สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! – ตอนที่ 137 เรียนพิณ (รีไรท์)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

ค่ำคืนไร้ความฝัน เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงหลับสบายอย่างมาก

หลังอดที่จะยืดแขนบิดเอวครู่หนึ่งไม่ได้ ค่อยๆ ลืมตาคู่งามที่แฝงความสะลืมสะลือขึ้นมา

เห็นเพียงเวลานี้ กำลังเป็นช่วงเช้าตรู่

พระอาทิตย์สีทองด้านนอกนั้น สาดทะลุหน้าต่างที่เปิดอ้าไว้เข้ามา ทำให้ห้องสว่างจ้า

เห็นเช่นนั้น เดาว่าอากาศวันนี้ต้องเป็นท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งแน่

ขณะคิดในใจ เล่อเหยาเหยาค่อยๆ ยกมุมปากขึ้น ก่อนปรากฎรอยยิ้มขึ้นมา

แต่เธอยิ้มมุมปากได้ไม่นาน พลันคล้ายฉุกคิดขึ้นมาได้ ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง แววตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

เมื่อคืนคล้ายพญายมอุ้มเธอ จนสุดท้ายเธอคล้ายง่วงนอน เรื่องหลังจากนั้น เธอจำไม่ได้ทั้งสิ้น!

ตอนนี้ เธออยู่ในห้องของตน นอนอยู่บนเตียงของตนอย่างปลอดภัย หากเมื่อคืนตนหลับไป คงเป็นพญายมที่อุ้มเธอกลับมา!

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาตกตะลึง จนกระทั่งนิ้วเท้าสั่นเทิ้มชั่วขณะ

แม้เมื่อคืนจะดึกดื่น ทว่าภายในวังอ๋องยังมีเหล่าองครักษ์ที่เฝ้ายาม และอยู่ที่หน้าประตูแน่

หรือพญายมเขาจะไม่สนใจความเห็นของผู้อื่น!

แต่ว่าเธอเป็นเพียงบ่าวตัวเล็กผู้หนึ่ง!

ยิ่งคิด เล่อเหยาเหยาขมวดคิ้วแน่น ดูท่าทางสับสน

แต่ว่า สุดท้ายท้องก็ส่งเสียงร้อง ‘จ๊อกๆ’ ออกมา ทำให้ความยุ่งยากใจทั้งหมดของเธอพลันสลายไป

เพราะไม่ว่าเรื่องใดต้องทำให้ท้องอิ่มก่อน จึงจะมีแรงในการขบคิด มิใช่หรือ!

หลังคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยารีบร้อนล้างหน้าหวีผมให้เสร็จ คิดไปที่ห้องของพญายม เพื่อปรนนิบัติเขาล้างหน้าหวีผม รอส่งเขาเข้าวังหลวง ตนจึงจะสามารถไปทานอาหารเช้าได้

อาจเป็นเพราะเมื่อคืนถูกพญายมอุ้มกลับมา เมื่อเล่อเหยาเหยาเจอพญายม จึงอดขวยเขินไม่ได้ กระทั่งใบหน้าของเธอก็แดงก่ำเล็กน้อย พลันก้มหน้าเล็กลง ก่อนจะปรนนิบัติพญายมล้างหน้าหวีผมอย่างรวดเร็ว และตั้งแต่ต้นจนจบ สายตาเธอก็ไม่กล้ามองหน้าชายหนุ่มตรงหน้าเลย

กระทั่งในที่สุดหลังจากสวมเสื้อผ้า หวีผมให้ชายหนุ่มเสร็จเรียบร้อย เล่อเหยาเหยาจึงเอ่ยปากเบาๆ ขึ้นว่า

ท่านอ๋อง เรียบร้อยแล้ว”

“อืม”

สำหรับคำพูดของเล่อเหยาเหยา ชายหนุ่มเพียงขานรับเบาเบาๆ พลันลุกขึ้นจากหน้าโต๊ะแต่งตัว

ทันใดนั้น เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงดวงตาพลันมืดมิด นั่นเป็นเพราะชายหนุ่มยืนอยู่ตรงหน้าเธอ บดบังแสงแดดด้านนอกเอาไว้หมด

เล่อเหยาเหยาจึงอดเงยหน้าขึ้นมองไปยังชายหนุ่มไม่ได้

เห็นเพียงวันนี้ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมหมางผาวสีดำปักลายเมฆ เอวคาดด้วยสายรัดเอวฝังเพชรพลอย เท้าสวมรองเท้าสีดำเช่นเดียวกับเสื้อคลุมหมางผาว

มวยผมยาวสีดำสนิท ใช้กวนหยกสีทองรวมไว้แน่น ทำให้ใบหน้าเขานั้นยิ่งดูองอาจน่าเกรงขาม หล่อเหลาเหนือผู้ใด

และเพราะว่าเขาหันหลังให้หน้าต่าง แสงแดดสีทองด้านนอกหน้าต่าง กำลังสาดตกมาที่ด้านหลังของเขา ดุจสายน้ำสีทองที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บนตัวของเขา

ทำให้ร่างกายผอมสูงของเขานั้น มีเค้าโครงที่เด่นชัด ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น

สายลมพัดเอื่อย ทำให้เสื้อผ้าเขาปลิวไสว ผมยาวดำสลวย ปลิวพริ้วอยู่ด้านหลังอย่างงดงาม

ชายงามมีเสน่ห์ สุขุมในชุดสีดำ รูปร่างงามสง่า ดุจมังกรคะนอง สีหน้าดุดัน มีเพียงผู้มีอำนาจถึงจะมีความสง่างามและสูงส่งเช่นนี้

เวลานี้ เขายืนอยู่กลางแสงแดด ทำให้เขาดูดุจเทพเซียนจากสวรรค์ ทำให้คนอดหมอบคลานอยู่ด้านล่างเขาไม่ได้

ขณะที่เล่อเหยาเหยามองพลางอุทานในใจ ใบหน้าเล็กตะลึงเล็กน้อย พลันกลับเป็นชายหนุ่มที่หัวเราะขึ้นมา

“ข้าคิดว่า เจ้าจะไม่กล้ามองข้าเสียอีก”

เสียงต่ำอ่อนโยนน่าลุ่มหลง แฝงด้วยเสน่ห์เจ็ดส่วน อ่อนโยนสามส่วน ทว่าดุจสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางใจเล่อเหยาเหยา

เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ใบหน้าจิ้มลิ้มของเล่อเหยาเหยาตกตะลึงเล็กน้อย ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง พลันคล้ายฉุกคิดได้ เกิดเสียง ‘เปรี้ยง’ ดังขึ้นใบหน้าจิ้มลิ้มแดงก่ำอย่างรวดเร็ว สีหน้าขวยเขินอย่างสุดที่จะบรรยาย

ทว่าในใจกลับอึดอัด

สายตาพญายมร้ายกาจ เรื่องเล็กเพียงใดต่างรับรู้ได้

เพราะเรื่องเมื่อคืน ทำให้เธอไม่รู้จะเผชิญหน้ากับพญายมเช่นไร ดังนั้น จึงเพียงก้มหน้าทำงาน

คิดไม่ถึง ความจริงพญายมต่างลอบมองเธออยู่ตลอด

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงสองแก้มคล้ายถูกไฟแผดเผา แม้ไม่ส่องกระจก เธอก็รู้ว่า ตนต้องหน้าแดงแน่นอน

ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงก้มใบหน้าแดงก่ำนั้นลงอีก ก่อนเอ่ยอย่างเหนียมอายว่า

“บะ…บ่าว”

เล่อเหยาเหยาเอ่ยคำว่าบ่าวอยู่นาน เวลานี้ไม่รู้ควรเอ่ยสิ่งใดดี สุดท้ายเพียงหยุดพูดไป

พลางหงุดหงิดในใจ วันนี้ลิ้นของเธอถูกแมวคาบหายไปหรือ! เหตุใดเมื่อเผชิญหน้ากับพญายม จึงพูดไม่ออกเช่นนี้

ขณะที่เล่อเหยาเหยาพึมพำในใจ ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะเบาๆ จากเหนือศีรษะ

ตามมาด้วย น้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงด้วยเสน่ห์ของพญายม

“ไป… ไปปรนนิบัติข้าทานอาหารเช้าได้แล้ว”

“อ้อ ได้พ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม เล่อเหยาเหยาจึงหายเขินอาย

ก่อนเห็นชายหนุ่มเดินผ่านเธอไป ก้าวเท้าไปด้านหน้า เธอก็เพียงวิ่งตามชายหนุ่มไป

อาหารเช้าถูกจัดเตรียมไว้แล้ว หัวหน้าขันทีลี่ คอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง หลังรายงานเรื่องภายในวังอ๋องแก่เหลิ่งจวิ้นอวี๋เสร็จ ก็ขอตัวออกไป

ขณะที่ถอยตัวออกไป หัวหน้าขันทีลี่ ส่งสายตามองมาที่เล่อเหยาเหยา ทำให้เล่อเหยาเหยาประหลาดอย่างแท้จริง

พักนี้เธอคล้ายไม่ได้ทำผิดเรื่องใด!

สายตาแปลกประหลาดเมื่อครู่ของหัวหน้าขันทีลี่คือสิ่งใด!

เมื่อหาเหตุผลไม่ได้ เล่อเหยาเหยาจึงไม่ใส่ใจ

คิดเพียงรอให้พญายมทานอาหารเช้าเสร็จแล้วเข้าวังหลวงไป เธอก็สามารถไปทานอาหารเติมท้องที่ว่างเปล่าของตน

คิดไม่ถึง หลังจากเล่อเหยาเหยาทานอาหารเช้าเสร็จ กลับมายังตำหนักหย่าเฟิง กลับเห็นภายในตำหนักหย่าเฟิง มีเงาร่างสูงใหญ่ของพญายมยืนอยู่ในเก๋งหยกขาวบริเวณสวนดอกไม้

ตอนแรก เล่อเหยาเหยาเดิมทีคิดว่าตนตาลาย เพราะปกติเวลานี้ พญายมมิใช่เข้าวังหลวงหรือ เหตุใดตอนนี้ยังอยู่ที่นี่!

อาจเพราะรับรู้ถึงสายตาของเล่อเหยาเหยา ชายหนุ่มที่เดิมทียืนหันหลังให้เธออยู่ในเก๋ง พลันหมุนตัวกลับมา

ตะวันลอยเด่น ส่องแสงสดใสอยู่บนท้องฟ้า แสงอาทิตย์ที่งดงามนั้น ยังคงมีเสน่ห์ไม่เสื่อมคลาย ทว่าเพราะเป็นหน้าร้อน อุณหภูมิเวลานี้จึงอบอุ่นพอดีเมื่อสาดส่องมาที่ร่างกาย

ส่วนชายหนุ่มยืนอยู่ข้างรั้วของเก๋ง ภาพชายหนุ่มรูปงาม ตั้งตารอคอยนั้น งดงามน่ามองจนยากที่เขียนบรรยายออกมาได้

ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงถูกภาพด้านหลังเลือนรางของชายหนุ่มทำให้ตกตะลึงอย่างหนัก

ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง ร่างกายแข็งทื่อ ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน

ตกใจ สติหลุดจนสุดที่จะบรรยายออกมาได้

อาจเป็นเพราะรับรู้ถึงการตกตะลึงของเล่อเหยาเหยา ชายหนุ่มยังคงหัวเราะอย่างมีเสน่ห์ แล้วก็กวักมือเรียกเล่อเหยาเหยา

“มานี่”

“พ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม เล่อเหยาเหยาจึงได้สติรู้ตัวอีกทีว่า ตนทำเรื่องน่าอายอีกแล้ว ใบหน้าจิ้มลิ้มพลันแดงก่ำ ทว่ายังไม่คิดให้ละเอียด ก็ก้มศีรษะเดินเข้าไปในเก๋ง

เดิมทีคิดว่าพญายมเพราะมีเรื่องด่วนบางอย่าง จึงไม่เข้าวัง คิดไม่ถึง เมื่อเล่อเหยาเหยาเข้ามาในเก๋ง กลับได้ยินชายหนุ่มเอ่ยปากว่า

“เมื่อคืนเจ้าเอ่ยว่าชอบเรียนพิณมิใช่หรือ วันนี้ข้าจะสอนเจ้าเอง”

“อะไรนะ!”

เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม เล่อเหยาเหยาอดสูดหายใจไม่ได้ เงยดวงตาคู่งามบนใบหน้าที่ตกตะลึงขึ้น มองไปยังชายหนุ่มตรงหน้า ก่อนแปลกใจ

วันนี้ชายหนุ่มคงมิใช่ตั้งใจอยู่เพื่อสอนพิณเธอหรอกนะ!

แต่เรื่องทั้งหมดนี้ เทียบกับกิจการงานเมืองที่ใหญ่หลวงไม่ได้มิใช่หรือ!

อาจเพราะรู้ถึงความในใจของเล่อเหยาเหยา ชายหนุ่มจึงเพียงเอ่ยปากเบาๆ ว่า

“พักนี้ในวังหลวงมิมีเรื่องใหญ่ที่สำคัญ เรื่องอื่น มีคนจัดการอยู่แล้ว”

เล่อเหยาเหยาได้ยิน เพียงตอบรับเบาๆ

ทว่าสิ่งที่เล่อเหยาเหยาไม่รู้คือ ช่วงเวลานี้เหลิ่งจวิ้นอวี๋ ได้ขอหยุดพักผ่อนหลายวัน

เพราะคนมิใช่เครื่องจักร จึงจำเป็นต้องหาวันพักผ่อน

ประจวบเหมาะกับที่รู้ว่าเล่อเหยาเหยาอยากเรียนพิณ ดังนั้นเหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงอยู่ที่วังอ๋อง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาน่ารำคาญภายนอก

แต่เรื่องเหล่านี้ เขามิอาจเอ่ยกับเล่อเหยาเหยาได้

ส่วนเล่อเหยาเหยาไม่รู้ความคิดในใจของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ หลังจากรับคำ สายตาก็กวาดมองครู่หนึ่ง จึงพบว่าที่แท้ภายในเก๋งหยกขาวมีพิณกู่ฉินหยกขึ้นมาตัวหนึ่งไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด

เห็นเพียงพิณกู่ฉินนี้ สร้างขึ้นจากหยกขาวมันแพะชั้นดีทั้งตัวอย่างไร้ที่ติ เพียงมองดูก็รู้ว่ามีค่าควรเมือง

เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาอดอุทานในใจไม่ได้

พญายมก็คือพญายม สิ่งของที่ใช้ก็ย่อมแตกต่างจากคนทั่วไป!

ขณะที่อุทานในใจ เพียงเห็นชายหนุ่มเดิมทีที่ยืนอยู่ด้านข้าง หมุนตัวกลับมา ม้วนชายเสื้อ แล้วนั่งลงหน้าพิณ

เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาก็รู้ว่าพญายมต้องการดีดพิณ

คิดดูแล้ว อยู่ในวังอ๋องมาระยะหนึ่งแล้ว นอกจากครั้งแรกที่มาที่นี่ บางคืนได้ยินเสียงขลุ่ยของพญายม ก็ไม่รู้เลยว่า พญายมจะยังดีดพิณได้ด้วย

และไม่รู้เลยว่าพิณของพญายม เมื่อเทียบกับตงฟางไป๋ ผู้ใดจะยอดเยี่ยมกว่ากัน

ขณะคิดในใจ เล่อเหยาเหยาถือวิสาสะนั่งลงด้านข้าง มองชายหนุ่มที่นั่งอยู่หน้าพิณเงียบๆ

เห็นเพียงชายหนุ่มหลังจากนั่งลง ก็สะบัดมือขวาเบาๆครู่หนึ่ง ทันใดนั้น เสียงเพลงที่ไพเราะ พลันไหลออกมาจากปลายนิ้วของชายหนุ่ม

เสียงพิณนั้น ลื่นไหลดุจสายน้ำ เนิบช้าทว่ายังงามสง่า ทำให้ใจคนฟังเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงพิณโดยไม่รู้ตัว

เดิมคิดว่าพญายมจะดีดพิณอย่างสง่าราบเรียบ

คิดไม่ถึง เมื่อถึงส่วนท่อนกลาง เดิมทีเสียงพิณที่สง่างามที่ไม่อาจสูงขึ้นได้พลันเปลี่ยนไป เสียงพิณช่วงถัดมาจึงพลันเปลี่ยนไปเร้าใจขึ้น เสียงพิณสูงนั้น ดุจเสียงร้องบ้าคลั่งของห่าน เศร้าโศกเสียใจ ตื่นเต้นร้อนรน ไร้ที่สิ้นสุด

เพียงบทเพลงนี้ เล่อเหยาเหยาก็ตกตะลึงจนสติเลื่อนลอย ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง ก่อนจ้องมองไปยังชายหนุ่มตรงหน้า

พิณสะท้อนตัวตนผู้เล่นจริงๆ เสียงพิณของทุกคน ต่างแตกต่างกันออกไปตามตัวบุคคล

ดังเช่นพญายมและตงฟางไป๋ ชายหนุ่มทั้งสองคนแตกต่างกันอย่างมาก

…………………………………..

Next

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

Status: Ongoing
เมื่อเด็กสาวจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดข้ามเวลามายุคโบราณ อยู่ในร่างขันทีที่เป็นสตรีปลอมตัวมา ทว่าต้องปรนนิบัติพญายมผู้เกลียดชังผู้หญิงยิ่งกว่าสิ่งใด… งานนี้จะมี ‘รัก’ หรือมี ‘รอด’ กันนะ!นิยายแปลจีนโบราณ โรแมนติก-คอเมดี้ สุดฟิน จิกหมอนไปขำไป!จู่ๆ ‘เล่อเหยาเหยา’ เด็กสาวที่ข้ามเวลามาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดฟื้นขึ้นมาในร่างของผู้หญิงที่ปลอมตัวเป็นขันที ใช้ชีวิตอยู่ในยุคเทียนหยวนที่ไม่มีบันทึกในประวัติศาสตร์แถมยังได้รับหน้าที่ปรนนิบัติ ‘เหลิ่งจวิ้นอวี๋’ ท่านอ๋องแห่งวังรุ๋ยอ๋องผู้ที่อารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แย้มยิ้มสนทนาขณะสังหารคนโดยไม่กะพริบตา จนทุกคนต่างขนานว่า ‘พญายม’ทั้งยังมีเสียงเล่าลือกันอีกว่า รุ่ยอ๋องคนนี้เกลียดชังผู้หญิง ชนิดที่ห้ามผู้หญิงเข้าใกล้เกินห้าก้าว!ทว่า วันหนึ่งพญายมเกิดสนใจในตัวเธอขึ้นมาเธอจะทำเช่นไร เพื่อรักษาชีวิต และความลับที่ว่าแท้จริงแล้วเธอคือ ‘ผู้หญิง’…รวมไปถึง เรื่องที่จู่ๆ ผู้หญิงในร่างขันทีน้อยคนนี้เกิดตั้งครรภ์โดยไม่คาดคิดได้เสียนี่!สวรรค์! ได้โปรดให้ฟ้าผ่าแล้วพาเธอกลับไปโลกเดิมที!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน