สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! – ตอนที่ 142 แม่น้ำรั่วสามพันลี้ เพียงหนึ่งจอกก็ดับกระหาย (1) (รีไรท์)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

เพียงแต่สายตาน่าสงสารของเหนียนซูหลาน เหลิ่งจวิ้นอวี๋คล้ายมองไม่เห็น ดวงตาเย็นชาคู่นั้น ลึกล้ำ เรียบเฉย ราวกับบ่อน้ำพันปี ทำให้คนมองความคิดในใจเขาไม่ออก

หลังผ่านไปนาน เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงเอ่ยขึ้นเบาๆ ท่ามกลางการรอคอยของทุกคน

“ลูกเอ่ยได้เพียง แม่น้ำรั่วสามพันลี้ เพียงหนึ่งจอกก็ดับกระหาย[1] หากลูกมีคนที่ชื่นชอบ ย่อมแต่งกับ ‘เขา’ ”

น้ำเสียงเหลิ่งจวิ้นอวี๋หนักแน่นอย่างยิ่ง แต่ความหมายยังไม่ชัดเจน และทำให้คนแยกแยะไม่ได้ว่าคนที่เขาชื่นชอบคือผู้ใด หรือไม่มีตัวตน

เห็นเช่นนั้น แม้ไทเฮาจะร้อนใจ ทว่ากลับไม่รู้จะรับสั่งสิ่งใด

และเวลานี้หัวใจของเหนียนซูหลาน กลับว่างเปล่า

แววตาปรากฏความผิดหวังแวบขึ้นมา

เพราะเห็นชัดว่าถึงแม้ว่าเหลิ่งจวิ้นอวี้จะมีคนชื่นชอบ ทว่าคนผู้นั้นไม่ใช่เธอแน่นอน

มิฉะนั้น หากเขามีความรู้สึกต่อเธอ รับสั่งเมื่อครู่ของไทเฮานั้น เขาสามารถพายเรือตามน้ำไปได้ ทว่าเขากลับปฏิเสธอย่างหนัก นี่มิใช่ดอกไม้ร่วงมีความนัย สายน้ำไหลผ่านเลยไป กลับไร้ใจตอบไม้งาม[2]หรือ!

ขณะเหนียนซูหลานเศร้าเสียใจ เล่อเหยาเหยาที่ยืนอยู่ด้านหลังของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เวลานี้สงสัยในใจไม่หยุด

ประโยคนี้ของพญายมหมายความเช่นไรกันแน่!

เขามีคนที่ชื่นชอบหรือว่าไม่มีกันแน่!

ทว่าแม้ไม่รู้ถึงเรื่องนี้ แต่คำพูดนี้ของเขามีสิ่งหนึ่งที่สามารถยืนยันได้ นั่นคือความจริงพญายมยังมีความรู้สึก!

แม่น้ำรั่วสามพันลี้ เพียงหนึ่งจอกก็ดับกระหาย…

เมื่อการหยั่งเชิงเรื่องการแต่งงานของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ของไทเฮาล้มเหลว หลังอยู่ที่ทะเลสาบซีหู ดื่มพวกชาผลไม้ ก็ทรงเหน็ดเหนื่อยแล้ว

เพราะผู้สูงอายุร่างกายมิสู้คนหนุ่มสาว ฮองเฮาเห็นเช่นนั้น จึงรับสั่งพาไทเฮาเสด็จกลับ ฮ่องเต้เห็นจึงเสด็จกลับวังเช่นกัน

ดังนั้น ไทเฮา ฮ่องเต้ และฮองเฮา จึงเสด็จกลับวังพร้อมการอารักขาขององครักษ์หลายนาย

เพราะเหล่าผู้ทรงคุณค่าจากไปแล้ว คนที่เหลือภายในเก๋งพักร้อน จึงเปลี่ยนมาสนทนากันมากขึ้น

ตงฟางไป๋ก็ให้เล่อเหยาเหยานั่งลงดื่มพวกชาผลไม้

เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น จึงไม่เกรงใจ

เพราะยืนอยู่เป็นเวลานาน เธอจึงเหนื่อยล้า

ดังนั้น หลังทานพวกชาผลไม้ เล่อเหยาเหยาเสนอให้ไปลอยกระทงที่ทะเลสาบซีหู

คิดไปแล้ว กระทงของพวกเขา ต่างยังอยู่ในมือ!

เวลานี้แม้จะดึกมากแล้ว

แต่เพราะเทศกาลดอกบัวหนึ่งปีมีเพียงหนึ่งครั้ง บนทะเลสาบซีหูจึงมีผู้คนเดินขวักไขว่ เบียดเสียดหนาแน่น

ทะเลสาบซีหูตอนกลางวัน ทิวทัศน์งดงาม

ผิวน้ำแวววาวระยิบระยับ กลุ่มภูเขาทอดยาวอยู่ไกลลิบ ฝูงปลาแหวกว่ายสนุกสนานในน้ำ รวมเข้ากับดอกบัวเต็มทะเลสาบ ชูช่ออวดโฉมหลากหลาย งดงามเกินคำบรรยาย ดุจภาพวาดหมึกอันเลื่องชื่อ

แม้ทะเลสาบซีหูตอนกลางคืน จะไม่ได้มีสีสันเช่นกลางวัน แต่กลับมีเสน่ห์อีกแบบ

เห็นเพียงเวลานี้ พระจันทร์ลอยเด่น ล้อมด้วยหมู่ดาว กลางท้องนภาที่มืดมิด หลอมรวมเป็นหนึ่งกับผืนดิน โดยไม่แบ่งแยก

บนทะเลสาบซีหูที่มืดมิดนั้น กลับมีกระทงลอยคว้างอยู่อย่างประณีตงดงาม

เห็นเพียงเทียนไขที่ถูกจุดในกระทงเหล่านี้ ทำให้ดอกบัวคล้ายเบ่งบานอวดโฉมกลางค่ำคืนอย่างงดงาม!

เมื่อหาตำแหน่งที่เหมาะสมได้ เล่อเหยาเหยาก็หยิบเทียนจุดกระทงของตน ปล่อยลงในแม่น้ำ เห็นกระทงของตนไหลไปตามสายน้ำ พลันพนมมือขึ้นอธิษฐานอย่างจริงใจครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลืมตาขึ้น

ชำเลืองมองเห็นตงฟางไป๋ที่อยู่ด้านข้างกำลังโค้งตัวลง ปล่อยกระทงของตนลงในแม่น้ำพลันแปลกใจ เล่อเหยาเหยาจึงเอ่ยถามขึ้นว่า

“พี่ไป๋ ปีนี้ท่านขอพรสิ่งใดหรือ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา ตงฟางไป๋มีสีหน้าตะลึงงัน พลันยกริมฝีปากแดงขึ้น ยิ้มอย่างสง่าอบอุ่น

แต่ตงฟางไป๋ยังไม่ทันเอ่ยปากออกมา หนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้าง กลับคล้ายเป็นพยาธิในท้องของตงฟางไป๋ เอ่ยปากขึ้นมาว่า

“นี่ไม่ต้องพูดหรอก ต้องหวังให้พบน้องสาวที่สูญหายไปหลายปีของเขาแน่นอน!”

เพราะความปรารถนาในหลายปีนี้ของตงฟางไป๋ คือสิ่งนี้มาตลอด

เล่อเหยาเหยาเมื่อได้ยิน ขมวดคิ้มเข้มเล็กน้อย สายตามองไปยังตงฟางไป๋อย่างไม่ลดละ

แม้ปกติชายหนุ่มตรงหน้าจะดูสดใส ทว่าความจริงเขาไม่อยากเผยความทุกข์ในใจตนออกมา

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาคล้ายฉุกคิดขึ้นได้ จึงเอ่ยถามขึ้น

“ยังไม่พบน้องสาวท่านหรือ!”

หลายวันก่อนตงฟางไป๋ก็เอ่ยถึงเรื่องน้องสาวที่สูญหายไปเมื่อหลายปีก่อนกับเธอ ดังนั้นสำหรับเรื่องนี้ เล่อเหยาเหยาจึงไม่แปลกใจ

แต่เห็นตงฟางไป๋ไม่เคยล้มเลิกในการตามหาน้องสาวของตน ทำให้เธอเห็นใจตงฟางไป๋อย่างมาก

หากตามหาไม่พบตลอดชีวิตล่ะ! ตงฟางไป๋ต้องเสียใจอย่างมากแน่นอน!

เล่อเหยาเหยาคิดในใจ เห็นตงฟางไป๋หลังได้ยินคำพูดของเธอ เพียงพยักหน้าเบาๆ แววตาปรากฏความเสียใจขึ้นมา

เล่อเหยาเหยาเห็นท่าทางเสียใจของตงฟางไป๋ ในใจอดห่วงใยไม่ได้ ดังนั้นเพื่อปลอบใจตงฟางไป๋ จึงเอ่ยปากโดยไม่คิดขึ้นว่า

“หากข้าคือน้องสาวของท่านคงดียิ่งนัก”

เช่นนี้ เขาไม่ต้องตามหาอย่างยากลำบากเช่นนั้น

ความจริง เล่อเหยาเหยาพูดเช่นนี้ ทว่าในใจกลับไม่ได้คิดมากสิ่งใด เพราะเธอทราบว่าเวลานี้ความจริงคงไม่บังเอิญเช่นนั้น เธอจะเป็นน้องสาวของตงฟางไป๋ได้อย่างไร!

คิดไม่ถึง หลังเธอเอ่ยประโยคนี้จบ ตงฟางไป๋ที่อยู่ด้านข้าง กลับมีสีหน้าตะลึงงัน เห็นชัดว่าถูกประโยคนี้ของเล่อเหยาเหยาทำให้ตกตะลึง

ทว่าตงฟางไป๋ตะลึงอยู่เพียงชั่วขณะ พลันได้สติ แต่สายตาที่มองเล่อเหยาเหยากลับดูลึกลับ

ตงฟางไป๋ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา กลับเป็นหนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยาทนไม่ไหว จึงหัวเราะเสสรวลขึ้นมา

“ฮ่าๆ เจ้าบ่าวผู้นี้ พูดจาน่าขันนัก เจ้าจะเป็นน้องสาวของไป๋ได้เช่นไร น้องสาวเขาเป็นสตรี ส่วนเจ้าเป็นขันที จริงๆ เลย!”

“ฮึ บ่าวเพียงพูดเท่านั้น หรือแค่พูดก็ไม่ได้!”

เห็นหนานกงจวิ้นซีหัวเราะอย่างไม่เกรงใจ ตอนนี้เล่อเหยาเหยาจึงขบคิด และรู้สึกว่าประโยคนี้ของตนน่าขันเล็กน้อย

เพราะเธอตอนนี้ในสายตาของทุกคนบนโลก คือขันทีน้อยผู้หนึ่ง จะเป็นน้องสาวของตงฟางไป๋ได้อย่างไร! แม้ตงฟางไป๋จะรู้ว่าเธอคือผู้หญิงก็ตาม

พอคิดถึงตรงนี้ ใบหน้าจิ้มลิ้มของเล่อเหยาเหยาดูโกรธเคือง และเขินอายจนโมโห จึงไล่ตามหาเรื่องหนานกงจวิ้นซีไป

ตงฟางไป๋หลังหายตะลึงงัน ก็ยิ้มออกมา

เพราะบนโลกนี้ จะมีเรื่องที่บังเอิญเช่นนี้ได้เช่นไร

ตรงข้ามกับเล่อเหยาเหยาและหนานกงจวิ้นซีที่เอะอะโวยวาย เหนียนซูหลานที่อยู่ไม่ไกล วันนี้เห็นชัดว่าเงียบเป็นพิเศษ

เหลิ่งจวิ้นอวี๋ยืนอยู่ริมฝั่งมองทิวทัศน์ของทะเลสาบซีหูอย่างเงียบๆ

เห็นเพียงชายหนุ่มยืนมือไพล่หลัง ชุดสีดำนั้นกลมกลืนกับค่ำคืนที่มืดมิด

สายลมยามค่ำคืนพัดผมยาวเขาปลิวไสว เสื้อผ้าสะบัดพลิ้ว ทำให้เผยความสูงศักดิ์น่าเกรงขามของเขาออกมาจนหมดสิ้น

ริมทะเลสาบซีหูยังมีชายหญิงอีกจำนวนไม่น้อย เมื่อเห็นชายหนุ่มที่โดดเด่นน่าเกรงขามเช่นนี้ ต่างพากันชายตามอง หรือมองด้วยสายตาอิจฉาริษยา

ทว่าชายหนุ่มกลับไม่แยแส บนใบหน้าหล่อเหลายังคงหยิ่งยโสเช่นเดิม ทำให้เขาดูสูงศักดิ์น่าเกรงขาม มีกลิ่นอายที่เพียงแอบมองอยู่ไกลๆ และไม่กล้าดูหมิ่นเพิ่มขึ้นมา

เมื่อจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างโดดเด่นเช่นนี้ และเป็นชายหนุ่มที่ตนชื่นชอบตั้งแต่เด็ก แต่เธอกลับทราบดีว่า ตนรักเขาฝ่ายเดียวมาตลอด

หรือตนทำยังไม่ดีมากพอ!

เธอรู้ว่าเสด็จแม่ของเขามีทักษะในการเต้นระบำ เขาชื่นชอบอย่างมาก ตอนเด็กแอบมองเสด็จของเขาฝึกเต้นระบำนับครั้งไม่ถ้วน เธอแอบอยู่ข้างกายเขาเช่นกัน และแอบคิดว่าวันหน้าต้องฝึกเต้นระบำ ทำให้เขาชื่นชอบให้ได้

เวลานี้เธอเรียนสำเร็จกลับมาแล้ว แต่การเต้นระบำของเธอ กลับไม่สามารถหยุดสายตาของเขาไว้ที่ตนได้

นี่เพราะเหตุใด!

พอคิดถึงตรงนี้ เหนียนซูหลานเศร้าเสียใจ

ขณะถอนหายใจในใจเบาๆ คิดไม่ถึง เมื่อเหนียนซูหลานกวาดสายตาไป สังเกตได้ว่าชายหนุ่มกำลังชำเลืองมองอย่างสนใจอยู่ คล้ายถูกบางสิ่งที่น่าสนใจดึงดูดไว้

เพียงแปลกใจ สายตาเหนียนซูหลานอดมองตามชายหนุ่มไปไม่ได้ เมื่อเห็นบ่าวตัวเล็กที่กำลังทะเลาะกับองค์ชายเจ็ดอยู่ไม่ไกล ร่างกายพลันดุจถูกฟ้าผ่า แข็งทื่ออยู่ตรงนั้น

สวรรค์!

หรือตนยังพยายามไม่เพียงพอ หรือเพราะพี่อวี๋มีคนที่ชื่นชอบแล้ว และพี่อวี๋ไม่ชื่นชอบสตรี แต่ชื่นชอบบุรุษ!

พอคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ทำให้เหนียนซูหลานดวงตาคู่งามเบิกกว้าง ใบหน้าดูไม่เชื่อสายตาสุดที่จะบรรยายได้

เพราะร่างกายกลับมาเป็นปกติแล้ว ดังนั้นวันที่สองเล่อเหยาเหยาจึงตื่นนอนแต่เช้าตรู่ หลังล้างหน้าหวีผมอย่างเรียบง่าย แต่งกายให้เรียบร้อย ก่อนไปปรนนิบัติพญายมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังตื่นนอน

เมื่อพญายมเข้าวังหลวง เล่อเหยาเหยาหลังทานอาหารเช้าเสร็จ รีบไปปัดกวาดตำหนักหย่าเฟิงทันที

ตำหนักหย่าเฟิงเพราะปัดกวาดทุกวัน ดังนั้นความจริงจึงไม่มีสิ่งใดสกปรกระเกะระกะ

แต่เล่อเหยาเหยายังเช็ดถูห้อง กวาดพื้นเช่นปกติ

เมื่อเห็นใกล้เวลาเที่ยงแล้ว แสงแดดเจิดจ้ามีเสน่ห์นั้น สาดส่องลงมาแผดเผาทั่วพื้นดินจนราวปกคลุมด้วยหมอกควัน

เมื่อนึกถึงเหล่าดอกโบตั๋นที่เพิ่งนำเข้ามาใหม่หน้าตำหนัก พลันถือถังและกระบวย คิดออกไปรดน้ำดอกไม้

เห็นเพียงเมื่อเล่อเหยาเหยาไปถึงหน้าตำหนัก ด้านหน้านั้นไร้ผู้คน

เพราะตำหนักหย่าเฟิงไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้ามาสร้างความวุ่นวาย

คนที่พักในตำหนักหย่าเฟิงตอนนี้ มีเพียงพญายม เหม่ย ซิง และเธอ รวมทั้งหมดสี่คน

ทุกวันเมื่อพญายมออกไปด้านนอก เหม่ยและซิงก็มีภารกิจที่แตกต่างกันเช่นกัน จึงไม่อยู่ในวังอ๋อง บางครั้งอาจไม่กลับมาหลายวัน นั่นก็มีความเป็นไปได้

เล่อเหยาเหยาจึงเดินทอดน่องอย่างมีความสุข เวลานี้เห็นเพียงเธอกำลังวางถังน้ำลง จากนั้นหยิบกระบวยรดน้ำดอกไม้ไม่หยุด

เวลานี้เป็นช่วงฤดูร้อน ดอกโบตั๋นจึงกำลังเบ่งบาน

ดอกใหญ่สีสันงดงาม ชูช่ออวดโฉมมากมาย เย้ายวนใจยิ่งนัก

เล่อเหยาเหยารดน้ำดอกไม้ พลางมองดอกโบตั๋นที่กำลังเบ่งบานนี้ จนอดนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาไม่ได้

คิดไปแล้ว ดอกโบตั๋นที่ชูช่องดงามนี้ ดูคล้ายเหนียนซูหลานอย่างยิ่ง

[1] แม่น้ำรั่วสามพันลี้ เพียงหนึ่งจอกก็ดับกระหาย หมายถึง ผู้คนบนโลกนี้มีมากมาย แต่ข้าต้องการเพียงเจ้าคนเดียว

[2] ดอกไม้ร่วงมีความนัย สายน้ำไหลผ่านเลยไป กลับไร้ใจตอบไม้งาม เปรียบเปรยถึงความรักข้างเดียว

Next

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

Status: Ongoing
เมื่อเด็กสาวจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดข้ามเวลามายุคโบราณ อยู่ในร่างขันทีที่เป็นสตรีปลอมตัวมา ทว่าต้องปรนนิบัติพญายมผู้เกลียดชังผู้หญิงยิ่งกว่าสิ่งใด… งานนี้จะมี ‘รัก’ หรือมี ‘รอด’ กันนะ!นิยายแปลจีนโบราณ โรแมนติก-คอเมดี้ สุดฟิน จิกหมอนไปขำไป!จู่ๆ ‘เล่อเหยาเหยา’ เด็กสาวที่ข้ามเวลามาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดฟื้นขึ้นมาในร่างของผู้หญิงที่ปลอมตัวเป็นขันที ใช้ชีวิตอยู่ในยุคเทียนหยวนที่ไม่มีบันทึกในประวัติศาสตร์แถมยังได้รับหน้าที่ปรนนิบัติ ‘เหลิ่งจวิ้นอวี๋’ ท่านอ๋องแห่งวังรุ๋ยอ๋องผู้ที่อารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แย้มยิ้มสนทนาขณะสังหารคนโดยไม่กะพริบตา จนทุกคนต่างขนานว่า ‘พญายม’ทั้งยังมีเสียงเล่าลือกันอีกว่า รุ่ยอ๋องคนนี้เกลียดชังผู้หญิง ชนิดที่ห้ามผู้หญิงเข้าใกล้เกินห้าก้าว!ทว่า วันหนึ่งพญายมเกิดสนใจในตัวเธอขึ้นมาเธอจะทำเช่นไร เพื่อรักษาชีวิต และความลับที่ว่าแท้จริงแล้วเธอคือ ‘ผู้หญิง’…รวมไปถึง เรื่องที่จู่ๆ ผู้หญิงในร่างขันทีน้อยคนนี้เกิดตั้งครรภ์โดยไม่คาดคิดได้เสียนี่!สวรรค์! ได้โปรดให้ฟ้าผ่าแล้วพาเธอกลับไปโลกเดิมที!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท