ฤดูหนาวผ่านไป เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ใกล้จะถึงวันปีใหม่อีกปีแล้ว
เวลานี้เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ทุกสรรพสิ่งฟื้นคืนชีวิต ทุ่งหญ้าเขียวขจี เต็มไปด้วยชีวิตชีวา พร้อมสายลมพัดเอื่อย
พระอาทิตย์ลอยเด่นเรืองรองอยู่กลางท้องฟ้าที่กระจายแสงสีทองออกมานั้น มักสร้างความอบอุ่นให้แก่ผู้คน
เห็นเพียงเวลานี้ ภายในตำหนักจ่าวซีดอกไม้นานาพันธุ์บานสะพรั่ง มีทั้งดอกโบตั๋น กุหลาบ เสาเย่า อวี้หลันขาวเป็นต้น
ชูช่อเบ่งบานงามสะพรั่ง แดงดุจเปลวไฟ น้ำเงินดุจท้องฟ้า ขาวดุจประทินโฉม หลากหลายสายพันธุ์ สีสันหลากหลาย สวยงามอย่างยิ่ง
แต่ทิวทัศน์สวยงามทั้งหมดนี้ กลับมิอาจเทียบหญิงสาวสวมชุดสีขาว องอาจกล้าหาญกลางสวนบุปผาผู้นั้น
เห็นเพียงหญิงสาวนั้น หน้าตาดุจดอกฝูหรง ไร้เครื่องประทินโฉมดุจแสงอาทิตย์กระทบบนหิมะยามรุ่งอรุณ
คิ้วดุจเขาไกลลิบ ตาคมฟันขาว รูปโฉมงดงามดุจเทพเซียน
ชุดทะมัดทะแมงสีขาวห่อหุ่มร่างกายงดงามอ่อนช้อยของเธอไว้ ทำให้รู้สึกว่าเธอโดดเด่น ทว่าแฝงความองอาจกล้าหาญหลายส่วน
เวลานี้เห็นเพียงบนมือหญิงสาวกำลังถือกระบี่อ่อนเรียวยาวเล่มหนึ่ง
กระบี่อ่อนเล่มนั้น อยู่ในมือของหญิงสาวดุจมีชีวิต ปราดเปรียวว่องไว เปล่งประกายรอบทิศ
หญิงสาวรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นดุจห่านป่า งดงามจับตาอยู่ท่ามกลางสวนบุปผานานาพันธุ์ที่กำลังเบ่งบาน ทำให้คนที่เห็นมิอาจละสายตา!
และหญิงสาวผู้นี้ ไม่ใช่ผู้ใดแต่เป็นเล่อเหยาเหยา!
เหลิ่งจวิ้นอวี๋จากเล่อเหยาเหยาไปห้าปีเต็มแล้ว และเล่อเหยาเหยาจากหญิงสาวร่างเล็กบอบบางในตอนแรก เวลานี้กลายเป็นมารดาและฝึกฝนวรยุทธ์
หลายปีมานี้ เล่อเหยาเหยาไม่เกรงกลัวความลำบากความเหน็ดเหนื่อย นอกจากใช้เวลากับบุตรชายแล้ว ความคิดทั้งหมดของเธอจดจ่ออยู่กับการฝึกวรยุทธ์ เธอนำความคิดถึงทั้งหมดที่มีต่อเหลิ่งจวิ้นอวี๋ มาเป็นพลังในการฝึกวรยุทธ์
ทุกวันเธอตื่นเช้านอนดึก ทำให้ตนเองเหน็ดเหนื่อยดุจผ่านสงครามมา
เพราะหลายปีที่สูญเสียเหลิ่งจวิ้นอวี๋ไป ความคิดถึงเหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่ได้เลือนหายไปตามเวลา กลับกันยิ่งคิดถึงมากขึ้น
ส่วนใหญ่จะคิดถึงในยามราตรีเงียบสงัด ใจของเล่อเหยาเหยาคล้ายจะเจ็บปวด
หัวใจดุจขาดหายไปบางส่วน และส่วนนี้ไม่มีผู้ใดสามารถเติมเต็มให้เธอได้อีกต่อไป
แม้ทุกวันเธอจะเหน็ดเหนื่อย แต่วรยุทธ์ของเล่อเหยาเหยา กลับก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
กระทั่งนักพรตเทียนซานที่ฝึกสอนเธอมาตลอดเวลาก็ยังต้องเปลี่ยนมามองเธอใหม่
เพราะตอนแรกที่เล่อเหยาเหยาอยากกราบท่านเป็นศิษย์เรียนวรยุทธ์ นักพรตเทียนซานไม่ปฏิเสธเธอเพราะเห็นว่าเป็นคนรักของเหลิ่งจวิ้นอวี๋
แต่ความจริงขณะนั้น นักพรตเทียนซานคิดว่าเล่อเหยาเหยาเรียนเพียงไม่กี่กระบวนท่าคงละทิ้ง และร่างกายบอบบางของเธอไม่เหมาะสมแก่การฝึกวรยุทธ์
คิดไม่ถึง ผลลัพธ์กลับเหนือความคาดหมายอย่างยิ่ง
สำหรับเรื่องนี้นักพรตเทียนซานยังตกตะลึง ทว่าปลื้มใจเป็นที่สุด
ดังนั้นจึงนำกระบวนท่าการต่อสู้ทั้งหมดของตนถ่ายทอดให้แก่เล่อเหยาเหยา
เล่อเหยาเหยาไม่ทำให้นักพรตเทียนซานผิดหวัง ภายในเวลาสั้นๆ สี่ปี ฝึกฝนทักษะทั่วไปของนักพรตเทียนซานสำเร็จแล้ว
เวลานี้เล่อเหยาเหยากำลังฝึกฝนกระบวนท่าใหม่ที่นักพรตเทียนซานเพิ่งสอนไป
สายลมยามฤดูใบไม้ผลิพัดเอื่อย แสงอาทิตย์งดงาม แม้อากาศจะไม่ร้อน แต่เล่อเหยาเหยาที่ฝึกฝนมาตลอดเช้า เวลานี้เหงื่อไหลโซมกายจนเปียกชุ่ม
แต่เล่อเหยาเหยากลับไม่ได้หยุดพัก จนกระทั่งเสียงสดใสดังขึ้นมา จึงทำให้เล่อเหยาเหยาหยุดท่ารำกระบี่ลง
“เสด็จแม่”
“เซวียนเอ๋อร์”
เมื่อได้ยินเสียงสดใสของเด็กน้อยนั้น เล่อเหยาเหยาพลันเก็บกระบี่อ่อน ก่อนมอบให้ขันทีด้านข้าง แล้วหมุนกายเดินไปหาเด็กชายที่วิ่งอย่างรีบร้อนตรงมาที่ตน
เด็กชายนั้นวิ่งเร็วอย่างมาก ไม่นานก็วิ่งมาที่ด้านหน้าเล่อเหยาเหยา ขณะที่ห่างจากเล่อเหยาเหยาเพียงไม่กี่ก้าว พลันโซเซกระโจนไปด้านหน้า
“อ๊ะ เสด็จแม่”
เสียงร้องตกใจของเด็กชายดังขึ้น พร้อมกับจะล้มลงบนพื้น แต่ทันใดนั้นมือเรียวยาวขาวผ่องคู่หนึ่ง กลับปรากฎขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนรวบตัวเขาไว้แน่น
“เซวียนเอ๋อร์ ไม่เป็นไรใช่หรือไม่ แม่บอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ห้ามวิ่งเร็วเกินไป หากหกล้มจนบาดเจ็บขึ้นมาจะทำเช่นไร”
เมื่อได้โอบกอดร่างเล็กอบอุ่นอวบอ้วนนั้นไว้ในอ้อมกอด เล่อเหยาเหยาขมวดคิ้วเข้ม ดวงตาดูกังวล ทว่ากลับเอ่ยน้ำเสียงแฝงตำหนิ
หลังเหลิ่งอวี้เซวียนได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา ก็ยื่นปากเล็กออกมา กระพริบตากลมโตอย่างน่ารักชั่วครู่ ก่อนเอ่ยอย่างน้อยใจว่า
“แต่ข้าคิดถึงเสด็จแม่นี่ เสด็จแม่อย่าโกรธเลยนะ”
เห็นเหลิ่งอวี๋เซวียนตั้งใจทำท่าทางออดอ้อนน่ารัก ดวงตาที่ได้มาจากเธอคู่นั้นแวววาวสดใส ไร้เดียงสาน่ารักยิ่งนัก
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาแม้เมื่อครู่จะตำหนิ ทว่าตอนนี้ทั้งหมดมลายหายไป
“เจ้านี่น่ะ”
เล่อเหยาเหยายื่นมือเขี่ยจมูกเล็กของเหลิ่งอวี้เซวียนอย่างจนใจ แววตาคู่งามเปี่ยมไปด้วยความรัก
สายตาจับจ้องไปยังเด็กชายตัวเล็กแสนน่ารักตรงหน้า
เห็นเพียงเวลาห้าปี จะเอ่ยว่ายาวก็ไม่ยาว จะว่าสั้นก็ไม่สั้น แต่เด็กน้อยตรงหน้านี้ จากเด็กทารกตัวเล็กในห่อผ้า เวลานี้กลับสามารถวิ่งกระโดดโลดเต้นได้แล้ว
แม้เด็กคนนี้ตอนนี้จะสูงเพียงหัวเข่าเธอ แต่ท่าทางกลับย่อส่วนมาจากเหลิ่งจวิ้นอวี๋
เห็นเพียงใบหน้าเล็กกลมนั้น ขาวใสไร้สิ่งเจือปน ราวกับไข่ไก่ที่เพิ่งถูกปลอกเปลือกออกมา
คิ้วแม้จะไม่ดกหนา แต่กลับมีเค้าลางว่าเมื่อเติบโตขึ้นจะกลายเป็นคิ้วกระบี่อันงดงามคู่หนึ่ง
จมูกเล็กสูงโด่งและปากเล็กน่ารักนั้น ดุจดอกท้อที่เบ่งบานในเดือนสิบสอง สวยงามอย่างหาที่ใดเปรียบ
ใบหน้าเล็กหมดจด อวัยะวะบนใบหน้าทั้งห้า มีเพียงดวงตาคู่สดใสนั้นที่ได้รับมาจากเล่อเหยาเหยา
ดังนั้น เมื่อเล่อเหยาเหยามองใบหน้าน่ารักคุ้นตาตรงหน้านี้ จะคิดถึงคนบางคนโดยไม่รู้ตัว
ห้าปีแล้ว เขาจากเธอไปห้าปีแล้ว
ห้าปีมานี้ บุตรชายเติบโตขึ้น เธอเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย
แต่ใจของเธอที่มีให้กับเขา กลับยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ชาตินี้พวกเธอไม่สามารถเป็นสามีภรรยากันได้ คงต้องเป็นชาติหน้า
พอคิดถึงตรงนี้ แววตาเล่อเหยาเหยาเลื่อนลอยและคิดถึง
เหลิ่งอวี้เซวียนที่รู้สึกถูกทอดทิ้งอยู่ด้านข้าง เห็นเช่นนั้นไม่ยินยอม
เพราะมารดาเป็นของเขา เขาไม่ให้มารดาคิดถึงผู้อื่นเด็ดขาด!
พอคิดถึงตรงนี้ เหลิ่งอวี้เซวียนอดยื่นมือเขย่ามือของเล่อเหยาเหยาไม่ได้ ก่อนยื่นปากเล็กเอ่ยอย่างออดอ้อน
“เสด็จแม่ ข้าหิวแล้ว”
“ได้ เช่นนั้นพวกเราไปทานของอร่อยกันเถิด”
“อืม เสด็จแม่ดีที่สุด”
เมื่อได้ยินเสียงอ้อแอ้และท่าทางดีใจของเหลิ่งอวี้เซวียน ใจของเล่อเหยาเหยาก็รู้สึกหวานชื่นตามไปด้วย
มือใหญ่กุมมือเล็ก หลังค่อยๆ จูงคนตัวเล็กข้างกายเดินมาที่ศาลาพักร้อนด้านข้าง สองพี่น้องเซี่ยลี่และเซี่ยผิง ได้จัดเตรียมอาหารว่างและผลไม้ไว้ให้พวกเล่อเหยาเหยาเรียบร้อยแล้ว
“มา เซวียนเอ๋อร์ ทานเค้กนมนี่เร็ว นี่น้าเซี่ยผิงทำด้วยตนเองเลยนะ เซวียนเอ๋อร์ไม่ใช่ชอบทานเค้กนมหรือ”
“ไม่ได้ เซวียนเอ๋อร์ มาทานขนมดอกกุ้ยที่น้าเซี่ยลี่ทำดีกว่า ขนมดอกกุ้ยนี้ทั้งหอมทั้งกรอบ รสชาติดียิ่งนัก!”
เพียงเหลิ่งอวี้เซวียนนั่งลง เซี่ยผิงและเซี่ยลี่ต่างแย่งชิงกันเอาใจ ป้อนขนมที่ตนทำให้กับเหลิ่งอวี้เซวียนไม่หยุด ภายในศาลาพักร้อนพลันคึกคักขึ้นมา
และเรื่องเช่นนี้ไม่รู้เกิดขึ้นมาแล้วกี่รอบ เล่อเหยาเหยาเห็นจนชินชา จึงเพียงยิ้มผ่านไป
เพราะเหลิ่งอวี้เซวียนหน้าตาน่ารักยิ่งนัก ดุจเซียนน้อยใสซื่อบริสุทธิ์ เพียงยิ้มไม่ว่าชาย หญิง คนชรา หรือเด็ก ต่างหลงใหล
หากขมวดคิ้วมุ่น ทุกคนต่างเตรียมหาวิธีหยอกล้อทำให้เขาอารมณ์ดี
เห็นเหลิ่งอวี้เซวียนมีคนชื่นชอบมากมายเช่นนี้ ผู้เป็นมารดาย่อมดีใจ
เมื่อเห็นเหลิ่งอวี้เซวียนที่ถูกเซี่ยลี่และเซี่ยผิงต่างแย่งชิงกันเอาใจ ยกใบหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาขึ้นกัดเค้กนมที่เซี่ยผิงส่งเข้ามาก่อน ก่อนค่อยกัดขนมดอกกุ้ยฝีมือเซี่ยลี่ ปากเคี้ยวกินงุบงับนั้น ช่างสังหารทุกเพศทุกวัยได้เสียจริง
“อา กระทั่งท่าทางการทานของเซวียนเอ๋อร์ยังน่ารักเช่นนี้ ไม่ไหวแล้ว ข้ารักเซวียนเอ๋อร์ยิ่งนัก จะทำเช่นไรดี!”
เซี่ยลี่ที่อยู่ด้านข้างพลางมองเหลิ่งอวี้เซวียน พลางเอ่ยพูดด้วยดวงตาเปี่ยมรัก ท่าทางนั้นราวกับเสียสติ
เล่อเหยาเหยาได้ยิน อดหัวเราะไม่ได้ ก่อนเอ่ยเย้าว่า
“คำพูดนี้ของเจ้าห้ามให้ซิงได้ยินเข้าเด็ดขาด มิฉะนั้นเขาอาจหึงหวงก็เป็นได้!”
“ชิ เขาชอบหึงหวงก็หึงหวงไปเถิด ทางที่ดีอย่าสำลักน้ำส้มสายชูตายเป็นพอเพคะ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา เซี่ยลี่เอ่ยอย่างดูแคลน ด้วยท่าทางไม่สนใจ แต่คนตรงนั้นต่างรู้ว่าเธอรักเกียรติศักดิ์ศรีอย่างยิ่ง
เพราะเล่อเหยาเหยาและเซี่ยผิงต่างทราบดี ปีนั้นเซี่ยลี่ไล่ตามหลังซิงที่มีรูปร่างสูงใหญ่นั้นเช่นไร
เวลานั้นเซี่ยลี่ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ ทั้งมอบอาหาร มอบกระเป๋าเงิน แต่ซิงยังไม่ไหวติง
สุดท้ายหลังซิงเป็นไข้ตัวร้อนครั้งนั้น เซี่ยลี่คอยดูแลเขาไม่ห่าง ซิงจึงค่อยๆ เริ่มหวั่นไหว
ต่อมาหลังซิงหายเป็นปกติ เซี่ยลี่กลับป่วยจนทรุด
ซิงจึงย่อมตำหนิตนเองและซาบซึ้ง สุดท้ายซิงจึงเปลี่ยนมาดูแลเซี่ยลี่
การไปมาหาสู่นี้ ในที่สุดทั้งสองคนชอบพอกันขึ้น
สุดท้ายเล่อเหยาเหยาจึงตัดสินใจให้พวกเขาสองคนแต่งงานกัน
เพราะซิงและเซี่ยลี่ต่างเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเหลิ่งจวิ้นอวี๋ช่วยกลับมา ดังนั้นหลังพวกเขาแต่งงาน ยังอยู่ข้างกายเล่อเหยาเหยา
เวลานี้เล่อเหยาเหยาเห็นท่าทางปากแข็งของเซี่ยลี่ อดสบตากันกับเซี่ยผิงไม่ได้ ก่อนเม้มปากหัวเราะ
“โอ๊ะ เจ้าพูดจริงหรือ ซิงได้ยินเข้าคงเสียใจมากแน่ หรือเจ้าไม่สนใจเขาแล้ว!”
เล่อเหยาเหยาแสร้งเอ่ยอย่างตกใจ เซี่ยลี่ได้ยินทำปากยื่น ก่อนปากแข็งต่อไป
“ชิ ผู้ใดสนใจเขากัน ข้าไม่ได้สนใจเขาเสียหน่อย!”
“ฮ่า ๆ จริงหรือ!”
เซี่ยผิงที่อยู่ด้านข้างได้ยินจึงเอ่ยปากขึ้น
“ย่อมจริงแน่นอน”
เซี่ยลี่เอ่ยอย่างมั่นใจ
เล่อเหยาเหยาได้ยิน คล้ายเห็นบางอย่างเข้า จึงอ้าริมฝีปากแดงร้องเรียกทางด้านหลังของเซี่ยลี่
“อ้าวซิง เจ้ามาแล้วหรือ!”
“หา ซิง เขามาหรือ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา เซี่ยลี่ที่มีสีหน้าไม่สนใจดุจไก่กระพือปีก พลันหนุนกายมองด้วยท่าทางร้อนรน
แต่หลังจากเห็นด้านหลังว่างเปล่าไร้ผู้คน เซี่ยลี่จึงพบว่าตนถูกหลอกเข้าแล้ว
ใบหน้าจิ้มลิ้มนั้น ทั้งขวยเขินและโมโห