ตะวันกับจันทราเป็นหนึ่งในเพลงเปียโนบรรเลงของวีร่า โฮลท์ซ
แต่งขึ้นในปีคริสศักราชหนึ่งพันเจ็ดร้อยห้าสิบหกเป็นเพลงเปียโนโซนาตา
โซนาตาเป็นดนตรีบรรเลงที่ประกอบไปด้วยหลายท่อน หนึ่งบทเพลงโซนาตาใช้เวลาบรรเลงประมาณสิบห้าถึงยี่สิบนาที
แตกต่างจากเพลงเปียโนบรรเลงทั่วไป บทเพลงโซนาตาซับซ้อนยิ่งกว่า ด้วยเหตุนี้ผู้บรรเลงจำเป็นต้องมีทักษะการเล่นเปียที่สูงมากและมีการแสดง ความอดทนที่เป็นเลิศ ซึ่งก็เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดระดับของผู้บรรเลงได้เช่นกัน
หากด้อยแม้เพียงเล็กน้อย หรือแรงส่งไปไม่ถึง ก็จะไม่สามารถบรรเลงได้อย่างราบรื่น
ความยากของเพลงตะวันกับจันทราจัดอยู่ในอันดับที่เก้าของโลก
อิ๋งจื่อจินเอามือเท้าคาง ดูโน้ตที่อิ๋งลู่เวยกางไว้จนจบ ครุ่นคิดเล็กน้อยก็เข้าใจ
ถึงแม้ส่วนใหญ่จะเหมือนกัน แต่นี่ไม่ใช่โน้ตเพลงที่เธอเขียน
ครั้งล่าสุดที่เธอจากโลกนี้ไปคือปีปีคริสศักราชหนึ่งพันเจ็ดร้อยแปดสิบสอง
ก่อนตายเธอไม่ได้เปิดเผยโน้ตดนตรีแก่สาธารณชน
น่าจะคนที่ฟังคอนเสิร์ตของเธอในตอนนั้นเอาไปแกะโน้ตแล้วเผยแพร่กันมา
แต่อย่างไรเสียแค่อาศัยการฟัง จุดผิดในดนตรีย่อมมีอยู่ไม่น้อย
จึงทำให้จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครสามารถบรรเลงเพลงตะวันกับจันทราออกมาได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่เพราะอะไร แต่มันยากมากนั้นเอง
อิ๋งจื่อจินนั่งนึกดูว่าทำไมตอนนั้นเธอถึงได้เรียนเปียโนกับนักดนตรีชั้นยอดพวกนั้น เป็นเพราะดนตรีทำให้เธอผ่อนคลายได้ ช่วยยกระดับจิตใจ
นึกไม่ถึงจริงๆ ว่า หลายปีผ่านไปเธอได้กลับมาโลกมนุษย์อีกครั้ง ชื่อวีร่า โฮลท์ซที่เธอตั้งส่งเดชจะกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ของวงการดนตรี
แถมยังเป็นเป้าหมายเรียกเรตติ้งของอิ๋งลู่เวย
อิ๋งจื่อจินเคาะแป้นพิมพ์ สีหน้าไม่แยแส
น่าเสียดาย ไม่มีโน้ตดนตรีที่แท้จริง ชาตินี้อิ๋งลู่เวยอย่าหวังจะเล่นเพลงตะวันกับจันทราออกมาได้ และก็ตามคาด เนื่องจากภาพลักษณ์ของอิ๋งลู่เวยพังแล้วพังอีก หลังจากทางสตูดิโอโพสต์เวยปั๋วนี้ก็เรียกกระแสจากชาวเน็ตได้ทันที
[ฉันทนไม่ไหวแล้ว ยังจะเล่นเพลงตะวันกับจันทรา ขนาดนักเปียโนชั้นแนวหน้าในประเทศยังไม่กล้าพูดว่าจะเล่นเพลงนี้ได้ แล้วนักเปียโนกิ๊กก๊อกยังจะมาทำวางมาดว่าเล่นได้อีกเหรอ]
[สร้างภาพโปรโมตว่าตัวเองเรียบร้อยใสซื่อยังไม่เท่าไร แต่มาบอกว่าตัวเองเป็นวีร่า โฮลท์ซ คนต่อไป ยางอายล่ะ]
[มาแตะต้องเทพธิดาวีร่าฉันทนไม่ได้แล้ว เธอมีพรสวรรค์กับความขยันแบบนั้นเหรอ บอกว่าจะตั้งใจทำเพลงก็ยังขยันสร้างซีน จอมเสแสร้ง เอาอย่างน้องอิ๋งบ้างสิ นิ่งสงบสยบทุกเรื่อง]
แฟนคลับของอิ๋งลู่เวยยอมไม่ได้
[คอมเมนต์บน พวกเรายอมรับว่าลู่เวยห่างชั้นกับวีร่ามาก ยังไงซะก็เกิดกันคนละศตวรรษ แต่คุณเอาลูกเลี้ยงมาเทียบกับลู่เวย ไม่คู่ควรเลยจริงๆ อิ๋งจื่อจินเล่นเปียโนเป็นหรือไง]
[ลูกเลี้ยงคนนี้มาจากบ้านนอกไม่ใช่เหรอ จะเล่นเปียโนเป็นได้ไง อย่ามาเทียบกับลู่เวย]
[แฟนคลับติงต๊อง สมัยนี้แค่ลูกเศรษฐีเล่นเปียโนเป็นก็เอามาโอ้อวดได้แล้วเหรอ เกินเยียวยาแล้วนะเราน่ะ]
อิ๋งจื่อจินสะสมศัพท์วัยรุ่นได้อีกแล้ว เธอวางโทรศัพท์ลง เคาะแป้นพิมพ์เรื่อยเปื่อย แฮกเข้าคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง
นั่งพิงเก้าอี้ เปิดโค้กหนึ่งขวด
…
อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทร ยังคงเป็นห้องใต้ดินที่เต็มไปด้วยกองถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
“ย้าก…ไอ้!”
มองหน้าจอที่มืดสนิท แฮกเกอร์สำลักบะหมี่เป็นครั้งที่สาม
ดวงตาของเขาปริ่มด้วยน้ำตาอุ่นๆ หัวใจแทบหยุดเต้น
[เจ๊ค้าบ มีอะไรอีกค้าบ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ฮือออ]
ก็แค่แฮกเข้าคอมพิวเตอร์ไปครั้งเดียวเพราะอยากรู้อยากเห็นไม่ใช่เหรอ
เขาไปทำเวรทำกรรมอะไรวะเนี่ย
ทางนั้นพิมพ์มาสามอักษร
[เอ็นโอเค]
พอเห็นสามอักษรนี้ สีหน้าของแฮกเกอร์ก็เปลี่ยนไปทันที
ทำไมถึงถามเรื่องนี้ล่ะ
เขาจะตอบไงดี
เขาพิมพ์ตอบด้วยความระมัดระวัง
[เจ๊รู้เรื่องเอ็นโอเคได้ไงอะ]
ครั้งนี้อิ๋งจื่อจินตอบแค่คำเดียว
[เร็ว]
“…”
พอแฮกเกอร์เห็นคำนี้ ไม่กี่วินาทีถัดมาก็ตบตัวเองหนึ่งที
พอ เจ๊ไม่ได้ถาม แต่กำลังข่มขู่
เดาได้เลยว่าถ้าวันนี้เขาไม่บอกว่าเอ็นโอเคคืออะไร คอมพิวเตอร์สิบกว่าเครื่องของเขาเอาไปขายให้ซาเล้งได้เลย
จากนั้นภารกิจของเขาก็สูญเปล่า
[ค้าบเจ๊ เดี๋ยวผมส่งลิงก์เว็บให้นะ เจ๊เข้าไปดูก็จะรู้เอง]
หลังจากพิมพ์ตอบแบบนี้ไป คอมพิวเตอร์ของเขาถึงกลับสู่สภาวะปกติ
แฮกเกอร์ถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย คิดอยู่ว่าเขาควรรายงานหน่อยหรือเปล่า
คิดๆ แล้วเขาก็ตัดสินใจไม่รายงานดีกว่า
ยังไงซะก็ไม่ใช่เด็กน้อยของเขา ปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นปวดหัวไป
เขาแฮปปี้!
แฮกเกอร์ยกถ้วยบะหมี่ขึ้นมากินต่อ
…
ณ โรงพยาบาลอันดับหนึ่ง
จงมั่นหวารีบร้อนเดินเข้ามา “คุณนายผู้เฒ่าเป็นไงบ้าง”
พ่อบ้านที่รออยู่หน้าห้องไอซียูปาดเหงื่อ รีบตอบ “คุณนาย คุณนายผู้เฒ่ายังไม่ฟื้นเลยครับ พวกหมอกำลังช่วยชีวิตอยู่”
ครั้งนี้ที่คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งหมดสติไป ครึ่งหนึ่งเป็นเพราะโมโห อีกครึ่งเป็นเพราะตกใจคำพูดของผู้เฒ่าจง
จงมั่นหวาเองก็หงุดหงิด “ติดต่อโรงพยาบาลตี้ตูหรือยัง”
“เมื่อครู่คุณลู่เวยโทรไปแล้วครับ” พ่อบ้านตอบ “อาจารย์ของคุณลู่จื่อจะมาด้วยตัวเองครับ”
“งั้นก็ดีเลย” จงมั่นหวาโล่งอกขึ้นมาหน่อย “ให้โรงพยาบาลอันดับหนึ่งประคองอาการคุณนายผู้เฒ่าให้คงที่ก่อน”
ถึงแม้อาจารย์ของลู่จื่อจะเรียนแพทย์แผนจีน แต่เนื่องจากเกี่ยวข้องกับตระกูลเมิ่งอยู่บ้าง ฝีมือในการรักษาจึงสูงกว่าหมอแผนจีนทั่วไป
จงมั่นหวารออีกหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดประตูห้องไอซียูก็เปิดออก
เห็นหมอเจ้าของไข้เดินออกมา อิ๋งลู่เวยจึงรีบเดินเข้าไปหา “คุณหมอคะ คุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ”
“ร่างกายของคุณนายแย่ลงเรื่อยๆ” หมอเจ้าของไข้ส่ายหน้า “อาการน่าเป็นห่วง ผมขอแนะนำให้พวกคุณเตรียมใจไว้บ้างนะครับ”
พอคำพูดนี้ออกมาทั้งสามคนก็ตกใจ
รุนแรงขนาดนั้นเลยเหรอ
“แต่ก็ใช่ว่าจะหมดทางรักษา” หมอเจ้าของไข้เงียบไปเล็กน้อย “ไม่ทราบว่าพวกคุณเคยได้ยินโรงพยาบาลเซ่าเหรินไหมครับ”
จงมั่นหวาขมวดคิ้ว “โรงพยาบาลแพทย์แผนจีนนั่นเหรอคะ”
เธอต้องเคยได้ยินโรงพยาบาลเซ่าเหรินอยู่แล้ว เมื่อก่อนโรงพยาบาลนี้ดังมาก
แต่พอแพทย์แผนตะวันตกค่อยๆ เข้ามา แพทย์แผนจีนเริ่มมีบทบาทน้อยลง โรงพยาบาลเซ่าเหรินจึงเทียบไม่ได้กับเมื่อก่อนแล้ว
“ถูกต้องครับ” หมอเจ้าของไข้พยักหน้า “ที่นั่นมีคุณหมอมาใหม่ท่านหนึ่ง ฝีมือการรักษาสูงมาก พวกคุณลองดูได้นะครับ”
จงมั่นหวามีสีหน้าเรียบเฉย ปฏิเสธอย่างสุภาพ “ไม่ดีกว่าค่ะ”
อาจารย์ของลู่จื่อจะมาด้วยตัวเองอยู่แล้ว ในเมืองฮู่เฉิงยังจะมีหมอคนไหนที่ฝีมือการรักษาสูงกว่าอีกเหรอ