือว่าหลังคารั่ว!

Next

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

Status: Ongoing
เมื่อเด็กสาวจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดข้ามเวลามายุคโบราณ อยู่ในร่างขันทีที่เป็นสตรีปลอมตัวมา ทว่าต้องปรนนิบัติพญายมผู้เกลียดชังผู้หญิงยิ่งกว่าสิ่งใด… งานนี้จะมี ‘รัก’ หรือมี ‘รอด’ กันนะ!นิยายแปลจีนโบราณ โรแมนติก-คอเมดี้ สุดฟิน จิกหมอนไปขำไป!จู่ๆ ‘เล่อเหยาเหยา’ เด็กสาวที่ข้ามเวลามาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดฟื้นขึ้นมาในร่างของผู้หญิงที่ปลอมตัวเป็นขันที ใช้ชีวิตอยู่ในยุคเทียนหยวนที่ไม่มีบันทึกในประวัติศาสตร์แถมยังได้รับหน้าที่ปรนนิบัติ ‘เหลิ่งจวิ้นอวี๋’ ท่านอ๋องแห่งวังรุ๋ยอ๋องผู้ที่อารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แย้มยิ้มสนทนาขณะสังหารคนโดยไม่กะพริบตา จนทุกคนต่างขนานว่า ‘พญายม’ทั้งยังมีเสียงเล่าลือกันอีกว่า รุ่ยอ๋องคนนี้เกลียดชังผู้หญิง ชนิดที่ห้ามผู้หญิงเข้าใกล้เกินห้าก้าว!ทว่า วันหนึ่งพญายมเกิดสนใจในตัวเธอขึ้นมาเธอจะทำเช่นไร เพื่อรักษาชีวิต และความลับที่ว่าแท้จริงแล้วเธอคือ ‘ผู้หญิง’…รวมไปถึง เรื่องที่จู่ๆ ผู้หญิงในร่างขันทีน้อยคนนี้เกิดตั้งครรภ์โดยไม่คาดคิดได้เสียนี่!สวรรค์! ได้โปรดให้ฟ้าผ่าแล้วพาเธอกลับไปโลกเดิมที!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท