คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 96 ฟู่อวิ๋นเซิน ‘เธอคือยาของฉัน’

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

ครึ่งแท่งอยู่ด้านบน ครึ่งแท่งอยู่ด้านล่าง ตรงกลางส่วนหนึ่งคาอยู่ที่โต๊ะ

ถึงขนาดที่มีเศษไม้ปลิว

“…”

เกิดความเงียบขึ้นในโรงอาหารชั่วขณะ ราวกับเสียงวุ่นวายทั้งหมดถูกตะเกียบแท่งนี้พาไปด้วย

เจียงหรานสังเกตอิ๋งจื่อจินอยู่ตลอด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เห็น

มือของเขาคลายออกในทันที ถาดอาหารหล่นลงพื้นดัง เคร้ง

อาหารที่อยู่ในถาดหกรดตัวลูกน้อง

คราวนี้ลูกน้องไม่ได้โวยวาย เพราะกำลังยืนงงอยู่

ไม่ใช่แค่เขาที่งง แต่นักเรียนที่เห็นเหตุการณ์นี้ต่างงุนงงไปตามๆ กัน

เหมือนเห็นผี

จงจือหว่านมองตะเกียบที่อยู่ห่างจากถาดอาหารของเธอไปแค่ครึ่งนิ้ว สมองว่างเปล่าไปชั่วขณะ “…”

เธอมองอิ๋งจื่อจินด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ ริมฝีปากสั่นระริก

ถ้าตะเกียบพุ่งเบี้ยวมาอีกนิดก็จะไม่ได้ปักลงที่โต๊ะ แต่เป็น…

จงจือหว่านไม่กล้าคิดต่อ เหงื่อแตกท่วมชุดนักเรียน ลมหายใจติดขัด

ร่างกายของเธอสั่นไม่หยุด แม้แต่แรงจะยืนยังไม่มี

นักเรียนหญิงที่อยู่ข้างกันก็ตกใจไม่น้อย ดึงแขนเสื้อจงจือหว่าน

ไม่มีใครเห็นว่าตะเกียบแท่งนี้พุ่งออกมาจากมือของอิ๋งจื่อจินได้ยังไง

แต่นี่ไม่สำคัญ

สิ่งสำคัญคือ อิ๋งจื่อจินปักตะเกียบไม้ลงไปในโต๊ะได้ยังไง

โรงอาหารยังคงเงียบสงัด สายตาทุกคู่มองไปที่อิ๋งจื่อจิน

อิ๋งจื่อจินหยิบตะเกียบคู่ใหม่แล้วไปหาที่นั่งริมหน้าต่าง

“มองอะไรน่ะ” เจียงหรานกวาดตามอง แสยะยิ้ม “ยังมองไม่พออีกเหรอ อยากให้ช่วยควักลูกตาออกมาวางตรงหน้านี้แล้วดูให้พอไหม”

พวกนักเรียนรีบละสายตาทันที เริ่มก้มหน้าก้มตากินข้าวกันอย่างบ้าคลั่ง

เจียงหรานเชิดหน้า ในที่สุดก็อารมณ์ดีขึ้นหน่อย

ดูท่าบารมีของเขาที่เป็นขาใหญ่ประจำโรงเรียนยังคงอยู่

ซิวอวี่กัดแอปเปิลแล้วนั่งตาม

ราวกับยังไม่ได้สติกลับมา ผ่านไปหลายวินาทีเธอถึงพูดขึ้นอย่างยากลำบาก “พ่ออิ๋ง เมื่อกี้เธอ…”

“ไม่มีอะไรหรอก” อิ๋งจื่อจินใช้ตะเกียบคีบผัก พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ลืมคุมแรงน่ะ”

แรงที่มือมากไปหน่อย เธอต้องปรับปรุง

ซิวอวี่รู้สึกว่าแอปเปิลในปากไม่มีรสชาติไปชั่วขณะ

ลืมคุมแรง ก็เลยทำตะเกียบปักเข้าไปในโต๊ะ

นี่ถ้าตั้งใจออกแรงจริง พังค้อนเหล็กให้แหลกก็กลายเป็นเรื่องจิ๊บๆ เลยไหม

ทันใดนั้นเธอเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อย

ซิวอวี่มองอิ๋งจื่อจินพลางครุ่นคิด

คนที่ใช้แรงได้ถึงขั้นนี้ ต่อให้ไม่ใช่จอมยุทธ์โบราณอย่างแท้จริง ก็ต้องเกี่ยวข้องกับวิทยายุทธ์โบราณอยู่บ้าง

แต่หลังจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเป็นต้นมาก็ไม่ค่อยเจอจอมยุทธ์โบราณแล้ว

ซิวอวี่ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับการพัฒนาอันรวดเร็วของเทคโนโลยีหรือเปล่า

เหล่าตระกูลวิทยายุทธ์โบราณที่เคยรุ่งโรจน์ในตี้ตู โดยรวมนั้นถือว่าค่อยๆ ถอนตัวออกไปหมดแล้ว

อย่างเจียงหรานก็เป็นแค่คนที่ฝึกวิทยายุทธ์โบราณขั้นต้น ไม่ใช่จอมยุทธ์โบราณ

เพราะวิธีการฝึกไม่ถูกต้อง กำลังภายในที่อยู่ในร่างกายถึงได้ปั่นป่วน จึงส่งผลต่อสภาพอารมณ์และนิสัย ถึงได้จำเป็นต้องใช้ยามาควบคุม

จอมยุทธ์โบราณที่แท้จริงมีอยู่น้อยมาก

ใช่ว่าใครก็เข้าวงการวิทยายุทธ์โบราณได้ ลึกลับยิ่งกว่าวงการแพทย์แผนโบราณเสียอีก

ซิวอวี่แน่ใจได้ว่า พ่ออิ๋งของพวกเขาจะต้องเกี่ยวข้องกับวิทยายุทธ์โบราณแน่นอน

ไม่แน่อาจมีอาจารย์ที่มาจากวงการวิทยายุทธ์โบราณ

แต่เธอก็ไม่ได้ถาม

ตราบใดที่ได้เห็นเจียงหรานถูกกำราบไว้ เธอก็มีความสุขแล้ว แถมยังเอาไปคุยกับพี่ฮว่าผิงได้ด้วย

พอคิดมาถึงตรงนี้ ซิวอวี่ก็รู้สึกอยากอาหารขึ้นมา จึงกินแอปเปิลลูกใหญ่อีกผล

เวลาตีสามครึ่ง

ยามราตรีที่เงียบสงัดไร้เสียง

ฟู่อวิ๋นเซินลืมตาขึ้น ตื่นนอนอยู่บนเตียงภายในคอนโดส่วนตัว

เขานอนอยู่เงียบๆ ห้านาทีแล้วถึงค่อยๆ ลุกขึ้น

ในดวงตาดอกท้ออันน่าหลงใหลมีสีเลือดจางๆ

เขาไม่รู้ว่าตัวเองฝันร้ายแบบนี้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว ต่อให้ดำเนินการรักษาด้วยการสะกดจิตระดับลึกมาสามปี เขาก็ยังคงไม่อาจหลุดพ้นจากฝันร้ายนี้ได้

ทุกครั้งที่หลับตาลงจะเต็มไปด้วยการนองเลือด

เสียงระเบิด เสียงยิงปืน เสียงกรีดร้อง ดังวนเวียนอยู่ข้างหู

และก็เป็นอดีตที่เขาหนีไม่พ้น

ฟู่อวิ๋นเซินรินน้ำ เดินไปที่ริมระเบียง

ไกลออกไปเป็นหมู่ตึกที่เปิดไฟสว่างไสว เมืองฮู่เฉิงเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหลมาตลอด

ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือได้ดังขึ้น

เนี่ยอี้โทรมา

ฟู่อวิ๋นเซินขมวดคิ้ว สุดท้ายก็กดรับ “ฮัลโหล”

“อวิ๋นเซิน ฉันกลับมาตี้ตูแล้ว” เนี่ยอี้พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ยังจัดการธุระไม่เสร็จ ฝากดูแลเนี่ยเฉาอีกสักระยะนะ”

“อืม” ฟู่อวิ๋นเซินนวดหางตา รู้สึกจนปัญญานิดหน่อย “เรื่องแบบนี้นายต้องโทรหาฉันกลางดึกด้วยเหรอ”

เนี่ยอี้เงียบไปเล็กน้อยแล้วถึงตอบ “ไม่ใช่ เสวี่ยเซิงบอกฉันว่าสภาพอารมณ์ของนายเปลี่ยนแปลงไปมาก ฉันกลัวนายจะทำอะไรสุดโต่ง”

อวี้เสวี่ยเซิงเป็นนักจิตวิทยาที่เขาเชิญมาให้อิ๋งจื่อจินโดยเฉพาะ และยังเป็นนักสะกดจิตอันดับสองของเอ็นโอเค

ฟู่อวิ๋นเซินตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

สภาพอารมณ์ของเขาถูกจับตาดูอยู่

นี่เป็นสิ่งที่เขาขอร้องเอง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์อะไร

อย่างไรเสียเขาก็เคยสูญเสียการควบคุม

“อวิ๋นเซิน นาย…” เนี่ยอี้ชะงักเล็กน้อย “ไม่เป็นไรใช่ไหม”

“ไม่มีอะไร ชินแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซินแสยะยิ้ม “ก็แค่รู้สึกว่าบางครั้งการมีชีวิตอยู่มันก็เหนื่อยดีนะ”

เนี่ยอี้เงียบไป

ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร

“ไม่มีอะไรแล้ววางนะ” ฟู่อวิ๋นเซินไม่ได้พูดอะไรมาก “จ่ายค่ากินของน้องชายนายมาด้วยล่ะ เขากินเก่งเป็นบ้า”

ไม่รอให้เนี่ยอี้พูดอะไรอีก เขากดตัดสายทิ้ง

จากนั้นก็ครุ่นคิดหลายวินาทีแล้วกดเปิดวีแชท

[เยาเยา อาหารเช้าอยากกินอะไร พี่ชายจะแวะเอาไปให้]

ฟู่อวิ๋นเซินส่งข้อความเสร็จก็วางโทรศัพท์มือถือลง

ตอนนี้เป็นเวลาตีสี่ คนทั่วไปกำลังนอนอยู่

แต่ข้อความวีแชทข้อความนี้ถูกส่งไปได้ไม่กี่วินาทีก็มีข้อความตอบกลับ

[ได้หมด]

ผ่านไปไม่กี่วินาทีก็มีข้อความที่สอง

[ฝันร้ายเหรอ]

ฟู่อวิ๋นเซินอึ้งไปชั่วขณะ

สักพักเขาก็ตอบอย่างเนือยๆ

[เด็กน้อยเป็นนักทำนายขั้นเทพเหรอ ดึกขนาดนี้ยังไม่นอนอีก ถึงเราจะผมหนา สวยมาแต่กำเนิด แต่ก็ต้องรักษาสุขภาพนะ]

พอส่งข้อความนี้ไปก็มีวิดีโอคอลเข้า

มือของฟู่อวิ๋นเซินชะงัก เขากดรับ

หน้าสดของอิ๋งจื่อจินปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์

เธออยู่ในชุดนอน ผมยาวสยายประบ่า ใบหน้าถูกแสงจันทร์สลัวนอกหน้าต่างสาดส่องจนเป็นสีทองอ่อนๆ

เห็นได้ชัดว่าเพิ่งตื่นเหมือนกัน น้ำเสียงของเธองัวเงียเล็กน้อย

“คุณหลับไม่ค่อยสบาย พรุ่งนี้ฉันจะเอายาไปให้หน่อย กินก่อนอาหารเช้ากลางวันเย็นทุกวัน รักษาเป็นเวลาเจ็ดวัน”

นิ่งไปเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ถ้าฝันร้ายทางที่ดีอย่าอยู่คนดียว”

สายตาของฟู่อวิ๋นเซินจับจ้อง

เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเด็กน้อยจะวิดีโอคอลหาเขาเพื่อพูดเรื่องนี้

เมื่อก่อนไม่มีสักคนเดียวที่จะบอกเขาว่าอย่าอยู่คนเดียวเวลาฝันร้าย

“พี่ชายรู้แล้ว ไปนอนเถอะเด็กน้อย” ฟู่อวิ๋นเซินพิงไปด้านหลัง หางตาขยับแล้วยิ้มออกมา “ถ้ายังไม่นอนอีกพี่ชายจะไปหาแล้วจับเธอยัดเข้าผ้าห่ม”

วิดีโอคอลถูกตัดสายทิ้ง

ไม่ให้เวลาเขาได้ร่ำลาอะไรทั้งนั้น

ฟู่อวิ๋นเซินมองหน้าจอที่มืดสนิท ขมวดคิ้ว มุมปากถูกยกขึ้น ดวงตาเจือไปด้วยรอยยิ้ม

ยังคงเป็นเด็กน้อยที่ไร้เยื่อใยสินะ

วันต่อมา

โรงเรียนมัธยมชิงจื้อ

ห้องผู้อำนวยการโรงเรียน

ผู้อำนวยการกำลังตรวจดูเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้ภายในโรงเรียน

ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการ เขาต้องรู้จักนักเรียนทุกคน ไม่ใช่แค่ฟังคำบอกเล่าจากอาจารย์ที่ปรึกษาหรืออาจารย์ทั่วไป

ประตูถูกเปิดออกในเวลานี้

คนที่เดินเข้ามาคือเฮ่อสวิน

เฮ่อสวินพยักหน้าด้วยความนอบน้อม “ผู้อำนวยการ”

“อาจารย์เฮ่อมาแล้วเหรอครับ” ผู้อำนวยการดันแว่นตา “นั่งสิครับ”

เฮ่อสวินนั่งลง

“ตอนนี้เป็นช่วงต้นเดือนเมษา” ผู้อำนวยการพลิกปฏิทิน “การสอบสัมภาษณ์ครั้งแรกของมหาวิทยาลัยนอร์ตันคือปลายเดือนพฤษภา”

เฮ่อสวินพยักหน้า “ถูกต้องครับ”

หากอยากเข้ามหาวิทยาลัยนอร์ตันจำเป็นต้องให้ทางมหาวิทยาลัยส่งจดหมายเชิญมาด้วยตัวเอง

ถ้าไม่มีจดหมายเชิญ ต่อให้เป็นที่หนึ่งของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็เข้ามหาวิทยาลัยนอร์ตันไม่ได้อยู่ดี

แต่นี่คือสำหรับภายนอก

ส่วนภายใน มหาวิทยาลัยนอร์ตันจะมีการสอบสัมภาษณ์สามครั้ง

สิทธิ์ในการสอบสัมภาษณ์ มีเพียงศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยนอร์ตันเท่านั้นถึงจะได้โควตา

และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมชิงจื้อถึงได้เชิญเฮ่อสวินมาเป็นอาจารย์

เพราะถ้ามีเฮ่อสวิน ชิงจื้อก็จะได้สิทธิ์เปิดทางสู่มหาวิทยาลัยนอร์ตัน

ต่อให้มีนักเรียนเพียงคนเดียวที่เข้ามหาวิทยาลัยนอร์ตันได้ ชิงจื้อก็จะเบียดติดอันดับโรงเรียนมัธยมชั้นแนวหน้าของโลกทันที

เฮ่อสวินมีโควตาสอบสัมภาษณ์อยู่สามสิทธิ์ในมือ

ถึงแม้จะน้อยมาก แต่ผู้อำนวยการก็พอใจมากแล้ว

“ขอผมคิดก่อนนะ แบบนี้” ผู้อำนวยการครุ่นคิดสักพักแล้วพูดขึ้น “สองสิทธิ์สัมภาษณ์เอาไว้ให้คลาสนานาชาติ อีกหนึ่งสิทธิ์ที่เหลือให้ที่หนึ่งของชั้นปี อาจารย์เฮ่อคิดว่าไงครับ”

“การตัดสินใจของผู้อำนวยการย่อมดีแล้วครับ” เฮ่อสวินไม่คัดค้าน “แต่มหาวิทยาลัยนอร์ตันไม่ได้ดูแค่ผลการเรียนครับ”

อันที่จริงเขาเองก็ไม่ทราบแน่ชัด อย่างไรซะคณะที่เขาอยู่ก็แค่ระดับดี (D)

จากที่อาจารย์ที่ปรึกษาของเขาบอก นักศึกษาของคณะระดับเอส (S) ถึงจะถือว่าเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยนอร์ตันอย่างแท้จริง

พอเขาถาม อาจารย์ที่ปรึกษาของเขาก็จะบอกว่านี่เป็นความลับ เขายังไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้

จนถึงตอนนี้เฮ่อสวินก็ยังไม่รู้ว่าต้องเก่งถึงระดับไหนถึงจะเข้าคณะระดับเอส (S) ได้

“งั้นก็ตามนี้ครับ” ผู้อำนวยการพยักหน้า “ผมจำได้ว่าอาจารย์เฮ่อสวินรู้จักคนของมหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลแห่งยุโรป”

เฮ่อสวินเข้าใจ “ผู้อำนวยการอยากให้ผมพาพวกเด็กเก่งของคลาสศิลปะไปด้วยตอนที่ไปมหาวิทยาลัยนอร์ตันเหรอครับ”

“ถูกต้องครับ” ผู้อำนวยการพูด “แต่อาจต้องพาไปด้วยอีกคน นักเรียนอิ๋งจื่อจินทำผลงานได้ดีเยี่ยมในเทศกาลศิลปะครั้งนี้ ผมว่าเอาเธอไปลองดูได้ครับ”

มหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลแห่งยุโรปก็เป็นมหาวิทยาลัยชั้นแนวหน้าของโลกเหมือนกัน

เขาอยากให้นักเรียนทุกคนมีอนาคตที่ดีที่สุด

เฮ่อสวินปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด น้ำเสียงเย็นชา “ขอโทษด้วยครับผู้อำนวยการ ผมคิดว่าไม่จำเป็น”

มหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลแห่งยุโรปก็จำเป็นต้องใช้คะแนนวิชาศิลปวัฒนธรรมเหมือนกัน อย่างอิ๋งจื่อจินไปแล้วจะทำอะไรได้

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

Status: Ongoing
ชาตินี้เธอขอแค่ได้ปลูกดอกไม้ เลี้ยงหมู กลายเป็นมอดที่สุขสบายที่สุดก็พอ เพื่อชีวิตวัยเกษียณอันสุขสบายสงสัยงานนี้ต้องลงแรงกันหน่อย!อิ๋งจื่อจิน คือลูกเลี้ยงแห่งตระกูลอิ๋งตระกูลเลื่องชื่อแห่งเมืองฮู่เฉิง พ่วงตำแหน่งคลังเลือดมีชีวิตของอาสาวเธอถูกรังแกสารพัด เป็นเด็กหัวไม่ดีที่แม่แท้ๆ ยังไม่อยากยอมรับแต่นั่นเป็นเรื่องก่อนที่ ‘เธอ’ จะตื่นขึ้นเธอเคยมีชีวิตอยู่เมื่อหลายร้อยปีก่อน หลายตัวตน หลายฐานะ ไม่ว่าจะเป็นหมอ แม่มด ผู้บำเพ็ญ ได้รู้จักกับบุคคลในตำนานมากมายแต่นั่นก็เป็นเรื่องนานมาแล้ว…ชาตินี้เธอเลยอยากลองเป็นมอดที่มีความสุขไร้กังวล ใช้ชีวิตวัยเกษียณให้สุขสบายดูบ้างจัดการคนในตระกูล ฟาดหน้าเพื่อนตัวร้าย ขึ้นเป็นหัวโจกโรงเรียนเอาเถอะ อยากสบายก็ต้องลำบากก่อน กวาดมันให้ราบก่อนค่อยว่ากัน!อิ๋งจื่อจิน “มาตกลงกันหน่อย เลิกเรียกฉันว่าเด็กน้อยได้ไหม”“อายุห่างสามปีก็มีช่องว่างระหว่างวัยแล้ว พี่ชายคนนี้โตกว่าเธอห้าปี เธอไม่ใช่เด็กน้อยจะเป็นอะไร”อิ๋งจื่อจินชะงัก ขมวดคิ้ว “พี่ชายเหรอ”ดวงตาดอกท้อหรี่ลง “เรียกพี่ชายให้ฟังอีกครั้งซิ”“ฝันเก่งนะคุณ”“…”ได้ การเจรจาล้มเหลว ฟู่อวิ๋นเซินยอมแพ้เด็กน้อยหลอกยากพอตัว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท