คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 122 อยากให้พี่ชายอุ้มไปใช่ไหม

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

จงมั่นหวาย่อมรู้จักสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีน

นี่เป็นสมาคมศิลปะอักษรพู่กันที่ใหญ่สุดในประเทศจีน สมาคมตามท้องถิ่นเป็นเพียงสาขาย่อย

สมาชิกของสาขาย่อยไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะได้เข้าไปอยู่สมาคมใหญ่

สมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนมีสถานะที่สูงมากในแวดวงศิลปะระดับโลก มักมีการติดต่อพูดคุยกับปรมาจารย์ด้านศิลปะชาวต่างชาติอยู่บ่อยครั้ง

แต่สมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนโทรหาเธอทำไม

เธอเคยอยากเชิญสมาชิกของสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนมาเป็นอาจารย์ให้เสี่ยวเซวียน เพียงแต่ทางนั้นไม่มีใครว่างมาทำเรื่องแบบนี้

อย่างไรเสียพวกปรมาจารย์ภาพเขียนอักษรพู่กันแค่ตวัดมือเขียนภาพเดียวก็ขายได้ราคาสูงแล้ว ย่อมไม่มีทางมาสอนเด็ก

จงมั่นหวาสงสัย “ไม่ทราบว่าโทรผิดหรือเปล่าคะ”

“โทรผิดเหรอครับ”

ปลายสายเป็นเจ้าหน้าที่ พอได้ยินแบบนี้ก็หันไปเช็กเบอร์อย่างละเอียด “โทรไม่ผิดครับ คุณใช่คุณแม่ของอาจารย์อิ๋งหรือเปล่าครับ”

จงมั่นหวาอึ้งไปอีกรอบ “อาจารย์อิ๋งเหรอคะ”

ตระกูลอิ๋งแต่ละรุ่นทำธุรกิจมาตลอด มีใครเป็นอาจารย์ตั้งแต่เมื่อไรกัน

“ขอโทษนะคะ ถ้าคุณไม่ได้โทรผิดงั้นคุณก็เป็นพวกต้มตุ๋นแล้วล่ะค่ะ” จงมั่นหวาสีหน้าเย็นชา “ตระกูลอิ๋งของเราไม่มีใครเป็นอาจารย์ จะหลอกคนก็ช่วยมีชั้นเชิงหน่อยนะคะ”

ไม่รอให้เจ้าหน้าที่ปลายสายพูดอะไรอีก จงมั่นหวากดตัดสายทันทีพร้อมบล็อกเบอร์เรียบร้อย

ตอนที่จงจือหว่านได้ยินว่าสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนก็ตระหนักได้บางอย่าง “มีอะไรเหรอคะอา”

“พวกสายต้มตุ๋นน่ะ” จงมั่นหวาแสยะยิ้ม “ยังจะมาบอกว่าตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่ของสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีน ขอเชิญอาจารย์อิ๋งไปที่นั่น หลอกทั้งทีไม่รู้จักเตรียมบท”

จงจือหว่านสีหน้าเปลี่ยน

จงมั่นหวาไม่ได้ดูถ่ายทอดสดเทศกาลศิลปะวันนั้น แต่เธออยู่ในงานด้วย

ภาพเขียนอักษรพู่กันที่อิ๋งจื่อจินใช้มือซ้ายกับมือขวาเขียนพร้อมกันทำให้เซิ่งชิงถังชื่นชมไม่หยุด

เซิ่งชิงถังเป็นอดีตประธานสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีน จงจือหว่านแน่ใจได้ว่าโทรศัพท์สายนี้ตั้งใจโทรมาหาอิ๋งจื่อจินโดยเฉพาะ

นึกไม่ถึงว่าจงมั่นหวาจะมองเป็นพวกต้มตุ๋น

แต่ก็จริง ในประเทศจีนชื่อเสียงของสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนดังกว่าตระกูลอิ๋งไม่รู้ตั้งเท่าไร

จงจือหว่านบอกไม่ถูกว่าโชคดีหรือกังวล เธอก้มหน้า พยายามกลบรอยยิ้มที่ริมฝีปาก “อาคะ เกิดเป็นทางสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนโทรมาจริงล่ะคะ”

“เป็นไปไม่ได้” จงมั่นหวาจิบชา ไม่คิดแบบนั้น “อาเขยของหลาน ไหนจะพวกพี่ๆ ของหลานต่างไม่ได้มาสายศิลปะ ส่วน…”

คำพูดที่เหลือพูดต่อไม่ได้แล้ว

จงมั่นหวาขมวดคิ้ว

สมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนคงไม่ได้โทรมาเพราะอิ๋งจื่อจินหรอกนะ

เธอก็เคยเชิญอาจารย์สอนเขียนอักษรพู่กันกับจิตรกรรมจีนโบราณมาให้อิ๋งจื่อจิน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผลิดอกออกผลอะไร

จงมั่นหวายอมเชื่อว่าอิ๋งจื่อจินพอจะสอบกลางภาคผ่านสักหนึ่งวิชาดีกว่า

งานนัดพบผู้ปกครองของคลาสเด็กอัจฉริยะเมื่อก่อนนี้เธอไม่เคยไปสักครั้ง ทนขายหน้าไม่ไหวจริงๆ

“หว่านหว่าน หนูไปทำธุระของหนูเถอะลูก” จงมั่นหวาวางถ้วยลง “อาจะรอคุณปู่ของหนูกลับมาอยู่ตรงนี้”

อีกด้านหนึ่ง

เจ้าหน้าที่ของสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนที่ถูกตัดสายทำหน้างงอยู่

ได้แค่ตอบเซิ่งชิงถังกลับไปว่าคนในครอบครัวอาจารย์อิ๋งคิดว่าพวกเขาเป็นนักต้มตุ๋น ไม่เพียงเท่านี้ ยังทำการบล็อกเบอร์มือถือของพวกเขาด้วย

เซิ่งชิงถังโกรธมาก เขาครุ่นคิด สุดท้ายก็เตรียมไปเชิญถึงที่

ทันใดนั้นได้มีสายจากชิงจื้อโทรเข้ามา

“ประธานเซิ่ง ให้ผิดครับให้ผิด” อาจารย์ฝ่ายวิชาการเหงื่อแตกเต็มหัว “เบอร์ติดต่อผู้ปกครองของนักเรียนอิ๋งเปลี่ยนแล้วครับ ผมผิดเองครับ ผมผิดเองที่ไปเอาแฟ้มเก่ามา”

“จดนะครับ เบอร์โทรคุณพ่อของนักเรียนอิ๋งคือ หนึ่งเจ็ดเจ็ด…”

เซิ่งชิงถังจด ถามด้วยความสงสัย “งั้นเบอร์เมื่อกี้ล่ะ”

“นั่นเป็นเบอร์แม่เลี้ยงของเธอครับ” อาจารย์ฝ่ายวิชาการไม่พูดอะไรมาก เล่าให้ฟังนิดหน่อย “ไม่ค่อยจะได้เรื่องน่ะครับ”

เขาสนิทกับอาจารย์ฝ่ายปกครอง ถูกนักเรียนขนานนามคู่กันว่า คู่โหดแห่งชิงจื้อ แต่อาจารย์ปกครองยังมีอีกฉายาเพิ่มเข้ามาว่า ปรมาจารย์กวาดล้าง

อาจารย์ฝ่ายวิชาการเคยได้ยินอาจารย์ปกครองพูดอยู่หลายครั้ง

คุณนายอิ๋งยังไม่ทันถามความจริง มาถึงก็ตีเลย

ต่อหน้าคนนอกยังทำขนาดนี้ แล้วลับหลังจะขนาดไหน

เอาแค่ก่อนหน้านี้ ในเวยปั๋วมีคนโพสต์ว่าแม่ตบลูกชายบีบคอลูกชายต่อหน้าคนเยอะแยะ

เดิมทีคิดว่าพวกไฮโซจะมีความเป็นผู้ดีอยู่บ้าง เห็นทีก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน

เซิ่งชิงถังเก็บตัวใช้ชีวิตมาตลอด ไม่รู้จริงๆ ว่ามีเรื่องแบบนี้ด้วย เขาขมวดคิ้ว “ได้ ผมเข้าใจแล้ว ก็คือตระกูลอิ๋งที่เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลเศรษฐีนั่นใช่ไหม”

เขาวางสาย ส่งเบอร์ใหม่ไปให้เจ้าหน้าที่

จากนั้นเขาก็ลุกขึ้น สวมแว่นสายตายาวนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ ค่อยๆ พิมพ์หาประธานสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนคนปัจจุบัน

[ฉันจะบอกให้ จำตระกูลอิ๋งไว้ให้ดี ต่อไปถ้าพวกเขามีอะไรมาขอร้องสมาคมของเราก็ปฏิเสธให้หมด จากนั้นก็ให้พวกเขาไสหัวไป ไกลได้เท่าไรยิ่งดี]

วงแหวนรอบกลางกึ่งนอก

ภายในเขตคอนโด

หลังจากที่เวินเฟิงเหมียนกินยาเสร็จก็ได้รับสายจากสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีน

เขาตกใจ แต่กลับไม่ได้ตะลึงอะไรมาก

ราวกับชื่อสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนที่โด่งดังนี้ไม่เพียงพอให้เขาตื่นเต้นอะไร

แต่เรื่องภูมิใจมันแน่นอนอยู่แล้ว

อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนเลี้ยงอิ๋งจื่อจินมาจนโต ต่อให้ไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่เขาก็หวังมาตลอดว่าเธอจะมีอนาคตที่ดีที่สุด

เวินเฟิงเหมียนยิ้ม ถามเสียงเบา “อยากให้เยาเยาเข้าสมาคมเหรอครับ”

“ไม่ใช่ครับ” เจ้าหน้าที่พูด “ประธานเซิ่งของเราบอกว่า อยากเชิญอาจารย์อิ๋งมาเป็นกรรมการของสมาคมน่ะครับ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แขวนชื่อไว้เฉยๆ”

นี่ต่างหากที่เป็นท่าทีตอบสนองตามปกติ

เขาพึมพำ

สายแรกที่โทรไปเขายังนึกว่าโทรหาผู้บริหารระดับสูง

พวกต้มตุ๋นงั้นเหรอ

อยู่ว่างๆ จะหลอกมาเข้าสมาคมทำไม

“ครับ ทราบแล้วครับ” เวินเฟิงเหมียนไอเล็กน้อย “ผมตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ได้ ไว้ผมจะลองถามเธอให้นะครับ”

“ขอบคุณครับ” เจ้าหน้าที่แอบตกใจ รีบพูดขึ้น “คุณเกรงใจเกินไปแล้วครับ ผมจะไปเรียนประธานเซิ่งให้ครับ”

เวินเฟิงเหมียนพูดเสียงเบา แต่เวินทิงหลานก็ยังคงได้ยิน

ประตูถูกเปิดออก เด็กหนุ่มถือหมีน้อยเดินออกมาจากห้องนอน “พ่อ?”

“อืม โทรมาหาเยาเยาน่ะ” เวินเฟิงเหมียนลุกขึ้น รู้สึกเป็นห่วง “อวี้อวี้ ช่วงนี้ลูกดูเพลียๆ ไม่เป็นไรใช่ไหม”

“ไม่เป็นไรครับ พ่อไม่ต้องเป็นห่วง” เวินทิงหลานขยี้ตา “พี่บอกว่าเป็นอาการปกติ”

เขาได้รับการรักษาโดยการสะกดจิตมาสองครั้งแล้ว

สิ่งที่ถูกกดอยู่ในจิตใต้สำนึกมานานก็ค่อยๆ ถูกกำจัดออก

อวี้เสวี่ยเซิงเป็นถึงนักสะกดจิตอันดับสองของเอ็นโอเค ความสามารถในการสะกดจิตย่อมอยู่ในอันดับต้นๆ เป็นที่ยอมรับระดับโลก

เรื่องรักษาโรคออทิสติกไม่เป็นปัญหา

“งั้นก็ดี” เวินเฟิงเหมียนโล่งอก จากนั้นก็ส่ายหน้าพลางยิ้ม “เรานี่นะ เชื่อฟังแค่พี่สาวจริงๆ”

เวินทิงหลานนั่งลงข้างเขา ไม่ปฏิเสธ “พ่อ ใครโทรหาพี่เหรอ”

“สมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนอยากให้เยาเยาไปนั่งตำแหน่งกรรมการน่ะ”

เวินทิงหลานพยักหน้า “ผมรู้ แต่ดูเหมือนพี่จะไม่ค่อยอยากเท่าไร”

“ไม่ไปก็ดี” เวินเฟิงเหมียนไม่ได้พูดอะไร “เยาเยากับคุณฟู่ไปกินข้าวข้างนอก ทิ้งซุปบำรุงไว้ให้พวกเราน่ะ”

อีกด้านหนึ่ง

อิ๋งจื่อจินไม่รู้ว่าเซิ่งชิงถังยังให้เจ้าหน้าที่ของสมาคมโทรไปที่บ้านของเธอด้วย

เรื่องแบบนี้เธอขี้เกียจสนใจ อย่างไรเสียก็ไม่ได้ส่งผลต่ออนาคต

พอกินข้าวเสร็จเธอก็ง่วง

โชคดีที่ฟู่อวิ๋นเซินขับรถมา เธอจึงไม่ต้องเดินเยอะ

หลังจากที่อิ๋งจื่อจินรัดเข็มขัดนิรภัยเสร็จก็พิงหน้าต่างรถ

ก่อนหลับตาเธอแอบดูเวยปั๋วแวบหนึ่ง

อืม

วันนี้คุณตาของเธอมีความสุขจนถึงขั้นที่ไม่โพสต์เวยปั๋ว ในที่สุดเธอก็ลดงานไปได้งานหนึ่ง

อิ๋งจื่อจินหาวออกมา ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่ม หลับตานอน

ฟู่อวิ๋นเซินขับไม่เร็ว ตอนที่ไปถึงคอนโดก็เป็นอีกสี่สิบนาทีต่อมา

อิ๋งจื่อจินหลับอยู่ ไม่มีท่าทีจะตื่นแม้แต่น้อย

ฟู่อวิ๋นเซินยกมือสะกิดเธอ “เยาเยา”

เด็กสาวขยับตัว แต่กลับหันตัวหนีแล้วเอาหัวซุก เห็นได้ชัดว่าไม่อยากสนใจเขา

ฟู่อวิ๋นเซินดึงกุญแจรถ ลงจากรถ จากนั้นก็เดินไปฝั่งข้างคนขับแล้วเปิดประตู

เหมือนรู้ว่าเขาจะทำอะไร อิ๋งจื่อจินพลิกตัวหันไปอีกด้าน

“…”

ฟู่อวิ๋นเซินสะกิดเธออีกรอบ “เยาเยา ถึงบ้านแล้ว ลงจากรถได้แล้ว”

ครั้งนี้ในที่สุดก็มีการตอบสนองบ้าง

คำเดียว

“ไม่”

“จะมัวนอนตรงนี้ไม่ได้”

“จะนอนตรงนี้”

“…”

บางครั้งการสื่อสารกับเด็กน้อยก็ลำบากมากจริงๆ

เขาต้องไปซื้อหนังสือที่เกี่ยวข้องมาอ่านแล้วหรือเปล่า

“เด็กน้อย”

ฟู่อวิ๋นเซินเอามือยันหลังคารถ โน้มตัวลง ยื่นหน้าเข้าไปใกล้เล็กน้อย

ดวงตาดอกท้อมีมนต์สะกด เปล่งประกายวูบไหว ราวกับสะท้อนทางช้างเผือก

“ไม่ยอมลงเพราะอยากให้พี่ชายอุ้มไปใช่ไหม หืม?”

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

Status: Ongoing
ชาตินี้เธอขอแค่ได้ปลูกดอกไม้ เลี้ยงหมู กลายเป็นมอดที่สุขสบายที่สุดก็พอ เพื่อชีวิตวัยเกษียณอันสุขสบายสงสัยงานนี้ต้องลงแรงกันหน่อย!อิ๋งจื่อจิน คือลูกเลี้ยงแห่งตระกูลอิ๋งตระกูลเลื่องชื่อแห่งเมืองฮู่เฉิง พ่วงตำแหน่งคลังเลือดมีชีวิตของอาสาวเธอถูกรังแกสารพัด เป็นเด็กหัวไม่ดีที่แม่แท้ๆ ยังไม่อยากยอมรับแต่นั่นเป็นเรื่องก่อนที่ ‘เธอ’ จะตื่นขึ้นเธอเคยมีชีวิตอยู่เมื่อหลายร้อยปีก่อน หลายตัวตน หลายฐานะ ไม่ว่าจะเป็นหมอ แม่มด ผู้บำเพ็ญ ได้รู้จักกับบุคคลในตำนานมากมายแต่นั่นก็เป็นเรื่องนานมาแล้ว…ชาตินี้เธอเลยอยากลองเป็นมอดที่มีความสุขไร้กังวล ใช้ชีวิตวัยเกษียณให้สุขสบายดูบ้างจัดการคนในตระกูล ฟาดหน้าเพื่อนตัวร้าย ขึ้นเป็นหัวโจกโรงเรียนเอาเถอะ อยากสบายก็ต้องลำบากก่อน กวาดมันให้ราบก่อนค่อยว่ากัน!อิ๋งจื่อจิน “มาตกลงกันหน่อย เลิกเรียกฉันว่าเด็กน้อยได้ไหม”“อายุห่างสามปีก็มีช่องว่างระหว่างวัยแล้ว พี่ชายคนนี้โตกว่าเธอห้าปี เธอไม่ใช่เด็กน้อยจะเป็นอะไร”อิ๋งจื่อจินชะงัก ขมวดคิ้ว “พี่ชายเหรอ”ดวงตาดอกท้อหรี่ลง “เรียกพี่ชายให้ฟังอีกครั้งซิ”“ฝันเก่งนะคุณ”“…”ได้ การเจรจาล้มเหลว ฟู่อวิ๋นเซินยอมแพ้เด็กน้อยหลอกยากพอตัว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท