The Divine Nine Dragon Cauldron – ตอนที่ 644

ตอนที่ 644

DND.644 – แปดจากสิบดินแดนที่ถูกบดขยี้
วู่เหิงเพิ่งจะได้คิดเขาเบิกบานใจยิ่งนักที่ซือหยูรับเขามาเป็นข้ารับใช้
เพราะถ้าวันหนึ่งเขาต้องมาเผชิญหน้ากับหนุ่มเลือดร้อนผู้นี้เขาก็อาจจะต้องพบกับชะตาที่อยากจะเลี่ยงเสียให้ได้ เมื่อคิดเขาก็มองซือหยูด้วยความนับถือยิ่งกว่าเดิม
ทุกคนเห็นได้เลยว่าซือหยูมีพรสวรรค์เพียงใดเขาชักจูงให้กลุ่มคนที่เพิ่งจะหมดหวังและพร้อมหนีได้มีพลังขึ้นมา พรสวรรค์ที่ทำให้เขาชี้นำคนนับหมื่นได้เช่นนี้จะต้องมาจากอุปนิสัยแต่เดิมของเขาเอง
คนเช่นนี้จะต้องสำเร็จอีกมากแม้แต่ในเขตกลางก็ตาม!วู่เหิงคิดกับตัวเอง เขาแอบชื่นชมซือหยู
การตอบสนองจากคนนับหมื่นทำให้ฟ้าดินสั่นคลอนซือหยูได้กลายเป็นผู้ทรงอำนาจ เขาเหมือนกับนายพลที่ไร้เทียมทาน!
แววตาอันเปี่ยมไปด้วยพลังมองไปยังขอบนภาไร้ขอบเขต
“เอาล่ะคนที่คิดจะรับใช้บ้านเกิดและสหายของพวกเจ้า จงตามข้ามา! เราจะใช้ความกล้าหาญฆ่าผู้รุกรานให้หมดสิ้น!”
ซือหยูตะโกนราวกับเสียงสายฟ้า
“ฆ่า!”
“ฆ่า!มัน!”
“มัน!ต้อง! ตาย!”
เสียงตะโกนเป็นหนึ่งของเหล่าผู้คนดังก้องไปหลายร้อยลี้ท้องนภาส่งเสียงคำรามไม่หยุด เมฆาครึ้มก้อนใหญ่ได้พุ่งไปยังทวีปเหนือด้วยพลังที่แข็งแกร่ง
ที่ทวีปเหนือหนึ่งในดินแดนที่มีตำหนักรองของอาณาจักร
เขตชายแดนนั้นมีการคุ้มกันอย่างแน่นหน้าจากทั้งสี่ทิศจากองครักษ์ชุดแดงและชุดม่วงแต่ละคนมีกระบี่คมกริบในมือ สีหน้าเคร่งขรึมของพวกเขาทำให้บรรยากาศตึงเครียด
ในตำหนักคนของอาณาจักรสวมชุดหลากสี ทุกคนดูเร่งรีบกับการรวบรวมข้อมูล มีคนเดินเข้าออกตำหนักเพื่อรายงานผลจากการต่อสู้ตลอดเวลา
“เจ้าตำหนักหนานกวงการรบวันนี้เป็นอย่างไร?”
ในตำหนักชายแก่สวมชุดแดงถามอย่างเคร่งขรึม
ขณะที่เขาพูดไฝเม็ดโตขยับขึ้นลงที่มุมปาก สตรีวัยกลางคนในชุดสีม่วงนั่งถัดจากเขา
นางไม่ได้งดงามนักดวงตาของนางเป็นประกาบเมื่อมองรายงานที่มาถึงอย่างต่อเนื่อง นางสนใจอยู่กับหน้าที่ของตัวเอง
“ผู้ตรวจการไป่หยุนโปรดให้ข้าได้จัดการข้อมูลเถอะ”
นางเงยหน้าไปสบตาเขาก่อนจะก้มลงไปดูรายงานตามเดิม
ชายแก่ชุดแดงที่มีไฝตรงมุมปากคือผู้ตรวจการของอาณาจักรทมิฬเขาทำหน้าที่ตรวจสอบตำหนักรองทั้งสี่ของอาณาจักร
“ก็ได้เจ้าอ่านให้ละเอียด ถ้าเจอข้อมูลใหม่ให้รายงานข้าทันที”
ผู้ตรวจการไป่หยุนนั่งลงราวกับเป็นขุนพลคนสำคัญ
เจ้าตำหนักหนานกวงขมวดคิ้วเบาๆเพราะนางรู้ว่าผู้ตรวจการไป่หยุนไม่พอใจกับผลงานของนาง แต่การต่อสู้นั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ยากที่นางจะทำให้ผู้ตรวจการพอใจได้
“ค่ะ”
หนานกวงตอบอย่างเรียบเฉยและก้มลงอ่านรายงานอีกครั้งเพราะนางต้องวางแผนการรบ
แม้ผู้ตรวจการไป่หยุนจะดูใจเย็นเขาก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาลุกขึ้นหลังจากนั่งได้ไม่นานและยืนมือไพล่หลังมองออกไปภายนอก เขาดูเป็นกังวลและกระวนกระวาย
ในตอนนั้นเองมีคนตะโกน
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
หนานกวงเป็นคนตะโกนนางเงยหน้าทันที
ผู้ตรวจการไป่หยุนหันไปมองนางอย่างรวดเร็ว
“ว่ามา!มันเกิดอะไรขึ้น?”
“เกรงว่าเราจะต้องทิ้งตำหนักรองของทวีปเหนือในอีกสามวัน”
“เจ้าหมายความว่ายังไง?”
ผู้ตรวจการไป่หยุนใจหาย
เจ้าตำหนักหนานกวงหยิบเอาชิ้นส่วนผ้่าขึ้นมา
“ตามข้อมูลล่าสุดที่ข้าได้กองทัพศัตรูมาถึงดินแดนทั้งสิบของตำหนักรองแล้ว กองทัพของพวกมันจะเข้ายึดในอีกไม่นาน”
“ทำไมพวกมันมาเร็วนักเล่า?ถ้าเช่นนั้น คณะวิหคเพลิงที่รับมืออยู่ก็พลาดท่าแล้วสินะ?”
สีหน้าของผู้ตรวจการไป่หยุนเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
“เรื่องใหญ่คือกองทัพพวกมันที่เล็งคณะวิหคเพลิงมาโดยตลอดกลับเปลี่ยนเป้าหมายมาทางใต้นั่นแสดงว่าคณะวิหคเพลิงล่มสลายแล้ว”
เจ้าตำหนักหนานกวงใจหายเช่นกัน
“คณะวิหคเพลิงควรจะได้รับการปกป้องอย่างแน่นหนาพลังที่มีแข็งแกร่งจนภูติระดับสองทำลายไม่ได้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะหนอนบ่อนไส้ พวกเขาก็คงจะไม่ถูกทำลายง่ายๆแบบนี้!”
นางพูดต่อ
“ก่อนหน้านี้พวกต่างโลกโค่นคณะวิหคตเพลิงไม่ได้แม้จะใช้เวลาเนิ่นนาน แล้วทำไมคณะวิหคเพลิงถึงล่มสลายตอนนี้เล่า? จะต้องมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นแน่!”
เจ้าตำหนักหนานกวงรู้สึกแปลกๆ
“เราควรจะถอยออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดตำหนักรองของทวีปเหนือไม่ได้แข็งแกร่งเท่าคณะวิหคเพลิง ถ้าหากมีใครมาถึงก็คงจะใช้เวลาไม่เกินครึ่งเดือนในการมาถึงกลางดินแดน พอถึงตอนนี้เราจะสูญเสียอย่างหนัก”
แต่ผู้ตรวจการไป่หยุนก็ดูจะไม่คิดว่านี่เป็นทางเลือก
“เราจะไม่ถอย!นี่เป็นคำสั่งจากตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืด!”
เขาตะโกน
เจ้าตำหนักหนานกวงชักสีหน้า
“ตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืดรึ?พวกเขาตื่นขึ้นมาแล้วรึ?”
คนนอกอาจจะรู้จักแค่เจ็ดจ้าวแห่งความมืดมีน้อยคนนักที่จะรับรู้ถึงการมีอยู่ของตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืด คนที่อยู่ในตำหนักของเจ็ดจ้าวแห่งความมืดก็คือกลุ่มเจ็ดจ้าวแห่งความมืดยุคก่อนๆ
เมื่อเจ็ดจ้าวแห่งความมืดผ่านช่วงเวลาวัยหนุ่มสาวพวกเขาก็จะออกจากกลุ่มจ้าวแห่งความมืด แต่พวกเขายังมีฐานะเป็นศิษย์ของราชาจึงไม่เหมาะสมที่จะมีตำแหน่งในอาณาจักร นั่นก็เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาต่อสู้กันเองเพื่อชิงอำนาจ
เมื่อพวกเขาออกจากกลุ่มเจ็ดจ้าวแห่งความมืดพวกเขาก็จะเข้าไปในตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืด พวกเขาจะบ่มเพาะพลังอย่างปลอดภัยและไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องจากภายนอก แน่นอนว่ายกเว้นเสียแต่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น
และตอนนี้ทวีปกำลังพบกับภัยคุกคามครั้งใหญ่ตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืดในตำนานจำต้องเปิดออก ไม่มีใครรู้ว่าเจ็ดจ้าวแห่งความมืดจากยุคก่อนๆจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ทุกคนก็รู้ว่าแต่ละคนข้างในตำหนักนั้นเป็นตัวแทนผู้มีพรสวรรค์จากแต่ละยุคสมัย
โดยเฉพาะตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนที่พลังวิญญาณของเฉินหลงเพิ่มขึ้นอย่างมาก นั่นทำให้พวกเขามีพลังมากขึ้น! แต่ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาได้กลายเป็นภูติหรือไม่
ตลอดมาราชาแห่งความมืดยังคงเก็บตัวไร้ข่าวคร่าว ดังนั้นตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืดจึงต้องกลายเป็นกำลังหลักในการตัดสินเรื่องราวต่างๆในอาณาจักรทมิฬ
“ใช่แล้วนี่เป็นคำสั่งจากตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืด ทวีปเหนือคือดินแดนเดียวที่เหลืออยู่ของอาณาจักรทมิฬ ที่อื่นถูกทำลายหมดแล้ว อาณาจักรทมิฬไม่เหลืออะไรแล้ว! พวกเจ้าทุกคนต้องต่อสู้จนตัวตายและห้ามถอยแม้จะอยู่ต่อหน้าศัตรู!”
ผู้ตรวจการไป่หยุนตะโกน
เจ้าตำหนักหนานกวงหน้าซีดนางขบริมฝีปากแดงด้วยความโกรธและไม่เต็มใจ นางตะโกนตอบ
“ตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืดอยากจะให้พวกเรารอความตายอยู่ที่นี่ล่ะสิ!”
ผู้ตรวจการไป่หยุนขมวดคิ้วมองนาง
“หืม?เจ้ากล้าตั้งคำถามต่อตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืดเรอะ? เจ้าที่เป็นเจ้าตำหนักทางใต้หลบหนีการต่อสู้ สมควรถูกโทษประหาร ตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืดไว้ชีวิตเพราะเจ้าภักดีต่ออาณาจักร เจ้าเลยได้มาแทนที่หลิงเสี่ยวเทียน เจ้ามีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะความเมตตาจากตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืด ทั้งอย่างนั้นเจ้าก็ยังมีความรู้สึกไม่เต็มใจเช่นนี้เรอะ?”
ตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืดเริ่มใช้อำนาจตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนรึ?เจ้าตำหนักหนานกวงเข้าใจแล้วว่าทำไมนางจึงถูกย้ายจากใต้ขึ้นเหนือ
แต่เจ้าตำหนักหนานกวงต้องระวังตัวแต่ตอนนี้นางมิอาจพูดถึงความยากลำบากที่ทวีปเหนือต้องเจอ
หากไม่พูดถึงเรื่องการหายตัวไปของหลิงเสี่ยวเทียนดินแดนห้าเขตในสิบที่ว่างเปล่าก็ทำให้นางปวดหัวอยู่แล้ว เจ้าตำหนักรองครึ่งหนึ่งถูกฆ่าตาย
รองเจ้าตำหนักลำดับแรกเฉินคงรองเจ้าตำหนักสองหลิวลี่ รองเจ้าตำหนักสามอังฟาง รองเจ้าตำหนักเสี่ยวกวง รองเจ้าตำหนักซางเจี้ยน ทุกคนตายหมด พวกที่เหลือคือเฟิงฉิง ซื่อเหยา ฮั่วฉีที่เป็นรองเจ้าตำหนักลำดับท้ายๆ
เรื่องที่แย่ที่สุดก็คือรองเจ้าตำหนักทุกคนถูกสังหารด้วยคนคนเดียวคนคนนี้คือรองเจ้าตำหนักที่หายตัวไป รองเจ้าตำหนักหยินหยู!
“ในปีนั้นถ้าไม่ใช่เพราะการกระทำของผู้ตรวจการไป่ฮีกับจ้าวไป่ลั่ว รองเจ้าตำหนักหยินหยูก็คงไม่หายตัวไปจนถึงวันนี้ เขาคืออัจฉริยะที่แท้จริงที่พรสวรรค์ไม่ต่ำไปกว่าเจ็ดจ้าวแห่งความมืด”
ตอนนี้ด้วยข่าวการตายของไป่ลั่วกับเฉินยิ่ง เหตุที่เกิดขึ้นในปีก่อนๆมิใช่เรื่องสำคัญอีกแล้ว ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าความจริงคืออะไร
ผู้ตรวจการไป่หยุนถาม
“แล้วจะอย่างไร?เขาก็แค่เด็กคนเดียว มันสร้างความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้หรอก”
ผู้ตรวจการไป่หยุนไม่ได้คิดอะไรกับเรื่องนี้มากนัก
“หารือเรื่องที่ต้องทำตอนนี้เถอะไม่ว่าอะไรจะเกิด เราจะถอยไม่ได้! ยังเร็วไปสำหรับการถอย เรายังมีเวลาก่อนที่ศัตรูจะขึ้นมาจากทางใต้ ต่อให้พวกมันมาถึงแล้ว พวกมันก็ต้องใช้เวลากว่าจะมาถึงที่นี่…”
“รายงาน!”
จู่ๆก็มีเสียงดังจากภายนอก
ชายหนุ่มสวมชุดเขียวที่ดูแตกต่างจากคนส่งสารคนอื่นถือเพลิงสีฟ้ารีบปรี่เข้ามาทหารทุกคนหลีกทางให้เขาด้วยความตกใจ
ผู้ตรววจการไป่หยุนเลิกคิ้ว
“ข้อความวิญญาณครามนี่มันข้อความด่วนที่สุด!”
หนานกวงใจหาย
“ทำไมมันถึงถูกส่งมากัน?”
ข้อมูลแบ่งเป็นสามประเภทตามสีสีเหล่านั้นคืออำพัน มรกต และสีคราม
สีครามบ่งบอกถึงข้อมูลระดับสูงสุดสีอำพันคือข้อมูลระดับต่ำสุด มันมักจะเป็นข้อมูลสำคัญเรื่องการเคลื่อนไหวของศัตรู สีมรกตคือข้อมูลระดับกลางที่สำคัญ เช่นทิศทางการเคลื่อนไหวของศัตรู ข่าวที่มีระดับแบบนี้จะถูกเจ้าตำหนักเปิดดูได้เท่านั้น
ข้อมูลระดับสูงสุดเช่นนี้ไม่ถูกส่งมาเลยตั้งแต่ที่ทวีปเหนือถูกบุกรุก!และตอนนี้มันปรากฏขึ้นมา นั่นหมายถึงเรื่องร้ายแรงที่พวกเขากำลังจะเจอ! ผู้ตรวจการไป่หยุนกับเจ้าตำหนักหนานกวงสีหน้าแย่ลงอย่างมาก
ชายหนุ่มที่มีเพลิงในมือรีบเดินมาหาทั้งสองเขาดูหวาดกลัวมาก เจ้าตำหนักหนานกวงรับเพลิงด้วยมือและอัดพลังชีวิตลงไป
เพลิงดับมอดลงแต่เพลิงก็แทนที่ด้วยดาราเพลิงที่วาดภาพบนกลางอากาศ ภาพแม่น้ำโลหิตได้ถูกขีดเขียนจากดาราเพลิงนั้น
ในแสงดารามีพื้นที่เต็มไปด้วยซากศพเสียงตะโกนอย่างบ้าคลั่งของคนที่กำลังหนีดังออกมา มีภาพคนที่หนีด้วยน้ำตาไหลพราก
ฟึ่บ
แสงดาราได้กลายเป็นสีแดงเมื่อเหล่าเด็กๆที่หนีไม่ทันถูกบั่นคอโลหิตของเขากระจายไปทั่วภาพแสง
ในความโกลาหลทุกคนจะเห็นร่างชุ่มโลหิตที่หัวเราะพร้อมกับเหยียบย่ำแสงดารา จากนั้นก็เกิดเสียงแตก ม่านแสงได้แตกเป็นเสี่ยง
ภาพขุมนรกนี้ทำให้เจ้าตำหนักหนานกวงกับผู้ตรวจการไป่หยุนสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง
“นี่มันเขตเฟิงฉิง…รองเจ้าตำหนักเฟิงฉิงเพิ่งจะตายจากการต่อสู้…”
นางจดจำคนที่ถูกบั่นคอได้นั่นคือรองเจ้าตำหนักเฟิงฉิง!
“ศัตรูมาถึงเร็วอย่างนี้ได้ยังไง?”
ผู้ตรวจการไป่หยุนตกใจ
“แต่เรายังมีเวลาเขตเฟิงฉิงอยู่ส่วนนอก ต้องใช้เวลาก่อนที่พวกมันจะมาถึงใจกลาง…”
“รายงาน!”
จากนั้นก็มีเสียงอันร้อนรนดังขึ้นมาอีกจากบนฟ้าชายหนุ่มสวมชุดสีเขียวถือเพลิงครามในมือกำลังบินเข้ามา
“ข้อความวิญญาณคราม…”
เจ้าตำหนักหนานกวงหน้าซีดอีกครั้ง
เพลิงครามถูกส่งถึงมือนางอย่างรวดเร็วนางมือสั่นเมื่อดับไฟและพบม่านแสงฉายภาพ
เพลิงโลหิต ซากศพ แม่น้ำโลหิต…เสียงร่ำไห้ เสียงตะโกน เสียงหัวเราะอย่างชั่วร้ายดังขึ้นมาอีกครั้ง
“เขตซื่อเหยา…ไปแล้ว…”
เจ้าตำหนักหนานกวงรู้สึกราวกับถูกเข็มแทงหัวใจ
ผู้ตรวจการไป่หยุนสูดหายใจเข้าลึก
“เป็นไปได้ยังไง?เขตซื่อเหยาอยู่อีกด้านของทวีป ศัตรูจะโจมตีจากสองด้านพร้อมกันได้ยังไง?”
“รายงาน!”
“รายงาน!”
มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากด้านนอกอีกสองเสียงทุกคนชักสีหน้า นั่นก็เพราะพวกเขายังเห็นอีกหลายคนที่กำลังบินเข้ามา
มีแปดคนที่พุ่งตรงมายังพวกเขาทั้งหมดมาด้วยรายงานด่วน…
“เขตซางเจี้ยนแตกพ่าย”
“เขตเฉินคงแตกพ่าย”
“เขตหลิวลี่แตกพ่าย”
“เขตอังฟางแตกพ่าย”

สุดท้ายเมื่อหนานกวงได้เพลิงอีกลูก มือของนางสั่นอย่างแรงจนไม่มีพลังจะมองดูข้อความภายใน แปดในสิบเขตถูกทำลายพร้อมกัน!

The Divine Nine Dragon Cauldron

The Divine Nine Dragon Cauldron

Status: Ongoing

หนึ่งประสงค์ทำลายสุริยันจันทราและหมู่ดารา ดัชนีเดียวเข่นฆ่าราชันย์สวรรค์ เพียงปริปากทั้งสวรรค์แลสิบภพพลันวินาศ

เด็กยากจนเดินทางออกจากหุบเขาห่างไกลพร้อมกับมังกรนพเก้าและหม้อวิเศษที่ควบคุมกาลเวลาและพื้นที่กว้างใหญ่ เขาใฝ่หาเส้นทางแห่งพระเจ้าเพื่อท้าทายจักรวาลอันไม่มีสิ้นสุดและต่อสู้กับยุคสมัยในตำนาน

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท