หลังจากที่ตั้งใจโพสต์เวยปั๋วขายความสงสารเสร็จเธอก็ไปนวดอโรม่าที่ชั้นบนของโรงแรม
เพื่อที่ว่าพอร่างกายผ่อนคลายเธอก็จะมาดูความน่าสมเพชของอิ๋งจื่อจิน
ริมฝีปากของอิ๋งลู่เวยผุดรอยยิ้ม นิ้วเลื่อนไปตรงปุ่มข้อความ
เป็นเหมือนที่เธอคิดไว้ มีคอมเมนต์กับข้อความส่วนตัวจำนวนมาก
แต่หลังจากที่อิ๋งลู่เวยกดเปิดอ่าน สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
เพราะไม่มีแม้แต่ข้อความเดียวที่ปลอบเธอ ทั้งหมดเป็นข้อความประชดแดกดัน
[ขอมอบรางวัลตอแหลได้โล่ เธอใช้ปูนยี่ห้ออะไรโบกหน้าเหรอ ถึงได้ทนทานขนาดนี้]
[อิจฉาหนังหน้าของเธอจริงๆ ดูแลได้หนาขนาดนี้]
[แค่รูปถ่ายใบเดียวก็ใส่ร้ายหลานสาวตัวเองว่าอ่อย ป้ายสีเก่งขนาดนี้ ไม่รับจ้างทาสีคงเสียดายแย่]
[กลัวเธอจะมัวแต่ดีใจจนไม่ได้ดูคลิป อะ สงเคราะห์ให้ ห้ามพูดนะว่าไม่เห็น (คลิปวิดีโอ)]
อิ๋งลู่เวยขมวดคิ้ว เปิดคลิป
ดูไปได้ไม่กี่วินาทีดวงตาของเธอก็เบิกโพลง หน้าซีดลงในทันที
เป็นไปไม่ได้!
เห็นๆ อยู่ว่าเธอให้คุณอลันลบภาพจากกล้องวงจรปิดไปแล้ว คลิปนี่มาจากไหนกัน
อิ๋งลู่เวยรีบเช็คความเปลี่ยนแปลงบนเวยปั๋วในช่วงสองชั่วโมงที่ผ่านมาอย่างลุกลี้ลุกลน พอเช็คเสร็จเธอก็แทบไม่เชื่อสายตา
อิ๋งจื่อจินมีคลิปกล้องวงจรปิดอยู่ในมือจริงๆ!
แถมยังทนมานานขนาดนี้กว่าจะโพสต์ออกมา จงใจเหรอ
อิ๋งลู่เวยโทรหาอลันทันที กัดฟันพูดทีละคำ “ไหนคุณว่าไม่มีทางมีใครกู้ภาพจากกล้องวงจรปิดได้ ทำไมทางนั้นถึงมีคลิปกล้องวงจรปิดล่ะ!”
ถ้าไม่ใช่เพราะเธอมั่นใจว่าอิ๋งจื่อจินไม่มีทางพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้ เธอจะโพสต์เวยปั๋วเรียกร้องความสงสารนั่นได้ยังไง
เวลานี้อลันนั่งอยู่บนเรือสำราญที่กำลังมุ่งหน้าไปยุโรปแล้ว
ย่อมไม่มีทางรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในโลกโซเชียลของประเทศจีน
พอได้ยินแบบนี้เขาก็อึ้งไปก่อน จากนั้นถึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เป็นไปไม่ได้แน่นอน ประเทศจีนไม่มีแฮกเกอร์คนไหนที่ฝีมือดีไปกว่าผม”
“งั้นฉันตาบอดเองเหรอ” อิ๋งลู่เวยโมโหควันออกหู “คุณมาหลอกเอาเงินใช่ไหม”
อลันกดวางสายทันที ทำเสียงฮึดฮัด
สมกับเป็นคนโลกแคบ ไม่ได้เข้าใจอะไรเลยสักนิด
กู้ภาพจากกล้องวงจรปิดที่เขาลบได้งั้นเหรอ
เว้นเสียแต่จะเป็นแฮกเกอร์อันดับต้นๆ ในสมาพันธ์แฮกเกอร์นิรนาม
จะเป็นไปได้ยังไง
ประเทศจีนมีคนขอร้องให้พวกเขาทำได้ด้วยเหรอ
ขนาดเขาที่อยู่ในสมาพันธ์แฮกเกอร์นิรนามมาได้ห้าปีแล้วยังไม่มีสิทธิ์ได้เจอคนพวกนั้น
ช่างน่าตลกสิ้นดี
อลันแสยะยิ้ม ถือกระเป๋าเอกสารลงจากเรือ
…
ภายในโรงแรม
อิ๋งลู่เวยเหม่อมองโทรศัพท์มือถือ เหงื่อแตกท่วมตัว
ผู้จัดการส่วนตัวเปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าที่แย่มาก “ลู่เวย ผมบอกแล้วว่าอย่าเชื่อคนนอกขนาดนั้น ตอนนี้จัดการยากแล้ว”
เขาโยนโทรศัพท์ให้เธอ “ดูเอาเองแล้วกัน!”
บนหน้าจอเป็นโพสต์เวยปั๋วที่ยาวมาก
อิ๋งลู่เวยรู้จักเวยปั๋วแอคเคาท์นี้ นี่เป็นแฟนคลับตัวยงของเธอคนหนึ่ง
แฟนคลับคนนี้ไปคอนเสิร์ตของเธอทุกครั้ง ทั้งยังคอยส่งของขวัญให้เธอทุกเทศกาล ยอมจ่ายเงินแสนกว่าเพื่อซื้ออัลบั้มเพลงเปียโนของเธออยู่บ่อยๆ
ถึงแม้เงินแสนกว่านี้จะเทียบไม่ได้กับเงินซื้อเครื่องสำอางของเธอในแต่ละเดือนเลยด้วยซ้ำ
แอทนักเปียโนน้อยของลู่เวย : [เมื่อวานตอนที่มีรูปถ่ายออกมา ฉันบอกทุกคนว่าให้ใจเย็นก่อน แต่ไม่มีใครฟังฉัน ถึงขนาดที่มีแฟนคลับหลายคนยังให้ทีมต้านแอนตี้แฟนบล็อกฉัน สถานการณ์ที่พลิกกลับในวันนี้เห็นกันแล้วใช่ไหม บทเรียนคราวก่อนยังไม่พออีกเหรอ
แล้วก็เวยปั๋วโพสต์นั้นของลู่เวย ฉันรู้สึกว่าเธอจงใจใช้ประโยชน์จากพวกเรา ขอโทษนะ อาจเพราะฉันเป็นคนความรู้สึกไวเกินไป แต่ฉันเป็นแฟนคลับต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ รู้สึกแค่ว่าความรักความจริงใจที่มีให้ในช่วงหลายปีมานี้ถูกหมากินไปแล้ว ยินดีที่ได้รู้จักกันนะทุกคน ขอลากันตรงนี้]
พอโพสต์นี้ปรากฏ ภายในเวลาไม่กี่นาทีก็มีแฟนคลับจำนวนไม่น้อยที่ถอนตัวออกจากกลุ่มแฟนคลับในเวยปั๋ว
แถมยังมีแฟนคลับหลายคนที่ทิ้งทวนก่อนไป ต่างด่าเธอว่า ‘นังตอแหล หลอกลวงแฟนคลับ’
อิ๋งลู่เวยมือสั่น โทรศัพท์ตกลงบนพื้น หน้าซีดยิ่งกว่าเดิม
“ผมบอกตั้งแต่ตอนแรกแล้วใช่ไหม วงการบันเทิงมันซับซ้อนเกินไป วันนี้คุณยืนอยู่บนที่สูง พรุ่งนี้คุณก็ตกลงมาได้” ผู้จัดการส่วนตัวนวดขมับด้วยความเหนื่อยล้า “ถ้าคุณอยากได้กระแสกับแฟนคลับ คุณก็ต้องทำด้วยความระมัดระวัง”
เขาหยุดเล็กน้อย จากนั้นถึงถามคำถามที่ไม่เข้าใจมาตลอด “ลู่เวย ทำไมคุณถึงได้รีบร้อนอยากเล่นงานหลานสาวตัวปลอมของคุณนัก เธอเป็นภัยต่อคุณตรงไหนเหรอ”
หรือว่า…
อิ๋งลู่เวยฟังไม่เข้าหูสักอย่างแล้ว ความหวาดกลัวแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนทะลักเข้ามาในจิตใจ ทำให้เธอนึกถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้ว
ไม่…ไม่ได้
มือสั่นๆ ของเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “ฮัลโหล มั่วหย่วน ช่วยฉัน ช่วยฉันด้วย…”
…
อีกด้านหนึ่ง
จงมั่นหวาเพิ่งลงจากเครื่องบิน กำโทรศัพท์ หายใจถี่เร็ว โมโหจนสมองแทบจะระเบิด
วันนั้นหลังจากเจียงฮว่าผิงพูดใส่เธอขนาดนั้น เธอก็คิดทบทวน รู้สึกว่าตัวเองทำผิดจริง
ยังไม่ทันได้ถามเรื่องราวให้กระจ่างก็โทษอิ๋งจื่อจิน แบบนี้ไม่ดี
แต่ครั้งนี้ล่ะ
รูปถ่ายยังจะปลอมได้อีกเหรอ
ทุกครั้งที่เธอไปเยี่ยมเสี่ยวเซวียนที่ยุโรป อิ๋งจื่อจินไม่มีทางที่จะอยู่อย่างสงบ
จงมั่นหวาถือกระเป๋า รีบไปที่ชิงจื้อ ไปที่ห้องทำงานของผู้อำนวยการโดยเร็วที่สุด
ผู้อำนวยการกำลังหารือกับเฮ่อสวินเกี่ยวกับนักเรียนคลาสนานาชาติ พอเห็นจงมั่นหวาที่เข้ามาด้วยความรีบร้อนเขาก็อึ้งไป
เขายังไม่ทันได้เอ่ยปากจงมั่นหวาก็ชิงพูดก่อน “ผู้อำนวยการคะ ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ ฉันมาจัดการเรื่องลาออกของลูก”
ผู้อำนวยการอึ้งต่อ
“เราเองก็ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” จงมั่นหวากัดฟัน ความรู้สึกอับอายทำให้เธอแทบเงยหน้าไม่ขึ้น “ลาออกเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดแล้ว เพื่อชิงจื้อ และก็เพื่อตัวเด็ก ผู้อำนวยการคะ แบบนี้…”
ยังไม่ทันพูดจบก็มีเสียง “ปัง” ประตูห้องทำงานถูกถีบเปิด
ตรงประตู อิ๋งจื่อจินสองมือล้วงกระเป๋า มองจงมั่นหวาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
อุณหภูมิลดลง เย็นจนน่ากลัว
พอจงมั่นหวาเห็นลูกสาวตัวเองก็พยายามทำให้น้ำเสียงนุ่มนวลขึ้น พูดอย่างอ่อนโยน “จื่อจิน ไม่ต้องกังวล แม่จะทำเรื่องลาออกให้ ส่งลูกไปเมืองนอก ไปสักสองสามปีให้เรื่องมันซาลงแล้วลูกค่อยกลับมาดีไหม”
“คุณนายอิ๋ง จำผิดคนแล้วค่ะ” อิ๋งจื่อจินเงยหน้าขึ้น ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “ ฉันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคุณ คุณไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับฉัน”
หันหน้า “ผู้อำนวยการคะ ทะเบียนประวัติของฉันเธอก็ยุ่งไม่ได้ใช่ไหมคะ”
ผู้อำนวยการพยักหน้าอย่างงงๆ “ใช่ ยุ่งไม่ได้ ผู้เฒ่าจงพูดแล้วครับ…”
ประโยคเดียวเหมือนโดนตบหนึ่งฉาด
จงมั่นหวากำกระเป๋าในมือแน่น
ต่อหน้าคนนอก เธอรู้สึกเพียงว่าหน้าชา เจ็บปวดแสบปวดร้อน “จื่อจิน ลูกพูดอะไรน่ะ แม่ทำเพื่อลูกนะ แม่ย่อมทนเห็นลูกถูกคนพวกนั้นรุมด่าไม่ได้ ลาออกดีกว่า…”
“เดี๋ยวนะครับเดี๋ยว” ผู้อำนวยการจำต้องขัดจังหวะจงมั่นหวา “คุณนายอิ๋งครับ คุณไม่ได้ดูเวยปั๋วล่าสุดเหรอครับ” จงมั่นหวาอึ้ง
ว่าไงนะ
ผู้อำนวยการดูจากสีหน้าของเธอก็รู้แล้วว่าเธอยังไม่รู้ เขาส่ายหน้า “ผมมีพอดีครับ คุณนายอิ๋งมาดูหน่อยดีกว่าครับ”
พูดจบเขาก็หันคอมพิวเตอร์ไปตรงหน้าจงมั่นหวา
คลิปเล่นจบอย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่สิบวินาที
จงมั่นหวาตัวแข็งทื่อ เหมือนถูกคนชกเข้าเต็มๆ แม้แต่เลือดที่ริมฝีปากก็ยังหายไปหมดไม่เหลือ
เธอถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างควบคุมไม่ได้ ไม่ค่อยกล้าเงยหน้ามองอิ๋งจื่อจิน
อิ๋งจื่อจินไม่สนใจเธอ หันไปพยักหน้าให้ผู้อำนวยการ จากนั้นก็เอาบันทึกการสนทนาที่พิมพ์ออกมาไว้แล้ววางบนโต๊ะ