คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 147 ไม่บังเอิญ เธอคือวีร่า เธอเป็นทุกอย่าง

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

[ไม่แน่ว่าอาจเล่นได้หมดเลยหรือเปล่า ลู่เวยยังบอกเลยว่าเด็กรุ่นหลังแซงหน้าคนรุ่นเก่า ถ้าน้องเขาไม่เล่นเพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์กับเพลงบทเพลงแห่งฟลอเรนซ์ มันจะย้อนแย้งกันหรือเปล่า]

[พอๆ เลิกพูด พูดอีกเดี๋ยวก็โดนน้องเขาฟ้องหรอก]

เนื่องจากวีร่า โฮลท์ซลึกลับเกินไป ทั้งๆ ที่เป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ดนตรียุโรป แต่กลับไม่มีภาพวาดแม้แต่ภาพเดียว

ความลึกลับแบบนี้ได้ดึงดูดความสนใจจากคนรุ่นหลัง

มนุษย์ต่างมีจิตใจที่อยากรู้อยากเห็น เรื่องหรือบุคคลที่ยิ่งลึกลับ ก็จะยิ่งอยากเปิดม่านแห่งความลับนั้นออก

แต่น่าเสียดาย นักประวัติศาสตร์ของยุโรปขุดคุ้ยกันมานานก็ยังขุดไม่เจอข้อมูลอะไรใหม่ๆ

จากบันทึกประวัติศาสตร์ วีร่า โฮลท์ซมีอาจารย์ดนตรีสองท่าน ซึ่งต่างก็เป็นนักเปียโนชั้นแนวหน้าของยุคนั้น

บทเพลงเปียโนที่ยากเป็นอันดับหนึ่งของโลกก็คือผลงานประพันธ์ของอาจารย์ดนตรีท่านหนึ่งของวีร่า โฮลท์ซ

แต่ในบันทึกที่อาจารย์ดนตรีสองท่านนี้ทิ้งไว้ก็ไม่มีบันทึกที่เกี่ยวกับลูกศิษย์คนนี้ของพวกเขาแต่อย่างใด สะอาดหมดจดราวกับว่าบนโลกนี้ไม่เคยมีคนชื่อ วีร่า โฮลท์ซมาก่อน

นอกจากเพลงตะวันกับจันทราที่รู้จักกันในวงกว้างแล้ว วีร่า โฮลท์ซยังได้ทิ้งไว้อีกสองบทเพลง นั่นก็คือเพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์ และเพลงบทเพลงแห่งฟลอเรนซ์

สองเพลงนี้ก็เป็นบทเพลงเปียโนที่ยากระดับโลกเช่นกัน

ความยากของเพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์ยังเหนือกว่าตะวันกับจันทรา เหมือนกันตรงที่ว่าไม่มีโน้ตเพลงที่แท้จริง จนถึงทุกวันนี้มีแค่นักเปียโนสองคนที่เคยบรรเลง

ส่วนบทเพลงแห่งฟลอเรนซ์ยังไม่เคยถูกบรรเลง

ตอนที่อิ๋งลู่เวยโปรโมตตัวเองว่าเป็น วีร่า โฮลท์ซคนต่อไปก็ไม่กล้าพูดถึงเพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์กับเพลงบทเพลงแห่งฟลอเรนซ์ สองเพลงนี้ยากจนถึงขั้นไหนก็ไม่รู้

สามเพลงนี้ที่ วีร่า โฮลท์ซประพันธ์ ระดับความยากย่อมเป็นที่รู้กันทั่ว

พอคอมเมนต์นั้นปรากฏ ด้านล่างก็มีคนมาตอบจำนวนมาก

[ผมแค่ผ่านมา เพราะเห็นชื่อของ วีร่า โฮลท์ซก็เลยกดเข้ามา พวกคุณไม่รู้ใช่ไหมว่าเพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์ยากขนาดไหน ไม่อย่างนั้นมีเหรอจะกล้าดึงบทเพลงเปียโนอย่างเพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์มาคุยในนี้]

[ขอให้ความรู้หน่อยนะ ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าเพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์ได้แรงบันดาลใจมาจากคัมภีร์ไบเบิล มีทั้งหมดสามบท]

บทแรกเขียนเกี่ยวกับพระเจ้าสร้างทูตสวรรค์ ชีวิตที่สงบบนสวรรค์

บทที่สองกล่าวถึงพระเจ้าพาอดัมมนุษย์คนแรกมาตรงหน้าพวกทูตสวรรค์ แต่งตั้งเขาเป็นบุตรของพระเจ้า ทั้งยังสั่งให้ทูตสวรรค์คนอื่นเคารพเขา

แต่ลูซิเฟอร์หัวหน้าทูตสวรรค์ไม่ทำตาม ปฏิเสธการสวามิภักดิ์ต่อบุตรของพระเจ้า พาทูตสวรรค์หนึ่งในสามก่อกบฏ ประกาศสงครามกับพระเจ้า

บทที่สามบรรยายถึงเรื่องราวของลูซิเฟอร์อดีตหัวหน้าทูตสวรรค์ที่ตกต่ำกลายเป็นซาตานในนรก บทนี้เป็นท่อนที่เศร้าที่สุด และก็ถือเป็นบทส่งท้ายของทั้งเพลง

[อันที่จริงเพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ยกย่องในยุโรปมากกว่า สถานะสูงกว่าเพลงตะวันกับจันทราในวงการดนตรี]

[ไม่ไหวละ แค่อ่านคำอธิบายนี้ก็ขนลุกไปหมดทั้งตัว ถึงจะไม่ค่อยรู้เรื่องเปียโน แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่า วีร่า โฮลท์ซมีพรสวรรค์มากจริงๆ]

[ดังนั้นความยากของเพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่แค่ขึ้นอยู่กับการเล่น ยังขึ้นอยู่กับว่าผู้เล่นเข้าถึงอารมณ์หรือเปล่า แบกไหวไหม ฉันว่าเกษียณแล้วอย่ากวนอะไรนี่ไม่รู้ด้วยซ้ำมั้งว่าเพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์กล่าวถึงอะไร ยังจะเล่นได้เหรอ ขำเป็นบ้า]

[ขออภัยที่พูดตรงๆ ฉันว่านะบนโลกนี้ถ้ายังจะมีใครเล่นเพลงตะวันกับจันทรา เพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์ และบทเพลงแห่งฟลอเรนซ์ได้หมดทั้งเพลง ก็มีแค่ วีร่า คนเดียวแล้ว เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้เลย]

มีคนอื่นเข้ามาผสมโรงด้วย แฟนคลับตัวยงที่เหลืออยู่ของอิ๋งลู่เวยก็ยิ่งกล้าเอาใหญ่ แสดงความคิดเห็นอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน

แต่มีบทเรียนมาจากคราวก่อน พวกเธอจึงไม่กล้าไปยุ่งกับอิ๋งจื่อจิน กล้าแค่เอาใหญ่ในโพสต์เวยปั๋วของอิ๋งลู่เวย และนี่ก็คือผลลัพธ์ที่อิ๋งลู่เวยต้องการ

หลังจากปิดเวยปั๋วเธอก็หันไปมองผู้จัดการส่วนตัวที่อยู่ข้างๆ “ส่งจดหมายเชิญไปหรือยัง มีใครมาบ้าง”

“ส่งออกไปแล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่มีใครตอบกลับ” ผู้จัดการส่วนตัวถอนหายใจ “ลู่เวย คุณเองก็รู้ คอนเสิร์ตครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่คุณจะเข้าสู่วงการดนตรีระดับสากล คนที่พวกเราเชิญล้วนเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงของประเทศจีนทั้งนั้น”

“พวกเขานิสัยประหลาด อีโก้สูง ใช่ว่าเชิญปุ๊บจะมาปั๊บ”

“ก็จริง” อิ๋งลู่เวยขมวดคิ้ว จากนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “คุณบอกพวกเขาแบบนี้นะ”

เธอหันไปพูดด้วยเสียงที่เบามาก

ผู้จัดการส่วนตัวทำสีหน้าตกใจ “จะดีเหรอ เกิดส่งผลกระทบต่อคุณจะทำไง”

“ไม่หรอก” อิ๋งลู่เวยยิ้มอย่างไม่คิดแบบนั้น พูดจาดูถูก “คุณคงไม่ได้ว่าอิ๋งจื่อจินจะเล่นเพลงอะไรออกมาได้จริงๆ หรอกนะ ฉันรู้ฝีมือของเด็กนั่นดี ขนาดเพลงแคนนอนยังเล่นได้อย่างกระท่อนกระแท่นเลย”

“ส่วนพี่สะใภ้ใหญ่ของฉันก็กลัวเสียหน้าเป็นที่สุด ยอมทิ้งได้ทุกอย่างเพื่อรักษาหน้าไว้ คุณว่าถ้าพี่สะใภ้ฉันเห็นอิ๋งจื่อจินทำขายหน้าในคอนเสิร์ตจะมีสีหน้ายังไง”

แค่อิ๋งลู่เวยคิดก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่แล้ว

ผู้จัดการส่วนตัวไม่ค่อยรู้จักนิสัยใจคอคนอื่นๆ ในตระกูลอิ๋ง พอได้ฟังเธอพูดแบบนี้ก็พยักหน้า

“ได้ ผมจะส่งจดหมายเชิญไปอีกฉบับ”

นี่เป็นโอกาสเดียวที่พวกเขาจะพลิกฟื้นได้แล้ว

..

ผู้เฒ่าจงติดตามดูอิ๋งลู่เวยมาตลอด

ใช่ว่าเขาจะไม่อยากเอาคืนตระกูลอิ๋ง แต่ถูกอิ๋งจื่อจินห้ามไว้

เพราะช่วงหลายปีมานี้ตระกูลจงก็ไม่ได้ดีไปกว่าตระกูลอิ๋ง เธอไม่อยากให้ส่งผลกระทบต่อผู้เฒ่าจง

แต่เนื่องจากมีกรณีที่โลกสิบทิศถูกขโมยเมื่อคราวก่อน การที่จงซื่อกรุ๊ปจะมาเอาเรื่องอิ๋งซื่อกรุ๊ปก็เป็นแค่เรื่องที่ต้องเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว

หลังจากที่ผู้เฒ่าจงเห็นเวยปั๋วโพสต์นั้นของอิ๋งลู่เวยก็โมโหทันที

“แพศยาตัวดี ทำเรื่องสกปรกแบบนี้อีกแล้ว”

เขากำลังจะไปบ้านตระกูลอิ๋งด้วยความโมโห ทันใดนั้นก็มีแก้วถูกวางมาตรงหน้า

“คุณตา ดื่มน้ำเยอะๆ ค่ะ อย่าโมโห”

“จื่อจิน หลานไปคอนเสิร์ตนี้ไม่ได้นะ” ผู้เฒ่าจงโมโหสุดขีด

“ถ้าหลานไปก็เท่ากับทำให้นังแพศยาคนนั้นสมหวัง”

“ไม่เป็นไรค่ะ” อิ๋งจื่อจินไม่รีบร้อน “หนูยินดี”

“ยินดีเหรอ” ผู้เฒ่าจงสวมแว่นสายตายาว มองหลานสาวด้วยความเป็นห่วง “จื่อจิน หลานโกรธจนเลอะเลือนไปแล้วเหรอ”

“…” อิ๋งจื่อจินสีหน้าเรียบเฉย “ไม่ชอบให้เขาเอาไปสร้างกระแสค่ะ”

ผู้เฒ่าจงรู้สึกงง ไม่เข้าใจคำพูดนี้ว่าหมายความว่าอะไร

อิ๋งลู่เวยไม่ได้อาศัยวีร่า โฮลท์ซสร้างกระแสหรอกเหรอ

“ช่างเถอะ หลานตัดสินใจแล้ว ตาก็เข้าไปยุ่งไม่ได้มาก” ผู้เฒ่าจงคิด “ตารู้จักนักเปียโนหลายคน ตาจะเรียกพวกเขามาช่วยฝึกซ้อมให้หลาน”

ณ โรงพยาบาลเซ่าเหริน

อิ๋งจื่อจินจะมาที่โรงพยาบาลเซ่าเหรินแค่เฉพาะเย็นวันพุธเท่านั้น

เธอนั่งในห้องทำงานส่วนตัวที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจัดไว้ให้ บนโต๊ะมีไพ่ทาโรต์หนึ่งสำรับ

เธอซื้อมาจากตลาดนัดใต้ดิน ก็ไม่ถือเป็นไพ่ทาโรต์ที่ดูดีอะไร แต่ความแพงอยู่ที่นี่คือไพ่ทาโรต์ของแท้

ใช้ไพ่ทาโรต์เธอก็เบาใจได้หน่อย สามารถทำนายเหตุการณ์ใหญ่ๆ ในช่วงที่ไม่ต้องใช้ความสามารถเทพพยากรณ์ของเธอได้

แต่ก็ไม่สามารถใช้ไพ่ทาโรต์ได้หลายครั้งในคราวเดียว นั่นจะเป็นการลดทอนพลังทำนายของไพ่ทาโรต์

มีสายจากภายในโทรมา แผนกผู้เชี่ยวชาญ “คุณอิ๋งครับ คุณซังมาตรวจซ้ำครับ”

“ให้เขาขึ้นมาได้เลยค่ะ”

ห้านาทีต่อมาก็มีเสียงเคาะประตู

เมื่อได้รับอนุญาตซังเย่าจือถึงเปิดประตูเดินเข้ามา

เดือนพฤษภาคมเข้าสู่หน้าร้อนแล้วแต่เขายังคงแต่งตัวมิดชิด

หมวก แว่นกันแดด ผ้าพันคอ ไม่ขาดสักอย่าง

หลังจากเข้ามาในห้องเขาก็ถอดอุปกรณ์พรางตัวออก

พอได้พักหายใจซังเย่าจือก็พูดขอบคุณอีกครั้ง “คุณอิ๋ง ขอบคุณมากนะครับ หลังจากได้ยาของคุณไป คอของผมก็ดีกว่าเมื่อก่อนมากเลยครับ”

“เกรงใจแล้วค่ะ จ่ายเงินให้ครบก็พอ”

“…”

ซังเย่าจือสังเกตเห็นไพ่บนโต๊ะ เขาอึ้งไปเล็กน้อย “นี่ไพ่ทาโรต์เหรอครับ”

“ค่ะ” อิ๋งจื่อจินเงยหน้า “เลือกมาสามใบหน่อยไหมคะ”

ซังเย่าจือลังเลเล็กน้อย

อันที่จริงคนในวงการบันเทิงส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างงมงาย

ดาราบางคนมีไปขอคำชี้แนะจากอาจารย์ดูดวงโดยเฉพาะ เปลี่ยนชื่อเพื่อเปลี่ยนดวงชะตาตัวเอง เพื่อให้โด่งดัง ต้องพูดเลยว่า บางคนประสบความสำเร็จจริงๆ

“เลือกตามสบายค่ะ” อิ๋งจื่อจินนั่งพิงเก้าอี้หมุน เลิกคิ้วเล็กน้อย “ไม่ต้องคิดมากค่ะ”

ซังเย่าจือได้ยินแบบนี้ก็หลุดหัวเราะ “คุณอิ๋งเหมือนหลานสาวผมเลยครับ ชอบของแบบนี้”

เขาเองก็จริงจังเกินไป

สมัยนี้การทำนายไพ่ทาโรต์ก็แค่เอาสนุกๆ

อิ๋งจื่อจินไม่พูดอะไร แค่ทำท่าบอกให้เขาเลือกไพ่

ซังเย่าจือยกมือ ขณะที่กำลังจะสุ่มเลือก แต่ตอนที่มืออยู่เหนือไพ่ทาโรต์นี้ ฝ่ามือกลับดูดไพ่ขึ้นมาใบหนึ่งโดยอัตโนมัติ

เขาอึ้ง “มีไฟฟ้าสถิตเหรอครับ”

“ไม่ใช่ไฟฟ้าสถิต” อิ๋งจื่อจินตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “นี่ก็คือไพ่ของคุณ”

สีหน้าของซังเย่าจือชะงัก เขาไม่พูดอะไรหยิบไพ่ใบนั้นให้อิ๋งจื่อจิน

แต่สิ่งที่ทำให้เขายิ่งสงสัยก็คือ ไพ่สองใบถัดมา หากบอกว่าเขาเป็นคนเลือกเอง ไม่สู้พูดว่าเหมือนกับไพ่ใบแรกที่ถูกดูดขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ

ครบพอดีสามใบ

อิ๋งจื่อจินมองแล้วเริ่มเปิดไพ่

ซังเย่าจือสังเกตเห็นว่าวิธีทำนายของเธอไม่เหมือนคนเล่นไพ่ทาโรต์คนอื่นๆ

โดยทั่วไปการทำนายไพ่ทาโรต์จะต้องมีการวางไพ่เป็นระบบ ทั้งยังมีเงื่อนไขที่เข้มงวดเรื่องลำดับการเปิดไพ่แต่ละใบ ก่อนหลังซ้ายขวา รวมถึงตามเข็มนาฬิกา ทวนเข็มนาฬิกา

แต่อิ๋งจื่อจินกลับเปิดไพ่โดยตรง ไม่มีวางเป็นระบบ และไม่ได้ถามว่าเขาอยากรู้เรื่องอะไร

นี่เป็นเรื่องเหลวไหลในสายตาคนที่เล่นไพ่ทาโรต์ แต่ซังเย่าจือก็ยังคงตั้งใจดู

อิ๋งจื่อจินพยักหน้าเล็กน้อยหลังจากเปิดไพ่สองใบแรกเสร็จ

จากนั้นก็เปิดไพ่ใบสุดท้าย สายตาแน่นิ่ง

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

Status: Ongoing
ชาตินี้เธอขอแค่ได้ปลูกดอกไม้ เลี้ยงหมู กลายเป็นมอดที่สุขสบายที่สุดก็พอ เพื่อชีวิตวัยเกษียณอันสุขสบายสงสัยงานนี้ต้องลงแรงกันหน่อย!อิ๋งจื่อจิน คือลูกเลี้ยงแห่งตระกูลอิ๋งตระกูลเลื่องชื่อแห่งเมืองฮู่เฉิง พ่วงตำแหน่งคลังเลือดมีชีวิตของอาสาวเธอถูกรังแกสารพัด เป็นเด็กหัวไม่ดีที่แม่แท้ๆ ยังไม่อยากยอมรับแต่นั่นเป็นเรื่องก่อนที่ ‘เธอ’ จะตื่นขึ้นเธอเคยมีชีวิตอยู่เมื่อหลายร้อยปีก่อน หลายตัวตน หลายฐานะ ไม่ว่าจะเป็นหมอ แม่มด ผู้บำเพ็ญ ได้รู้จักกับบุคคลในตำนานมากมายแต่นั่นก็เป็นเรื่องนานมาแล้ว…ชาตินี้เธอเลยอยากลองเป็นมอดที่มีความสุขไร้กังวล ใช้ชีวิตวัยเกษียณให้สุขสบายดูบ้างจัดการคนในตระกูล ฟาดหน้าเพื่อนตัวร้าย ขึ้นเป็นหัวโจกโรงเรียนเอาเถอะ อยากสบายก็ต้องลำบากก่อน กวาดมันให้ราบก่อนค่อยว่ากัน!อิ๋งจื่อจิน “มาตกลงกันหน่อย เลิกเรียกฉันว่าเด็กน้อยได้ไหม”“อายุห่างสามปีก็มีช่องว่างระหว่างวัยแล้ว พี่ชายคนนี้โตกว่าเธอห้าปี เธอไม่ใช่เด็กน้อยจะเป็นอะไร”อิ๋งจื่อจินชะงัก ขมวดคิ้ว “พี่ชายเหรอ”ดวงตาดอกท้อหรี่ลง “เรียกพี่ชายให้ฟังอีกครั้งซิ”“ฝันเก่งนะคุณ”“…”ได้ การเจรจาล้มเหลว ฟู่อวิ๋นเซินยอมแพ้เด็กน้อยหลอกยากพอตัว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท