หลินสี่อึ้ง
เขาไม่รู้ว่าทำไมเซิ่งชิงถังถึงถามแบบนี้ แต่เขาก็ตอบ “ใช่ครับประธานเซิ่ง เมื่อวันเสาร์ผมเพิ่งเอาภาพนี้ไปให้อาจารย์เว่ยโฮ่ว เขาบอกว่าเป็นภาพฝึกเขียนของเขา”
“ภาพฝึกเขียนเหรอ” เซิ่งชิงถังข่มอารมณ์ นึกขึ้นได้ว่านี่ไม่ใช่ลูกชายของเขา ตบกบาลไม่ได้
เขาโมโหจนแสยะยิ้ม “ฝีมือห่วยๆ อย่างเว่ยโฮ่ว ยังจะมีหน้าบอกว่าภาพเขียนนี้เป็นผลงานฝึกเขียนของตัวเองอีกเหรอ เขาคู่ควรเหรอ!”
พอคำพูดนี้ออกมา ปรมาจารย์ในแวดวงศิลปะคนอื่นๆ ก็หน้าถอดสี
ถึงแม้เซิ่งชิงถังจะให้ความสำคัญกับภาพเขียนอักษรพู่กันโดยเฉพาะ แต่เขาก็มีผลงานในด้านจิตรกรรมจีนโบราณและประติมากรรมแกะสลัก เป็นบุคคลที่สูงส่งมากในวงการศิลปะ แทบจะเรียกได้ว่าไม่เหมือนใคร
นิสัยของเขาก็พิลึกมาก ไม่มีลูกศิษย์
แต่นี่ไม่ใช่อุปสรรคต่อการเป็นบุคคลที่น่าเคารพของปรมาจารย์ศิลปะคนอื่นๆ
ในเมื่อเซิ่งชิงถังพูดแบบนี้ก็แสดงว่ามองอะไรออก
หลินสี่งุนงง
“ไปเรียกไอ้คนเส็งเคร็งเว่ยโฮ่วมาตอนนี้ เดี๋ยวนี้!” เซิ่งชิงถังตวาดเสียงใส่ประธานสมาคมศิลปะแห่งฮู่เฉิง “ฉันต้องการเจอเขาในสิบนาที”
“ประธานเซิ่ง ใจเย็นๆ ครับใจเย็นๆ” ประธานสมาคมศิลปะแห่งฮู่เฉิงรีบขอโทษขอโพย “ผมจะไปเดี๋ยวนี้ ท่านเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาไม่นาน อย่าโมโหไปเลยครับ”
“อย่ามายุ่ง…” เซิ่งชิงถังโมโหขึ้นมาอีกรอบ กำลังจะตวาดเสียงก็เห็นเด็กสาวที่อยู่เยื้องไปทางขวาเหลือบมองมา
ใจเย็นๆ สายลมเอื่อยๆ
เซิ่งชิงถังถึงหยุดทันที
แย่ละ
เขาลืมไปว่าหมออิ๋งอยู่ที่นี่
เกิดคราวหน้าเขาเผลอลื่นล้มหัวฟาดพื้นอีก เดี๋ยวไม่มีคนรักษาให้เขา
“อะแฮ่ม” เซิ่งชิงถังร้อนตัวนิดหน่อย เขาสะบัดมือ สีหน้าบึ้งตึง “เร็วเข้า”
“ครับๆๆ”
ประธานสมาคมศิลปะแห่งฮู่เฉิงรีบออกไป
คอมเมนต์บนหน้าจอระอุอีกครั้ง
[โอ้โห ผู้เฒ่านี่ใครกัน ทำไมแม้แต่ประธานสมาคมศิลปะแห่งฮู่เฉิงก็ต้องนอบน้อมให้ขนาดนี้]
[แถมยังบอกว่าเว่ยโฮ่วไม่คู่ควรกับภาพเขียนอักษรนี้ ถึงจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่กลับรู้สึกน่าเชื่อถือ]
[อ๊ากก นี่มันเซิ่งชิงถังนี่!]
[งงตาแตก เซิ่งชิงถังเป็นใคร]
[ตอบคอมเมนต์เมื่อกี้ เซิ่งชิงถังเป็นอดีตประธานสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีน ถนัดการเขียนอักษรแบบลี่ ข่าย เฉ่า ต้าจ้วน เสี่ยวจ้วน เป็นต้น ภาพเขียนอักษรแต่ละภาพราคาเริ่มต้นที่สิบล้าน นอกจากนี้ยังถนัดจิตรกรรมจีนโบราณ ภาพพิมพ์ ประติมากรรมแกะสลัก สารพัดทักษะในโลกศิลปะ เคยถูกเชิญไปร่วมการแข่งขันประติมากรรมแกะสลักที่ยุโรป คว้าแชมป์เหนือประเทศอื่นมาได้]
[เมื่อสามปีก่อนเซิ่งชิงถังออกจากตำแหน่งประธานสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีน หลบไปใช้ชีวิตแล้ว ขนาดเพื่อนร่วมงานยังหาตัวเขาไม่เจอ นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เห็นที่นี่]
[ถึงขนาดเอาชนะประเทศอื่นในยุโรปได้ ผลงานแกะสลักของเขาจะต้องสุดยอดมากขนาดไหน]
[อื้อหือ ชิงจื้อเชิญมาได้แม้กระทั่งเซิ่งชิงถัง ผู้อำนวยการเจ๋งเกินไปแล้ว วันนี้ไม่เสียแรงที่โดดเรียนมาดูถ่ายทอดสด]
ครั้นแล้วบนหน้าจอก็มีแต่คอมเมนต์ชมผู้อำนวยการเก่ง
ผู้อำนวยการ “…”
เขาเปล่านะ
เขาจะไปมีเกียรติขนาดนั้นได้ยังไง เขาเองก็งงเหมือนกัน
…
ที่ด้านล่างเวที
เล็บของจงจือหว่านจิกเข้าฝ่ามือ โมโหจนดวงตาแดงก่ำ
เซิ่งชิงถังรู้ด้วยเหรอว่าภาพเขียนนั่นไม่ใช่ของเว่ยโฮ่ว
แต่ทำไมเซิ่งชิงถังถึงลดตัวมาที่นี่ได้
หรือว่าภาพนี้เซิ่งชิงถังเป็นคนเขียน
จงจือหว่านขมวดคิ้ว
ไม่มีทาง
สไตล์ของเซิ่งชิงถังชัดเจนมาก อักษรสิงข่ายของเขาไม่ได้เขียนสไตล์นี้
ตราบใดที่เว่ยโฮ่วไม่ยอมรับ เซิ่งชิงถังก็ไม่มีหลักฐาน
ต่อให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ไม่มีทางสาวมาถึงตัวเธอ ยังไงซะก็เป็นเว่ยโฮ่วเองที่โลภมาก
จงจือหว่านตั้งสติ รู้สึกโล่งอกขึ้นมาบ้าง
…
ยังไม่ถึงสิบนาทีประธานสมาคมศิลปะแห่งฮู่เฉิงก็กลับมา
ด้านหลังมีเจ้าหน้าที่สองคนประคองเว่ยโฮ่วเดินมาทางนี้
เว่ยโฮ่วหน้าซีด เขาเมารถ เมื่อครู่อาเจียนไปหลายครั้ง
หลินสี่ตะโกนเรียก “อาจารย์เว่ยโฮ่ว”
เว่ยโฮ่วยโสยิ่งกว่า มีเหรอจะสนผู้น้อย
เขาไม่แม้แต่จะมองหลินสี่ กระแอมเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปพูดด้วยความนอบน้อม “ประธานเซิ่ง ไม่ทราบว่าท่านให้เกียรติมาถึงที่นี่ เว่ยโฮ่วผิดที่ไม่ได้มาต้อนรับ ขออภัยด้วยครับ”
“ผิดที่ไม่ได้มาต้อนรับงั้นเหรอ” เซิ่งชิงถังมองด้วยสายตาเย็นชา “ถ้านายมาต้อนรับฉัน ฉันสิจะอายุสั้น!”
เว่ยโฮ่วหน้าขรึม “ประธานเซิ่งหมายความว่าไงครับ”
เซิ่งชิงถังก็แค่อาศัยความที่แก่กว่าเขายี่สิบปีถึงได้ตำแหน่งประธานสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนไม่ใช่เหรอ
ถ้าเป็นรุ่นเดียวกัน เซิ่งชิงถังมีเหรอจะสู้เขาได้
“ฉันหมายความว่าไงน่ะเหรอ” เซิ่งชิงถังพูดด้วยน้ำเสียงประชด หยิบม้วนภาพเขียนขึ้นมา “เขาบอกว่านายเป็นคนเขียนภาพนี้ อธิบายสิ”
เว่ยโฮ่วมองไป หนังตากระตุก
เขาจำภาพเขียนภาพนี้ได้ติดตา
นี่เป็นฝีมือระดับสูงที่ต่อให้เขาฝึกอีกสิบปีก็ยังทำไม่ได้
เว่ยโฮ่วมีชื่อเสียงในวงการศิลปะมานาน รู้จักคนอยู่ไม่น้อย มองปราดเดียวก็รู้ว่าภาพเขียนภาพนี้ไม่ใช่ผลงานของนักเขียนอักษรพู่กันที่มีชื่อเสียงคนไหนทั้งนั้น
คนที่มีสถานะต่ำกว่าเขาไม่มีใครกล้าล่วงเกินเขา ทำได้เพียงยกภาพนี้ให้กับเขา
ดังนั้นตอนที่หลินสี่เอามา เว่ยโฮ่วถึงยอมรับทันที
ที่เขาไม่ออกไปไหนมานานแล้วเพราะเผชิญกับจุดอิ่มตัว
ภาพเขียนภาพนี้สามารถช่วยให้เขายืนอยู่ในวงการศิลปะได้มั่นคงยิ่งขึ้นพอดี
“ถูกต้องครับ” เว่ยโฮ่วยังคงไม่ปฏิเสธ “นี่เป็นผลงานฝึกเขียนของผมเอง ประธานเซิ่งอยากพูดอะไรเหรอครับ”
เขาไม่เห็นว่าขณะที่เขาพูด บนหน้าจอขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังเต็มไปด้วยคำว่า ‘ขยะ’
[ปีนี้เว่ยโฮ่วอายุห้าสิบแล้วหรือเปล่า เขียนอักษรสู้เด็กมัธยมอายุสิบเจ็ดไม่ได้ มิน่าถึงถูกเรียกว่าขยะ]
[ฮ่าๆๆ ยอมรับต่อหน้าทุกคนด้วยนะ คงไม่รู้เรื่องก่อนหน้านี้สิท่า ตบหน้าได้เจ็บมากจริงๆ]
[ฉันจำได้ว่าเว่ยโฮ่วก็เป็นสมาชิกสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนด้วยหรือเปล่า ดูเหมือนจะตำแหน่งสูงด้วยนะ นี่มัน…]
สายตาของเซิ่งชิงถังเย็นชายิ่งกว่าเดิม “ดังนั้นนายเองก็รู้ว่ามีนักเรียนเอาผลงานของนายไปโกงการประกวดงั้นสิ”
เว่ยโฮ่วขมวดคิ้ว นึกถึงคำพูดของจงจือหว่านวันนั้น เขายังคงใจเย็น “ผมให้นักเรียนยืมไปเลียนแบบ ทำไมเหรอ ถูกใครขโมยไปเหรอครับ”
“ประธานเซิ่ง นี่เป็นผลงานของอาจารย์เว่ยโฮ่วจริงๆ…”
หลินสี่อยากช่วยอธิบาย แต่กลับถูกเซิ่งชิงถังส่งสายตาดุกลับไป “ฉันพูดอยู่นายไม่ต้องสอด”
พอถูกดุต่อหน้าทุกคน หลินสี่ก็หน้าแดง ไม่กล้าพูดอะไรอีก
เซิ่งชิงถังหันกลับไปมองเว่ยโฮ่วอีกครั้ง “นายเขียนตั้งแต่เมื่อไร”
“สี่วันก่อนครับ เพิ่งมีแรงบันดาลใจ” เว่ยโฮ่วชักทนไม่ไหว “ถ้าประธานเซิ่งจะถามเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ผมก็คงต้องขอตัวก่อนครับ”
“ดีมาก ดี!” เซิ่งชิงถังโมโหตบโต๊ะ “นายบอกว่านี่เป็นผลงานที่เขียนเมื่อสี่วันก่อน แต่ฉันเคยเห็นมันตั้งแต่เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนแล้ว แถมยังถ่ายรูปไว้ด้วย นายย้อนอดีตกลับไปเขียนหรือไง!”
เขาเปิดโทรศัพท์มือถือ กดหาภาพที่ถ่ายไว้เป็นที่ระลึกวันนั้นแล้วยื่นให้กล้องดู
“ดูให้ดี รูปนี้ถ่ายที่บ้านฉัน นี่คือไอ้ลูกหัวล้านอกตัญญูของฉัน ส่วนนี่เป็นแตงโมกับแอปเปิลของฉัน” เซิ่งชิงถังแสยะยิ้ม “เว่ยโฮ่ว นายรู้หรือเปล่าว่าประตูบ้านฉันเปิดออกทางไหน”
“ยังจะมีหน้าพูดว่านี่เป็นภาพฝึกเขียนของนายอีกเหรอ!”
ภาพถ่ายถูกขยายขึ้นหน้าจอ ช่วยให้เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ภาพเขียนที่อยู่ในรูปถ่ายเหมือนกับภาพเขียนที่หลินสี่กางโชว์ไม่มีผิดเพี้ยน
ไม่มีความแตกต่างแม้แต่น้อย
เว่ยโฮ่วเงยหน้ามองอย่างไม่แคร์
พอมองขึ้นไป ‘วี้ด’ สมองของเขาตื้อในทันที
“…”
ทุกคนในงานต่างคาดไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะพลิกผันได้ขนาดนี้ ตะลึงงันกันไปหมด
จงจือหว่านหน้าซีดยิ่งกว่าเดิม ริมฝีปากสั่นอย่างรุนแรง
เรื่องนี้…มีหลักฐานจริงๆ เหรอ
นี่มันจะบังเอิญเกินไปหรือเปล่า
คอนเมนต์ระเบิดบนหน้าจออีกครั้ง
[อื้อหือ สรุปว่าภาพเขียน ‘อักษรขยะ’ ภาพนี้ไม่ใช่ผลงานของเว่ยโฮ่ว งั้นผลงานที่เขาเขียนเองจริงๆ จะขยะแค่ไหน]
[งั้นตกลงว่าภาพเขียนอันนี้เป็นผลงานของใคร ปริศนาธรรมเหรอ]
[ไม่ๆๆ ประเด็นคือ ทำไมเว่ยโฮ่วต้องสวมรอยด้วย ต้องการอะไร]
[ตอนนี้ฉันชักสงสัยแล้วว่า ความสำเร็จของเว่ยโฮ่วเมื่อก่อนนี้ก็เป็นเรื่องหลอกลวงด้วยหรือเปล่า]
[เว่ยโฮ่วต่างหากที่เป็นความอัปยศของวงการศิลปะ ประธานสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนต้องตรวจสอบเขาด้วย!]
“พูดสิ พูด!” เซิ่งชิงถังกดดัน แสยะยิ้มอย่างต่อเนื่อง “ภาพนี้เป็นภาพฝึกเขียนของนายงั้นเหรอ”
เว่ยโฮ่วเหงื่อแตก เริ่มยืนไม่อยู่แล้ว
เขาอยากพูด แต่กลับพูดไม่ออกสักคำ
หลินสี่ที่อยู่ข้างๆ ก็ตะลึงเหมือนกัน
“ยังจะกล้าโกหกฉัน ใส่ร้ายว่านักเรียนโกง” เซิ่งชิงถังหันขวับ “นาย โทรหาประธานสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนตอนนี้ ลงโทษเว่ยโฮ่ว ฉันต้องการตอนนี้”
ประธานสมาคมศิลปะแห่งฮู่เฉิงปาดเหงื่อ ล้วงโทรศัพท์ออกมาอีกครั้ง
“ประธานเซิ่ง!” เว่ยโฮ่วสีหน้าเปลี่ยนไปมาก “ประธานเซิ่งทำเกินไปหรือเปล่าครับ”
ถ้าเขารู้ว่าเซิ่งชิงถังมีภาพถ่าย เขาไม่มีทางสวมรอย
“น่าตลก ถ้าวันนี้ฉันไม่มา พวกนายไม่บีบให้นักเรียนคนนี้ยอมรับว่าตัวเองทุจริตไปแล้วเหรอ” เซิ่งชิงถังไม่ฟัง “แล้วก็นาย หลินสี่ใช่ไหม”
“ไม่สืบให้รู้เรื่องก็ให้ชิงจื้อไล่นักเรียนออกต่อหน้าทุกคน ฉันเองก็อยากถามอาจารย์ของนายว่าปกติสอนลูกศิษย์แบบนี้เหรอ”
หลินสี่เม้มริมฝีปาก กำมือแน่น ไม่พูดอะไร
เขาจะไปสงสัยคำพูดของเว่ยโฮ่วได้ยังไง
ถึงแม้เรื่องนี้เขาจะบุ่มบ่ามเกินไปก็ตาม
“อ้อจริงสิ ภาพเขียนนี้นักเรียนคนนี้เอาให้ฉันดูก่อนหน้านี้ไม่นาน บอกว่าจะส่งเข้าประกวดเทศกาลศิลปะ” น้ำเสียงของเซิ่งชิงถังเย็นชา “เว่ยโฮ่ว ฉันขอถามนาย ทำไมตราประทับของนายถึงไปอยู่บนนั้น”
เขาโมโหจะบ้าตายอยู่แล้ว
ภาพเขียนดีๆ แบบนี้กลับถูกตราประทับของเว่ยโฮ่วทำพัง
หัวใจของเขาเจ็บปวดจนยากเกินกว่าจะรับไหว
“…”
หลินสี่หันขวับทันที
อิ๋งจื่อจินยืนพิงเสาเงียบๆ
แสงแดดสาดส่องทะลุใบไม้ตกกระทบผิวของเธอ ทอประกายทองอ่อนๆ
งดงามราวกับอีกโลกที่ไม่ใช่โลกมนุษย์แห่งนี้
ดูเหมือนเธอจะสังเกตเห็นอะไร ค่อยๆ หันมามองทางนี้
ดวงตาหงส์วูบไหว งดงามดุจดวงตะวัน
บรรยากาศรอบตัวเงียบสนิท
ถึงขนาดที่ตากล้องลืมทำหน้าที่
ผ่านไปสักพัก ในที่สุดบนหน้าจอถึงปรากฏคอมเมนต์
[อืม…นี่ฉันต้องโหดถึงขั้นด่าตัวเองด้วยไหม]