ช่างกล้าพูดมาได้
มู่เฉิงข่มความโมโห เริ่มโทรศัพท์ “ครับ อยู่ที่ตลาดนัดใต้ดิน พวกคุณรีบมาหน่อยนะครับ”
หลังวางสายเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณหนูท่านนี้ อย่าคิดว่านายท่านของเราเพิ่งซื้อเหรียญโบราณมาจากคุณแล้วคุณจะทำอะไร…”
ยังไม่ทันพูดจบก็ได้ยินเด็กสาวพูดขึ้น “หัวใจเต้นผิดปกติ บริเวณด้านหน้าหัวใจเจ็บหนักขึ้น แผ่ซ่านไปถึงไหล่ซ้ายกับส่วนท้องแล้ว”
“ผลจากการสูบบุหรี่ทำให้ปอดมีฝ้า ทางเดินหายใจมีสิ่งอุดตันที่กำจัดออกไม่หมด”
พอพูดจบอิ๋งจื่อจินก็เงยหน้าขึ้น “กลางคืนจนถึงแปดโมงเช้าเป็นช่วงที่อาการกำเริบ เพิ่งผ่าตัดมาเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ดึกขนาดนี้แล้วไม่ควรออกมา”
มู่เฉิงตะลึง เหลือเชื่อมาก “คุณ…”
ไม่ผิดแม้แต่นิดเดียว!
รวมถึงช่วงเวลาที่ผ่าตัดด้วย!
ยังไม่ทันที่เขาจะได้สติกลับมาจากอาการตกตะลึงก็ได้ยินเด็กสาวพูดอีก “เข็มเงิน”
มู่เฉิงยังไม่ทันได้คิดว่าเธอรู้ได้ยังไงว่าเขาพกเข็มเงิน เขาก็รีบเอากล่องที่บรรจุเข็มเงินยื่นให้
อิ๋งจื่อจินเปิดกล่อง หยิบเข็มเจ็ดเล่มในกล่องมาไว้ในมือ กำลังจะลงมือ
พอเห็นแบบนั้นมู่เฉิงก็อดเตือนไม่ได้ “ใช้ได้มากสุดสี่เล่ม”
อิ๋งจื่อจินได้ฟังในที่สุดก็หันไปมองเขา
ดวงตาขาวดำที่ตัดกันอย่างชัดเจนไม่แสดงอารมณ์ใดๆ หมอกขาวปกคลุม อารมณ์ดีร้ายไม่ชัดเจน
“คุณช่วยเงียบหน่อย”
“ขอ ขอโทษ” มู่เฉิงอายนิดหน่อย แต่เขาไม่รู้สึกว่ามีอะไรพิกล
เมื่อก่อนตอนเขาเห็นคุณหนูเมิ่งที่เป็นหมอแผนโบราณรักษามู่เฮ่อชิงก็แค่ใช้เข็มเงินสี่เล่มพร้อมกัน
เขายังเคยถามดูถึงได้รู้ว่าหมอแผนโบราณที่สามารถใช้เข็มเงินเจ็ดเล่มพร้อมกันได้นั้นโดยรวมไม่มีตัวตนอยู่แล้ว
คิดๆ ดูก็น่าจะจริง มีมืออยู่แค่สองข้าง เข็มเจ็ดเล่มจะควบคุมไหวเหรอ
แต่วินาทีถัดมามู่เฉิงก็อดเบิกตาโพลงไม่ได้
เขาเห็นเข็มเจ็ดเล่มทิ้งรอยเข็มอยู่ในมือของเด็กสาว เข็มถูกทิ่มลงบนจุดฝังเข็มแล้วดึงออกจุดแล้วจุดเล่า กระทำอย่างรวดเร็ว
มู่เฉิงพยายามจับตำแหน่งของเข็ม แต่กลับพบว่ามองไม่ทัน เขาตกใจมาก
นี่มือเร็วขนาดไหนเนี่ย
หลังจากที่อิ๋งจื่อจินปักเข็มเล่มสุดท้ายเสร็จ มู่เฮ่อชิงที่นอนอยู่บนพื้นในที่สุดก็หายใจเฮือกขึ้นมา อาการหน้าเขียวค่อยๆ หายไป กลับมาแดงระเรื่อ
ตลอดกระบวนการรักษาไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ
อิ๋งจื่อจินเก็บเข็มเงินเอาใส่เข้าไปในกล่องอีกครั้ง
เธอลุกขึ้น มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า ยืนอย่างสบายๆ ลมหายใจยังคงเป็นปกติ “เสร็จแล้ว”
มู่เฉิงยังคงอึ้งอยู่ รู้สึกยิ่งกว่าความฝัน
ขนาดคุณหนูเมิ่งพอรักษาให้มู่เฮ่อชิงเสร็จยังหมดแรง แล้วนี่…
“แค่กๆๆ!” มู่เฮ่อชิงไอออกมาอย่างแรง ลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก
ก่อนหน้านี้เขาอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น ยังพอรับรู้โลกภายนอกอยู่บ้าง
หลังจากควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติ มู่เฮ่อชิงค่อยๆ ลุกขึ้นโดยมีมู่เฉิงช่วยพยุง
เขาไออีกเล็กน้อย สีหน้าเคร่งขรึม สายตาอ่อนโยน น้ำเสียงผ่อนคลาย “สาวน้อย เธอช่วยชีวิตฉันไว้ หากมีความจำเป็นอะไรก็บอกฉันได้”
เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหัวใจของเขาดีกว่าเมื่อก่อนมาก
ฝีมือการรักษาระดับนี้ ถ้าเทียบในแวดวงหมอแผนโบราณคงไม่มีใครเทียบได้
“ไม่เป็นไรค่ะ” อิ๋งจื่อจินไม่ได้สนใจ “แค่ช่วยไปตามสถานการณ์”
นานแล้วที่ไม่ได้รักษาคน ดูท่าความสามารถของเธอไม่ได้ถดถอย ต่อไปถ้าขัดสนเงินทองอีกยังใช้วิชานี้หาเงินเลี้ยงปากท้องได้
มู่เฮ่อชิงก็ไม่ได้บังคับ เขาครุ่นคิดแล้วหยิบหยกแขวนออกมาชิ้นหนึ่ง พูดอย่างจริงจัง “งั้นเธอช่วยรับนี่ไว้ มีเรื่องอะไรขอเพียงแต่ไม่ใช่การโกหกหลอกลวง ฉันช่วยได้แน่”
มู่เฉิงตกใจ
นี่ไม่ใช่การรับปากทั่วไป นี่เป็นคำสัญญาของนายแห่งตระกูลมู่
อิ๋งจื่อจินไม่อยากรับ แต่ตอนที่เห็นอักษร ‘มู่’ บนตัวหยก ดวงตาก็หยุดนิ่งไปชั่วขณะ ไม่รู้นึกถึงอะไรขึ้นมา สุดท้ายก็รับเอาไว้ “ค่ะ”
มู่เฮ่อชิงถึงพอใจ ผุดรอยยิ้ม “ไม่รู้ว่าฉันขอทราบชื่อเธอได้ไหม”
ยากนักที่จะได้เจอเด็กสาวที่เขาถูกชะตา ไม่ว่าอย่างไรก็ขอรู้จักสักหน่อย
อิ๋งจื่อจินเงียบไปเล็กน้อย พูดเพียงว่า “หนูแซ่อิ๋งค่ะ”
อิ๋งเหรอ
พอได้ยินแซ่นี้มู่เฉิงก็นึกถึงตระกูลอิ๋งที่เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของฮู่เฉิง อย่างไรเสียแซ่อิ๋งก็พบไม่บ่อยนัก
คุณหนูอิ๋งคนนี้ดูไม่เหมือนเกิดในครอบครัวธรรมดาจริงๆ ความทะนงตนที่อยู่ในตัวมีมาแต่กำเนิด แต่ตระกูลอิ๋ง…
มู่เฉิงขมวดคิ้ว
พวกเขาย่อมเคยคลุกคลีกับตระกูลอิ๋ง ความสามารถหางแถวแบบตระกูลอิ๋งสามารถบ่มเพาะคุณหนูที่เป็นวิชาแพทย์โบราณได้เลยเหรอ
มู่เฮ่อชิงก็คิดแบบนั้น แต่ไม่ได้ถามมากอีก แค่ยิ้มให้ “คุณหนูอิ๋งสนใจไปตี้ตูด้วยกันกับฉันไหม”
อิ๋งจื่อจินเลิกคิ้วเล็กน้อย เหนือความคาดหมาย “ตอนนี้ไม่สนใจค่ะ”
ตอนนี้เธอแค่อยากใช้ชีวิตยามแก่ ปลูกต้นไม้เลี้ยงหมู เป็นมอดที่มีความสุข
“ก็ได้ๆ” มู่เฮ่อชิงพยักหน้า “อีกหน่อยถ้าอยากไปก็ติดต่อฉันได้ มู่เฉิง”
มู่เฉิงก้าวขึ้นหน้ายื่นนามบัตรให้หนึ่งใบ รู้สึกอายนิดหน่อย “ขอโทษด้วยนะครับคุณหนูอิ๋ง ก่อนหน้านี้ผมสงสัยในตัวคุณถึงได้ล่วงเกินไป ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณเองก็ไม่รู้ ไม่มีความเชื่อใจอะไรทั้งนั้นระหว่างคนแปลกหน้าด้วยกัน” อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “ฉันไปก่อนนะคะ”
มู่เฉิงกลับอายยิ่งกว่าเดิม
เขายังคิดไม่ได้เท่าเด็กสาว
มองตามหลังเด็กสาวที่จากไป มู่เฮ่อชิงยังคงยืนอยู่ที่เดิม เงียบไปสักพัก ทันใดนั้นก็ถามขึ้น “มู่เฉิง นายว่าจัดการหมั้นหมายเป็นไง”
ไม่รอให้มู่เฉิงตอบ เขาพึมพำกับตัวเอง “ช่างเถอะ เจ้าพวกนั้นแต่ละคนไม่ได้เรื่อง ไม่คู่ควรกับเธอ อย่าไปทำร้ายเธอดีกว่า”
มู่เฉิง “…”
มีคนแขวะลูกหลานตัวเองแบบนี้ด้วยเหรอ
“น่าเสียดาย ทำไมถึงไม่เป็นลูกสาวตระกูลมู่ ถ้าเป็นนะ…” มู่เฮ่อชิงถอนหายใจแล้วหันไปสั่ง “อยู่เมืองฮู่เฉิงอีกสักสองสามวัน”
…
ท้องฟ้าแจ่มใสหลังหิมะตก แดดในยามเที่ยงกำลังดี
เมฆหมอกลอยอยู่ไกลๆ ท้องฟ้าสีคราม นกสีขาวบินโฉบขึ้นลง ความเงียบสงบแบบที่หาได้ยาก
ณ คฤหาสน์ตระกูลอิ๋ง
จงมั่นหวาเหลือบมองชั้นสาม ขมวดคิ้ว “คุณหนูรองยังไม่ตื่นเหรอ”
พ่อบ้านส่ายหน้า “ไม่ได้ยินเสียงเลยครับ”
“นี่มันตั้งเที่ยงแล้วยังไม่ตื่นอีก” จงมั่นหวาไม่พอใจ “ปลุกเธอ ให้เธอลงมากินข้าว”
พ่อบ้านกำลังจะไป ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ในห้องรับแขกก็ดังขึ้น
เขาเดินเข้าไปดู “คุณนาย สายจากเมืองตี้ตูครับ”
จงมั่นหวาหน้าเครียด “เอามา”
พ่อบ้านยื่นให้อย่างนอบน้อมแล้วไปรออย่างเงียบๆ ที่ด้านข้าง
ไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไร จงมั่นหวาพยักหน้าต่อเนื่อง หลังวางสายก็ยิ้มแย้ม “ตระกูลมู่จะส่งเฉินโจวมาที่นี่ น่าจะประมาณช่วงเดือนพฤษภา”
พ่อบ้านตกใจ “เกิดเรื่องอะไรกับตระกูลมู่เหรอครับ”
ตระกูลมู่เจริญก้าวหน้าดีที่เมืองตี้ตู ทำไมอยู่ๆ จะส่งหนึ่งในผู้สืบทอดมาที่เมืองฮู่เฉิงได้
“ไม่รู้สิ แต่ต้องต้อนรับให้ดี” จงมั่นหวารินน้ำชาด้วยท่าทางสง่างาม “ต้องเริ่มเตรียมตั้งแต่ตอนนี้ อีกเดี๋ยวพ่อบ้านส่งคนไปจองเฟอร์นิเจอร์นะ จัดการเก็บห้องที่สองทางขวาของชั้นสามด้วย”
ตระกูลมู่จากเมืองตี้ตู สี่ตระกูลใหญ่แห่งฮู่เฉิงล่วงเกินไม่ได้ ต้องสร้างสัมพันธ์ที่ดี
“คุณนายครับ ผมว่าอย่าให้คุณชายเฉินโจวพักที่นี่เลยครับ” พ่อบ้านลังเลเล็กน้อยแล้วพูดเตือน “ตอนนี้คุณหนูรองยังไม่รู้จักมารยาทของผู้ดี ถ้าเกิดล่วงเกินเข้า…”