ภายในห้องมีเครื่องปรับอากาศ ตอนทั้งสองคนเข้ามาได้ถอดเสื้อกันหนาวออกไปแล้ว
เด็กสาวนั่งหลังตรง คอยาวระหง
แขนเสื้อของเธอถูกพับขึ้นครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นข้อมือ สมุนไพรสีเขียวยิ่งขับให้นิ้วที่วางอยู่ด้านบนดูเรียวและขาวผ่อง
“ฉันอ่านหนังสือออก” อิ๋งจื่อจินเอนตัวพิง เงยหน้าอย่างเนือยๆ “ในหนังสือมีทุกอย่าง”
“…”
ได้ เขายอมแพ้
จ้องตาอยู่ไม่กี่วินาที เขางอนิ้วเขกหน้าผากเด็กสาวเบาๆ “ต่อไปห้ามอ่านหนังสือแบบนี้อีก”
“ไม่เอา” อิ๋งจื่อจินก้มหน้า จัดการกับหม้ออัดแรงดันไฟฟ้า “แบบนั้นก็หมดสนุกสิ”
เธอยังคิดจะซื้อนิยายสมัยนี้มาอ่านแก้เซ็งอยู่เลย
“งั้นพี่ชายเลี้ยงข้าวเธอเป็นไง”
“นั่นก็ไม่เอาเหมือนกัน”
ไร้เยื่อใยสิ้นดี
“…”
เด็กสาวพูดขึ้นมาอีก “อย่างมาก…”
ฟู่อวิ๋นเซินหลุบตาลงมองเธอ
เธอยังคงดูจริงจัง “ฉันก็ชวนคุณอ่านด้วยกัน”
สีหน้าของฟู่อวิ๋นเซินชะงักไปชั่วขณะ ยกมุมปาก ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา “ชวนฉันอ่านด้วยเหรอ”
ยังจะอะไรได้อีกล่ะ
อิ๋งจื่อจินหาว ง่วงนอนอีกแล้ว หรี่ตาครึ่งหนึ่ง “อืม ขอฉันศึกษาการซื้อของออนไลน์ก่อนนะ”
ฟู่อวิ๋นเซินมองเด็กสาวที่ดูอ่อนเพลีย แต่สายตาไม่ได้โกหก เขารู้สึกได้ว่าเธอก็แค่คิดแบบนี้ แต่ไม่ได้มีความหมายอื่น
ยังคงเป็นเด็กน้อยจริงๆ สินะ
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบมองอิ๋งจื่อจิน หลังจากแน่ใจว่าเธอไม่มีทางทำหม้อระเบิดใส่ตัวเองถึงยอมลุกออกไปรับโทรศัพท์ด้านนอก
“คุณชายเจ็ด รีบมาสิ” เนี่ยเฉาโทรมา “ขาดนายแค่คนเดียวแล้วนะ”
ฟู่อวิ๋นเซินตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่มีธุระฉันวางแล้วนะ”
“ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะจัดปาร์ตี้ต้อนรับนาย นี่ยังไม่ใช่ธุระอีกเหรอ” เนี่ยเฉาพูด “รีบมาๆ อยู่ที่คิงคลับ ตามคนมาให้นายครบแล้ว จริงสิ เพื่อนเล่นนายพวกนั้นก็มานะ กำลังรอนายอยู่เนี่ย”
ฟู่อวิ๋นเซินเลิกคิ้ว “ทำไมฉันไม่รู้ว่าฉันยังมีของแบบนี้ด้วย”
“เฮ้อ ก็แค่คำเรียก เอาเป็นว่าก็คนแวดวงไฮโซในเมืองฮู่เฉิงของพวกนายทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ” เนี่ยเฉาเร่ง “บ่ายป่านนี้แล้วนายทำอะไรอยู่ รีบมาดื่มเหล้ากับพี่ๆ น้องๆ เร็วเข้า ทำไมฉันเรียกนายทุกครั้งนายถึงไม่มาตลอดเลย”
“ฉันอยู่กับเด็กน้อย ไม่ไปแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซินเอนตัวพิงประตู “เชิญพวกนายตามสบาย”
เนี่ยเฉาที่ถูกตัดสายมีสีหน้าตะลึง ราวกับถูกฟ้าผ่า สมองปรากฏคำคำหนึ่ง
ไอ้บ้าเอ๊ย!
น้องสาวเด็กขนาดนั้นก็กล้าลงมือ!
คุณชายคนอื่นๆ ภายในห้องไม่ได้ยินบทสนทนาในโทรศัพท์ แต่เห็นสีหน้าของเนี่ยเฉาแปลกไปก็รู้สึกตกใจ “คุณชายเจ็ดว่าไงบ้าง”
“เอ่อ…เขาบอกว่าเขาไม่มาแล้ว” ผ่านไปนานกว่าเนี่ยเฉาจะได้สติ “พวกนายสนุกกันไปก่อนนะ ฉันขอออกไปโทรศัพท์อีกรอบ”
ในฐานะที่เป็นคนขยันที่สุดในฮู่เฉิง เขาต้องรู้ข่าวซุบซิบเป็นคนแรกให้ได้
…
สามชั่วโมงต่อมา มีเสียง ‘ติ๊ง’ จากหม้ออัดแรงดันไฟฟ้า
อิ๋งจื่อจินลืมตา เปิดฝาออก
มีกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมา ละมุนกำลังดี
ของภายในหม้อกลายสภาพเป็นยาเม็ดแล้ว สีเขียวเข้ม ไม่มากไม่น้อย มีอยู่ห้าสิบเม็ดพอดี
เธอนำยาเม็ดใส่ขวดยาที่ซื้อเตรียมไว้ก่อนแล้ว เก็บกวาดของรกๆ ที่อยู่บนพื้นแล้วเปิดประตู
ชายหนุ่มยืนกึ่งพิงกำแพง นิ้วเรียวยาวเคาะโทรศัพท์มือถือเบาๆ พอได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้น “เสร็จแล้วเหรอ”
อิ๋งจื่อจินนึกไม่ถึงว่าเขายังรออยู่ข้างนอก อึ้งไปชั่วขณะ “ทำไมไม่เข้าไปล่ะ”
“กลัวรบกวนเธอ” ฟู่อวิ๋นเซินท่าทางเนือยๆ ไม่พูดอะไรมาก
เขาก้มหน้า เห็นเด็กสาวยื่นขวดยาให้จึงขมวดคิ้ว “บำรุงไตเหรอ”
“ไม่ใช่” อิ๋งจื่อจินสะพายกระเป๋าหนังสือไว้ที่บ่า “ยืดอายุขัย”
ก็แค่มีสรรพคุณช่วยบำรุงไต บำรุงตับ บำรุงกระเพาะ ได้หมดนั้น
“หืม? อายุขนาดฉันต้องยืดอายุขัยแล้วเหรอ” ฟู่อวิ๋นเซินเกิดความสนใจ ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เขาก็รับขวดยามาเก็บไว้แล้วถามต่อ “กินข้าวไหม”
“ฉันจะออกนอกเมืองสักหน่อย” อิ๋งจื่อจินเหลือบมองโทรศัพท์มือถือ “อีกสองสามวันค่อยเลี้ยงข้าวคุณ”
“ออกนอกเมืองเหรอ”
“อืม กลับอำเภอชิงสุ่ย”
การรักษาทางการแพทย์ของอำเภอชิงสุ่ยแย่กว่าในเมืองฮู่เฉิงมาก
เวินเฟิงเหมียนประหยัดมัธยัสถ์มาตลอดชีวิต เงินหนึ่งแสนที่ตระกูลอิ๋งให้ เขาจะต้องไม่กล้าใช้อย่างแน่นอนเพราะรู้สึกเสียดาย ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
“วันนี้เป็นวันที่สิบห้าเดือนอ้าย…” ดูเหมือนฟู่อวิ๋นเซินจะนึกอะไรขึ้นมาได้ สายตาเย็นชาลงเล็กน้อย รอยยิ้มที่มุมปากก็คลายไป
แต่ในขณะที่เขาหันหน้าไป ดวงตาดอกท้อก็โค้งมนอีกครั้ง เขาเรียกเธอ “เด็กน้อย”
อิ๋งจื่อจินหันมา “หืม?”
“วันนี้พี่ชายไม่มีที่ไป” เขาลากเสียงในตอนท้าย ดวงตาสีอำพันเปล่งประกาย “เธอพอจะรับพี่ชายคนนี้ไว้ได้ไหม…”
“…”
…
เวลาทุ่มครึ่งฟ้ามืดสนิทแล้ว บนท้องฟ้ายามราตรีมีพลุถูกจุดขึ้นมาเรื่อยๆ
เวินเฟิงเหมียนหยิบแป้งทำอาหารออกมาจากตู้เย็นแบบเก่า พอเดินไปถึงโต๊ะทันใดนั้นก็ไอโขลกๆ ออกมาอย่างรุนแรง ผ่านไปสักพักกว่าจะหยุดลง
ขณะที่เขากำลังจะเตรียมต้มน้ำก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เวินเฟิงเหมียนเช็ดมือให้สะอาด ไอออกมาอีกเล็กน้อยแล้วถึงเดินออกไป “ใคร”
ค่ำขนาดนี้แล้วไม่ควรมีใครมาหาถึงบ้าน
เขาเปิดประตู พอมองไปกลับตกตะลึง
เด็กสาวยืนอยู่ใต้ชายคา แสงจันทร์ฉาบอยู่บนผมดำขลับ แสงไฟสลัว ไม่ค่อยชัดเจน
แม้จะไม่ได้เจอกันหนึ่งปี แต่ใบหน้ายังคงเดิม
เวินเฟิงเหมียนกลืนน้ำลาย ไม่กล้าเรียก
เขาเปล่งเสียงอย่างยากลำบาก เสียงสั่นเครือ ผ่านไปสักพักถึงเปล่งเสียงออกมาได้ “…เยาเยาเหรอ”
“หนูเองค่ะ” อิ๋งจื่อจินประคองแขนของเขา “ระวังนะคะ เดี๋ยวจะล้ม”
เธอลองจับชีพจรอย่างไม่ให้รู้ตัว พอจะเข้าใจบ้างแล้ว
สุขภาพของเวินเฟิงเหมียนแย่กว่าที่เธอคิดไว้ตอนแรก
การทำงานหนักมาเป็นเวลาหลายปีได้ทำลายสุขภาพเขาไปมาก
หลังจากได้ยินเสียงตอบยืนยัน เวินเฟิงเหมียนกลับเหม่อลอยอยู่นานไม่ค่อยมีสติ
เขาอึ้งไปสักพักแล้วถึงจับมือของเธอ พูดเสียงดุและร้อนใจ “เยาเยา ทำไมออกมาจากบ้านตระกูลอิ๋งล่ะ พวกเขาล่ะ ไม่มาด้วยกันเหรอ”
จากนั้นก็มองสำรวจเด็กสาว สีหน้าเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม “บอกพ่อมา คนทางนั้นรังแกอะไรลูกหรือเปล่า”
เพียงแค่คำพูดธรรมดา แต่กลับพุ่งตรงเข้าที่หัวใจ ทำให้แทบจะทรุดลง
“ไม่มีเรื่องแบบนั้นค่ะ ก็แค่วันนี้หนูว่างเลยกลับมาเยี่ยมพ่อ” อิ๋งจื่อจินจับบ่าเวินเฟิงเหมียน ยิ้มพลางพูด “หนึ่งปีที่ผ่านมาไม่ได้กลับมาเยี่ยมพ่อเลย หนูไม่ดีเองค่ะ”
ถ้าเธอฟื้นมาได้เร็วกว่านี้หน่อย เรื่องเมื่อหนึ่งปีก่อนคงไม่มีทางเกิดขึ้น
เวินเฟิงเหมียนถึงได้วางใจ หันหน้าไปเช็ดตาป้อยๆ เขาพยายามสงบสติอารมณ์ แต่ก็ยังคงข่มอารมณ์ได้ยาก น้ำเสียงยังคงสั่นอยู่ “ลูกกลับมาเยี่ยมได้ พ่อ…ก็ดีใจมากแล้ว”
อย่างไรเสียตอนนั้นตระกูลอิ๋งก็ได้ลั่นวาจาไว้ เดิมทีเขาคิดว่าชาตินี้จะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว
อิ๋งจื่อจินประคองเขาเข้าบ้าน “พ่ออยู่บ้านคนเดียวเหรอคะ”
“วันนี้อวี้อวี้ยังมีเรียนอีก” เวินเฟิงเหมียนไออีกครั้ง หลังหยุดไอเขาก็ยิ้มพลางพูด “แต่ก็น่าจะใกล้กลับมาแล้ว”
พอพูดจบที่นอกบ้านก็…
“พ่อ ผมกลับมาแล้ว วันนี้ผมซื้อเนื้อมาด้วย ตอนเย็นพวกเราจะได้…”
คำพูดที่เหลือได้หยุดไปหลังจากที่เห็นอิ๋งจื่อจิน