The Divine Nine Dragon Cauldron – ตอนที่ 651-652

ตอนที่ 651-652

DND.651 – เมฆครึ้มขอบนภา
“ผู้บุกรุกแห่งทวีปเฉินหงทั้งหมดสมควรตาย”
ซือหยูประกาศชะตาของพวกเขา
เขาแบมือก้อนวงพลังลอยออก สายลมรุนแรงพัดใส่ ร่างของเหล่าทหารเงาทมิฬหายไปไม่เหลือแม้แต่เศษซาก
ซือหยูใช้อรหันต์แปดอักษรได้อย่างเชี่ยวชาญด้วยพลังของกายามังกร เขาเหลือเพียงขั้นสุดท้ายที่ยังไม่สมบูรณ์นั่นก็คือขั้นที่เรียกว่าผู้ใช้อักษร
และเพราะมันเป็นขั้นสุดท้ายพลังของมันจะต้องน่าเกรงขามแน่นอน วิชาอักษรนั้นมากพอจะรับมือกับภูติระดับหนึ่ง ดังนั้นอักษรตัวสุดท้ายจะต้องเป็นสิ่งที่ทรงพลังอย่างมาก
“ท่านเจ้าพันธมิตรจะดีรึที่ฆ่าพวกมันหมดอย่างนี้?”
ผู้เฒ่าเฉินเอ่ยปากถาม
“เรายังไม่มีข้อมูลของศัตรูเลย”
แม้จะสะใจที่ได้สังหารพวกมันทันทีแต่มันก็ดูไม่เหมาะไม่ควร
“พวกมันก็แค่ทหารตำแหน่งต่ำต้อยพวกมันจะรู้อะไรมากเล่า? ถ้าเจ้าอยากจะเค้นเอาข้อมูล…เจ้าไม่ไปถามคนตรงนั้นจะดีกว่ารึ?”
ซือหยูพูดและร่อนลงไปยังหลุมลึก
แม้เขาจะดูร่อนลงเบาๆแต่หลุมลึกก็สั่นสะเทือนต่อไป มุกสีครามอำพันอยู่เบื้องล่างพร้อมกับคนหนึ่งคนที่โดนทับอยู่ข้างใต้
ชุดเกราะของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆอกของเขาฉีก มีโลหิตไหลออกมาจากปาก เขาอยู่ในลมหายใจสุดท้าย เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
เมื่อซือหยูร่อนลงเขาก็ยื่นมือเรียกมุกวิญญาณเก้าหยกกับมุกสีครามอำพัน เสียงแหลมดังพร้อมกับมุกที่หายไป
มุกนี้เหมือนกับลูกแก้วของลำดับห้าธาตุและมุกบาดาลดังนั้นมันจึงค่อนข้างแปลก
เพราะซือหยูเก็บมันไม่ได้เมื่ออยู่ไกลเขาจึงต้องเก็บมันใส่มุกวิญญาณเก้าหยกเช่นนี้ ทุกคนที่เห็นตกตะลึงอย่างมาก พวกเขาสงสัยว่าซือหยูมีสมบัติวิเศษมากมายเท่าใดกันแน่
แต่พวกเขาสนใจมากที่สุดก็คือเซี่ยหวู่ที่กำลังใกล้ตายเขาคือคนที่ถูกสมบัติชิ้นนั้นบดขยี้อย่างรุนแรง! ทุกคนรู้สึกราวกับได้เห็นภาพลวงตา
แผละ!
ซือหยูเหยียบท้องของเซี่ยหวู่มีเสียงเนื้อที่ถูกเหยียบจนเละตามด้วยเสียงบางอย่างแตก ซือหยูเหยียบจุดกำเนิดพลังของเขา! เซี่ยหวู่ตอนนี้ไร้พลังแล้ว!
“ท่านเค้นความลับออกมาก็แล้วกันท่านคงจะรู้ว่าเราควรต้องรู้อะไร อย่าลืมมารายงานข้าด้วย”
ซือหยูพูด
“ได้เลยท่านเจ้าพันธมิตร”
ผู้เฒ่าเฉินพยักหน้าเขากับลั่วซวงและคนที่เหลือนับถือซือหยูอย่างมาก
ซือหยูพยักหน้าและบินขึ้นจากหลุมเขามองคนในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ทั้งหมด เขามองเห็นใบหน้าที่ทุกข์ใจ ทุกคนหน้าซีดและเจ็บปวด แต่แววตาของพวกเขาก็ยังเปล่งประกายสดใส
เพื่อทำให้พวกเขามีหวังซือหยูพูดช้าๆด้วยความเยือกเย็น แต่เสียงของเขาก็สดใสและดังถึงทุกคน
“เราชนะศึกนี้แล้ว”
คำพูดของเขาราวกับระเบิดที่จุดในหูของแต่ละคนใช่แล้ว! พวกเขาชนะ! หลังจากที่สูญเสียไปมาก ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับชัยชนะ!
พวกเขาสังหารศัตรูกึ่งภูติสองร้อยคนเอาชนะผู้ศักดิ์สิทธิ์เซี่ยหวู่ เอาส่วนของดินแดนตอนเหนือคืนมาได้ นี่เป็นชัยชนะแรกที่ทวีปเฉินหลงทำสำเร็จหลังจากผ่านมาเนิ่นนาน
ความสำเร็จครั้งนี้จะต้องจารึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์นามของพวกเขาจะถูกบันทึกส่งถึงคนรุ่นหลัง ความเสียสละของพวกเขาไม่สูญเปล่า พวกเขาได้มอบเสี้ยวความหวังให้กับเฉินหลง
ข่าวชัยชนะครั้งนี้จะต้องทำให้ผู้คนอีกมากมาเข้าร่วมกับพวกเขาพวกเขาหวังว่ามันจะเป็นการจุดประกายที่วันหนึ่งจะเปล่งแสงจ้าในทั้งทวีป!
“พวกเราชนะแล้ว!”
บางคนกู่ร้องเสียงตะโกนของเขามีความยินดีที่มิอาจอธิบาย
“ใช่แล้วเราชนะ!”
ชายอีกคนตะโกนขึ้นมาราวกับศิลาก้อนใหญ่กระทบวารีเสียงผู้คนโห่ร้องตามมาด้วยความดีใจ
ซือหยูหัวเราะคนในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ดีใจเพราะพวกเขาชนะ แต่ซือหยูนั้นดีใจเพราะเขายังรักษากองทัพเอาไว้ได้
หลังจากได้ต่อสู่ครั้งนี้พวกเขาคงจะได้กำจัดการมองสิ่งต่างๆในแง่ร้ายและความโศกเศร้าที่กัดกินจิตใจมานาน นี่คือสิ่งที่ซือหยูใส่ใจที่สุด
ขณะนี้ซือหยูบินไปเหนือน่านฟ้าเจ้าตำหนัก เขามองรอบตำหนักที่เคยเป็นของหลิงเสี่ยวเทียน เขาพบว่าแม้ที่นี่จะเหมือนเดิม คนข้างในก็ไม่ใช่พวกคนเดิมๆ
“เจ้าเป็นใคร?”
ซือหยูมองสตรีคนหนึ่งและถาม
นางดูเหมือนจะเป็นผู้นำของอะไรบางอย่างนางไม่สนใจชายแก่ที่บาดเจ็บหลักที่นอนอยู่ในหลุมลึกเลย ชายคนนั้นลุกขึ้นมาโดยไม่มีใครช่วยเขาแม้แต่คนเดียว
เจ้าตำหนักหนานกวงใจเต้นแรงนางค่อนข้างกังวลเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่ไร้เทียมทานอย่างซือหยูที่กวาดล้างกึ่งภูติได้มากมายเพียงแค่พลิกฝ่ามือ
“ข้าเป็นหนึ่งในเจ้าตำหนักของตำหนักรองทั้งสี่หนานกวง ยินดีที่ได้พบเจ้าพันธมิตรซือ”
หนานกวงไม่กล้าจะหยาบคายนางรีบทักซือหยูตามธรรมเนียม
หนานกวงรึ?ซือหยูพยักหน้า
“พันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะดูแลดินแดนส่วนนี้ของอาณาจักรทมิฬเองเจ้ากลับไปรายงานซะ”
อะไรนะ?หนานกวงตกตะลึงที่ซือหยูตั้งใจจะยึดที่นี่ แต่นางก็คิดถึงความเป็นไปได้นี้มาบ้างแล้ว
“แต่ข้าเกรงว่า…”
เหงื่อเย็นๆไหลออกมาจากหน้าผากเจ้าตำหนักหนานกวงเมื่อนางเริ่มพูด
ซือหยูแตะอากาศด้วยปลายเท้าเขาไม่สนใจนางแม้แต่น้อย เขาเข้าสู่ตำหนักโดยไม่หันหลังมองนาง
“ข้าเพียงแค่บอกให้เจ้ารู้ไม่ได้หารือกับเจ้า จงไปซะ ทิ้งทรัพยากรทั้งหมดเอาไว้ด้วย”
เมื่อซือหยูพูดกับนางอีกครั้งเขาก็ไปถึงส่วนลึกที่สุดในตำหนักนั่นก็คือห้องที่เคยเป็นของหลิงเสี่ยวเทียน เจ้าตำหนักหนานกวงทั้งโกรธและอับอายจากการกระทำที่เกินทนของซือหยู
แต่เมื่อนางคิดถึงตอนที่เขาต่อสู้นางก็หยุดแสดงความรู้สึกออกมา นางหันไปมองคนของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์
ตอนที่พวกเขาเผชิญหน้ากับความตายอย่างไร้ความกลัวแม้กระทั่งตายดั่งดาวตกเรื่องเหล่านั้นทำให้นางตกตะลึง นางนับถือกองทัพเช่นนี้อย่างมาก
“ข้าต้องทำตามที่เขาพูดสินะ”
เจ้าตำหนักหนานกวงถอนหายใจและส่งกุญแจวาววับให้กับผู้เฒ่าเฉิน
“ประชาชนของอาณาจักรทมิฬไปกันเถอะ!”
เจ้าตำหนักหนานกวงตะโกนและนำคนออกจากที่นี่
หลังจากที่ออกมาได้ไกลความโกรธก็ปรากฏบนใบหน้าผู้ตรวจการไป่หยุน
“หนานกวงเจ้ามอบดินแดนของเราให้เขาอย่างนั้นไปเฉยๆน่ะเรอะ? เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วสินะ? เจ้าตายแน่ถ้าตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืดรู้เรื่องนี้”
เจ้าตำหนักหนานกวงมิอาจข่มความโกรธแค้นเมื่อได้ยินไป่หยุนนางหันกลับไปมองหน้าเขาและหรี่ตาพูดเยาะเย้ย
“หึผู้ตรวจการไป่หยุน ตอนที่ซือหยูอยู่ด้วย ทำไมเจ้าไม่พูดอะไรซักคำเล่า? เจ้าเงียบมาตั้งนานแต่ก็มากล่าวโทษข้าน่ะรึ?”
ผู้ตรวจการไป่หยุนตอบอย่างโกรธเกรี้ยว
“เจ้ากล้าพูดกับข้าแบบนี้เรอะ?”
เจ้าตำหนักหนานกวงตำหนิเขาต่อไป
“ผู้ตรวจการไป่หยุนเจ้าคิดว่าจะแก้ตัวกับตำหนักเจ็ดจ้าวดแห่งความมืดยังไงจะดีกว่า เพราะเจ้าคงเลี่ยงความรับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ได้”
ผู้ตรวจการไป่หยุนปากสั่นแต่ก็ไม่พูดอะไรเขาพูดไม่ออก เขาเริ่มกลัว…เพราะที่นางพูดนั้นคือเรื่องจริง
“พลังของซือหยูเหนือกว่าที่พวกเราคิดเราทำได้แค่รายงานความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่กลับไป ข้าเชื่อว่าตำหนักเจ็ดจ้าวจะต้องเข้าใจสถานการณ์ของพวกเรา”
ผู้ตรวจการไป่หยุนถอนหายใจอีกครั้งเขาหวังว่ามันจะเป็นอย่างที่เขาพูด
เจ้าตำหนักหนานกวงคิดแบบเดียวกัน
“ตำหนักเจ็ดจ้าวน่าอัศจรรย์นักพวกเขาต้องจับได้ถ้าหากเราโกหก เราทำได้แค่รายงานทุกอย่างตามความจริง เจรจากับพวกเขามิใช่เรื่องยาก แต่จ้าวสามก็คงจะไม่ปล่อยเราไปง่ายๆ”
นางพูดต่อ
“จ้าวสามทั้งโหดร้ายและเข้มงวดคงจะยากที่พวกเราจะปัดความรับผิดชอบไปได้ ชะตาพวกเราอยู่กับคนเหล่านั้น”
เจ้าตำหนักหนานกวงมองตำหนักและถอนหายใจเบาๆ
“หยินหยูข้าหวังว่าเจ้าจะดูแลตัวเองได้”
นางรู้ว่าจ้าวแห่งความมืดคนอื่นอาจจะปล่อยเรื่องนี้ไปแต่จ้าวแห่งความมืดลำดับสามจะไม่ปล่อยมือจากเรื่องนี้แน่
หลังจากที่การต่อสู้นองเลือดได้เกิดขึ้นในเมืองเขตกลางเสียงเอะอะรอบๆได้เงียบลงในยามค่ำคืน ไม่มีใครลืมกองทัพกล้าหาญที่บินมาจากฟ้าซึ่งนำโดยเจ้าพันธมิตรคนใหม่ของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ พวกเขาได้คว้าชัยชนะครั้งแรกของเฉินหลงซึ่งทำให้ได้ดินแดนกลับคืนมา!
แม้ในค่ำคืนอันเงียบงันนี้ก็ยังมีคนเข้าออกห้องของซือหยูบางคนเป็นเจ้าเมืองที่มาเพื่อรายงานเรื่องราวในเมืองแก่ซือหยู
ส่วนคนอื่นๆนั้นมาจากตระกูลใหญ่ในเมืองพวกเขานำของขวัญติดตัวมาด้วยเพื่อต้อนรับผู้ปกครองคนใหม่ ขณะที่บางคนเป็นยอดฝีมือที่มาเพื่อเจ้าร่วมพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ที่เพิ่งจะได้สร้างชื่อเสียง ส่วนคนอื่นๆก็มาเพื่อรายงานการรับมือกับการต่อสู้ต่อไปเป็นหลัก
มีคนต่อแถวยาวหน้าประตูห้องซือหยูแถวนั้นยาวเหยียดไปถึงประตูตำหนัก การหารือดำเนินไปจนถึงเที่ยงคืน และมันก็เป็นอย่างนี้ต่อเนื่องไปอีกสิบวัน! ซือหยูเริ่มที่จะเบื่อและทนไม่ไหวแล้ว!
ซือหยูเหยียดตัวถอนหายใจยาวในสวนดวงตาแดงก่ำของเขาเริ่มแห้งและเหนื่อยล้า เรื่องการดูแลดินแดนนั้นเหนื่อยยิ่งกว่าการต่อสู้ใหญ่เสียอีก!
“การตัดสินใจของท่านในฐานะเจ้าพันธมิตรนั้นปราดเปรื่องนัก”
ผู้เฒ่าเฉินที่อยู่ด้านหลังมองซือหยูอย่างยอมรับ
“ตอนนี้มีอีกหลายแห่งที่ยังต่อสู้โต้กลับนอกจากอาณาจักรทมิฬ”
เขาเห็นด้วยที่ซือหยูตัดสินใจนำพวกเขามายังดินแดนตอนเหนือแม้จะมีหลายคนที่ตั้งคำถามขึ้นเขาก็พิสูจน์ตัวเองว่านี่เป็นการแก้ปัญหาในระยะยาวที่ดีที่สุด เพราะพวกเขาแก้ปัญหาเรื่องความขาดแคลนทรัพยากรของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ได้แล้ว
แม้เขาจะยังอายุน้อยเขาก็เป็นที่ประจักษ์ว่าสามารถมองภาพรวมได้อย่างดี ซือหยูดูเหมือนชายแก่หัวแหลมเสียยิ่งกว่าเด็กหนุ่ม
ซือหยูปัดมืออย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก
“จากนี้ไปเรื่องที่ไม่ค่อยสำคัญนักของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะถูกดูแลด้วยเจ้ากับพวกผู้เฒ่า ข้าจะตัดสินใจเรื่องสำคัญเท่านั้น”
“เข้าใจแล้ว”
ผู้เฒ่าเฉินตอบอย่างนับถือ
“แล้วเจ้าได้เรื่องอะไรมาจากเซี่ยหวู่บ้าง?”
ซือหยูถามสิบวันผ่านไปตั้งแต่จับตัวเซี่ยหวู่ได้ ซือหยูคิดว่าพวกเขาน่าจะได้ข้อมูลจากเซี่ยหวู่มาเยอะทีเดียว
ผู้เฒ่าเฉินสีหน้าดูหม่นหมองว
“ท่านเจ้าพันธมิตรข้ามาเพื่อรายงานเรื่องนี้กับท่าน”
ดูจากสีหน้าดูเหมือนผู้เฒ่าเฉินจะได้ข่าวร้ายจากเซี่ยหวู่ ซือหยูทำใจและสั่งกับผู้เฒ่าเฉิน
“ว่ามา!”
“ท่านเจ้าพันธมิตรสถานการณ์ของตอนเหนือยังห่างไกลจากคำว่าดีมากนัก และอีกไม่นานมันจะกลายเป็นดินแดนที่อันตรายมากที่สุด!”
ผู้เฒ่าเฉินตอบโดยไม่ปั้นคำพูด
“ยังไง?”
ซือหยูเลิกคิ้วเขาไม่เข้าใจความหมายจริงๆ
ผู้เฒ่าเฉินอธิบาย
“ตามที่เซี่ยหวู่บอกเขามาตอนเหนือจากฝั่งตะวันตกเพราะเขาถูกสั่งให้ทำลายคณะวิหคเพลิงและตำหนักนรองทิศเหนือของอาณาจักรทมิฬ นั่นก็เพราะว่าห้าศักดิ์สิทธิ์กำลังจะออกมาจากก้นบึ้งมังกรในอีกไม่นาน”
ห้าศักดิ์สิทธิ์ที่ครอบครองฝ่ามือเทพดับสวรรค์น่ะรึ?ซือหยูใจสั่น ตามที่วู่เหิงบอก ห้าศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ฝ่ามือเทพดับสวรรค์นั้นทรงพลังจนภูติขั้นสูงต้องหวาดกลัว! พลังของเขาเหนือกว่าใคร
“พอห้าศักดิ์สิทธิ์ออกมาแล้วเขาจะออกเดินทางไปในทวีปต่างๆและทวีปแรกคือดินแดนทางตอนเหนือ เพราะเป็นดินแดนที่ใกล้ที่สุด ผู้ศักดิ์สิทธิ์คนอื่นเลยพยายามจะจัดการดินแดนระหว่างทางเพื่อไม่ให้ห้าศักดิ์สิทธิ์ต้องลำบาก”
ผู้เฒ่าเฉินบอกสิ่งที่ได้จากเซี่ยหวู่
นี่คือเหตุผลที่คณะวิหคเพลิงพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ และอาณาจักรทมิฬถูกจู่โจมพร้อมกัน! นั่นก็เพราะว่าห้าศักดิ์สิทธิ์กำลังจะมาที่นี่ในอีกไม่นาน!
ซือหยูวิเคราะห์สิ่งที่ได้รู้เขาพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง
ผู้เฒ่าเฉินพูดเสริมอีก
“แล้วเซี่ยหวู่ก็บอกอีกว่ามีกึ่งภูติมากกว่าพันคนที่ติดตามมาด้วยนั่นคือกำลังครึ่งหนึ่งของพวกต่างโลก”
มากกว่าพันคนรึ?ซือหยูเบิกตากว้างเมื่อได้ฟังจำนวน เขายังพูดไม่ออกอยู่
ผู้เฒ่าเฉินพูดต่อไป
“หลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่สุดท้ายมันเลยมาเกินครึ่งปีแล้ว พวกมันไม่มีใครขวาง ครึ่งก็คงจะมากพอที่จะย้ายกึ่งภูติพันคนมาจากต่างโลก ถ้ากึ่งภูติพันคนนั้นออกจากก้นบึ้งมังกรมาถึงที่นี่กับห้าศักดิ์สิทธิ์ ทวีปเฉินหลงก็คงไม่มีหวังให้รอดต่อไปได้!”
ซือหยูเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิมไม่มีใครมองข้ามกำลังใหญ่เช่นนี้ และห้าศักดิ์สิทธิ์ยังมาด้วย เขามีพลังที่ลึกล้ำยากที่ซือหยูจะรับมือได้!
“เรามีเวลาอีกเท่าไหร่?”
ซือหยูถาม
“ไม่เกินสองเดือนแต่มากกว่าหนึ่งเดือน พอถึงตอนนั้น ห้าศักดิ์สิทธิ์จะออกมาสู้กับทวีปเหนือ…”
ซือหยูใจสั่นอีกครั้งแค่เดือนเดียวนั้นไม่พอที่จะเตรียมการอย่างเหมาะสม!
“นี่มันข่าวร้ายของจริง!”
ซือหยูเห็นล่วงหน้าได้เลยว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะต้องวิปโยคและรุนแรงกว่าการต่อสู้ครั้งก่อนๆ!

DND.652 – ยืมกำลังจากพันลี้
ซือหยูคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถาม
“ผู้เฒ่าเฉินท่านประเมินทรัพยากรที่เหลือไว้นานเท่าใด?”
ผู้เฒ่าเฉินตอบ
“มีโอสถหลายชนิดตำราบ่มเพาะ วัตถุดิบ และสมบัติที่มากพอให้ใช้ได้หนึ่งเดือน”
“หนึ่งเดือนก็ไม่เลวนัก”
ดวงตาของซือหยูส่องประกายขึ้นมาบ้าง
มีกองทัพไม่เยอะนักในดินแดนนี้มีแค่เขตหลักสิบเขต ตำหนักของเจ้าตำหนักตำหนักเดียว และมีทหารชุดเงินกับชุดม่วงแค่ไม่กี่คน
ทรัพยากรที่เหลือให้คนหมื่นคนใช้งานนั้นมีจำกัด
“รวบรวมอาจารย์ปรุงโอสถให้พวกเขาปรุงโอสถเพิ่ม เราจะจัดลำดับโอสถให้กับคนของพันธมิตรก่อน พวกเขายังอ่อนแอเกินไปมาก”
ซือหยูสั่ง
การต่อสู้ครั้งก่อนเผยให้เห็นถึงความอ่อนแอของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์คนหมื่นคนต่อยี่สิบสามต้องใช้การเสียสละคนนับร้อยเพื่อสังหารคนแค่คนเดียว
ด้วยพลังตอนนี้ถ้าต้องเจอกับกองทัพพันคนของห้าศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็ไม่ต่างไข่ที่ขว้างไปยังหิน ไม่มีโอกาสแม้แต่นิดเดียวที่พวกเขาจะชนะ
ผู้เฒ่าเฉินหนาวไปถึงกระดูกเขาสงสัย…
ซือหยูวางแผนจะต่อสู้กับทัพใหญ่ของห้าศักดิ์สิทธิ์งั้นรึ?นั่นมันบ้าไปแล้ว!
คนหมื่นคนที่มีจะชนะได้ยังไง?
“ท่านเจ้าพันธมิตรขออภัยที่ข้าต้องพูดตรงๆ ถึงเราจะรวบรวมคนปรุงโอสถมาได้ มันก็ยากอยู่ดีที่จะเพิ่มพลังให้กับพันธมิตรผู้คุมสวรรค์จนถึงระดับที่จะต่อสู้กับทัพของห้าศักดิ์สิทธิ์ได้!”
ผู้เฒ่าเฉินพูด
เขาพูดต่อด้วยความกังวล
“เรามีกึ่งภูติที่มีแก้วสองดวงแค่ยี่สิบคนพวกที่มีแก้วดวงเดียวอีกร้อยคน ด้วยพลังตอนนี้ เราจะไปสู้พวกนั้นได้รึ?”
ตามที่ผู้เฒ่าเฉินวิเคราะห์ถ้าต้องสู้กับทัพของห้าศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งกว่านับสิบเท่า ชัยชนะก็คงจะมีแต่ในนิทานเท่านั้น
“ทำตามที่ข้าพูดก็พอ!”
ซือหยูตะโกนเขาไม่ยอมรับคำแนะนำ
ผู้เฒ่าเฉินตัวสั่นอกของเขารัดแน่น
“ขอรับท่านเจ้าพันธมิตร”
“ถึงทวีปเฉินหลงจะกว้างใหญ่แล้วที่ไหนรึที่ปลอดภัย? จะลงใต้ ไปตะวันตก หรือไปตะวันออกได้รึ? ผู้เฒ่าเฉิน ท่านเห็นทางออกหรือไม่?”
ซือหยูหันไปมองผู้เฒ่าเฉินเผยให้เห็นสีหน้าอันว่างเปล่า
คำพูดของเขาทำให้ผู้เฒ่าเฉินสั่นไปจนถึงแกนร่างผู้เฒ่าเฉินเข้าใจความจริงแล้ว
ซือหยูพูดถูกไม่มีที่อื่นใดอีกแล้วที่ปลอดภัยในทั้งทวีปเฉินหลงแห่งนี้ ไม่มีที่ให้พวกเขาหนี ทางเดียวคือพวกเขาต้องสู้จนถึงที่สุด!
“ท่านเจ้าพันธมิตรพูดถูกแล้วข้าจะจัดการเรื่องนี้ แต่เรามีวัตถุดิบจำกัด ผู้เฒ่าฉิวที่ปรุงโอสถได้ดีที่สุดก็ยังไม่ได้สติ เดือนเองอาจจะเพิ่มกำลังให้พวกเราได้ไม่มากนัก”
ผู้เฒ่าเฉินเป็นกังวลอย่างมาก
ซือหยูตอบเบาๆ
“ข้ารู้แล้วทำตามที่ข้าบอกก็พอ ข้ามีทางอื่น…”
พอพูดจบเขาก็เข้าไปในตำหนัก ผู้เฒ่าเฉินโค้งคำนับและเดินออกไป เขาไปรวบรวมทุกคนในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์รวมถึงอาจารย์ปรุงโอสถทุกคน
เขาชี้แนะทุกคนตามที่ซือหยูสั่งใบหน้าของเขาเคร่งขรึม น้ำเสียงเคร่งเครียด เพราะพวกเขากำลังเอาชีวิตทุกคนเป็นเดิมพัน!
ในตำหนักสีหน้าเยือกเย็นของซือหยูแทนที่ด้วยความอ่อนโยน มีสามคนที่เอนกายอยู่ในตำหนัก นั่นคือผู้เฒ่าจิว ผู้เฒ่าฉิว และเซี่ยจิงหยู
“เจ้าจะสู้กับห้าศักดิ์สิทธิ์จริงๆน่ะรึ?”
ผู้เฒ่าจิวลืมตาลุกขึ้นนั่งด้วยความยากลำบาก
แม้เขาจะได้สติมาหลายวันบาดแผลของเขาก็ยังร้ายแรง เขาต้องให้ซือหยูคอยดูแล ซือหยูมองเขาด้วยความนับถือ
“ถ้าเราไม่สู้เราจะตาย เราไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว”
ดวงตาแก่เฒ่าของผู้เฒ่าจิวแจ่มแจ้งด้วยความรู้สึกมากมายเขาไม่เคยคิดฝันว่าเด็กหนุ่มที่เขาเคยปกป้องจะกลายมาเป็นผู้ปกป้องตัวเขาเอง
ซือหยูยังได้เป็นเจ้าพันธมิตรของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์อีกด้วย!ซึ่งซือหยูเปลี่ยนแปลงตัวเองมาจนถึงขั้นนี้ในเวลาเพียงแค่สองปีเศษ! เขาภูมิใจในตัวซือหยูจริงๆ
“เราต้องคิดหาหนทางอื่นข้าเคยเห็นการโจมตีจากร่างเทียมของห้าศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว แม้แต่ท่านราชาโลกดับสูญก็รับมือกับฝ่ามือเดียวแทบจะไม่ได้”
ผู้เฒ่าจิวมองตาซือหยู
ซือหยูสงสัยว่าฝ่ามือนั้นคือฝ่ามือเทพดับสวรรค์หรือไม่เขารู้ว่าห้าศักดิ์สิทธิ์ใช้วิชานั้นสังหารภูติระดับเก้าได้ มันเป็นวิชาที่น่ากลัวจริงๆ
ซือหยูเริ่มคิดก่อนจะส่ายหน้าและหัวเราะอย่างขมขื่น
“ข้าไม่มีความคิดอื่นอีกแล้ว…”
เขาบอกผู้เฒ่าเฉินว่าเขามีทางอื่นเพื่อปลอบผู้เฒ่าเฉินไม่ให้คิดหนักเพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเพิ่มฐานพลังของคนทั้งหมื่นคนขึ้นมา และที่สุดซือหยูก็ต้องพูดความจริงออกมาเมื่อผู้เฒ่าจิวถามตรงๆ
ผู้เฒ่าจิวถอนหายใจเงียบๆ
“แล้วเจ้าคิดจะรับมือกับพวกมันยังไง?ทัพใหญ่จะมาถึงในแค่เดือนเดียว พวกมันจะสังหารทุกคนในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ เจ้าอาจจะไม่สนใจชีวิตพวกเขา แต่ฉินเซี่ยนเอ๋อเล่า? แล้วก็…จ้าวยี่หยูคนนี้…เจ้ากับยี่หยูมิได้มีสัมพันธ์แบบคนธรรมดาแน่ๆ…”
ผู้เฒ่าจิวถอนหายใจอีกครั้ง
“ถ้าห้าศักดิ์สิทธิ์นำทัพใหญ่มาครั้งนี้เรื่องใหญ่จะเกิดกับทวีปเฉินหลง ข้าสัมผัสได้ว่าพวกนั้นมีกำลังมากพอ สิ่งเดียวที่รอทวีปเฉินหลงก็คือการล้างสังหารที่เกิดขึ้นซ้ำจากเมื่อหมื่นปีก่อน มันเลี่ยงไม่ได้แล้วล่ะ”
หมื่นปีก่อนทวีปเฉินหลงได้พบกับภัยพิบัติร้ายแรง และหมื่นปีต่อมา ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยอีกครั้ง
ซือหยูมองเซี่ยจิงหยูที่หลับอย่างสงบเขาใจหายอย่างบอกไม่ถูก แค่เพียงหนึ่งเดือน ความตายจะมาถึงพวกเขา แล้วตอนนั้นเขาจะปกป้องเซี่ยจิงหยูได้หรือ
เขาคิดถึงเซี่ยนเอ๋อเช่นกันพวกเขาเพิ่งจะได้กลับมาพบกัน แต่ทนไม่ได้ถ้าหากต้องแยกจากกันอีกครั้ง…โดยเฉพาะจากกันด้วยความตาย!
เขาหนักใจขึ้นมาและความจริง นอกจากหญิงสาวทั้งสอง เขายังมีคนอื่นอีกมากมายในเฉินหลงที่ต้องการให้เขาปกป้อง ตั้งแต่เกาะเฉินยี่จนถึงพันธมิตรร้อยดินแดน แม้กระทั่งทวีปเหนือที่นี่
เมื่อห้าศักดิ์สิทธิ์มาถึงพร้อมกับกองทัพทุกอย่างคงจะราบเป็นหน้ากลอง เขาคิดไม่ตก…
สุดท้ายแล้วประวัติศาสตร์ก็จะซ้ำรอยรึ?
ซือหยูมั่นใจอยู่เล็กน้อยเท่านั้นว่าเขาจะรอดจากภัยครั้งนี้
ผู้เฒ่าจิวพูดขึ้นมาขณะที่ซือหยูคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่าง
“ข้ามีทางอยู่แต่ไม่รู้ว่าเจ้าจะลองหรือไม่”
ซือหยูแปลกใจ
“หา?โปรดบอกข้าทีผู้เฒ่าจิว”
“ง่ายดายนัก เจ้าจะต้องไปที่อาณาจักรทมิฬ! เอานี่ไป…ข้าเขียนจดหมายนี้กับมือ ส่งให้ราชาแห่งความมืด เขาจะช่วยเจ้า”
ผู้เฒ่าจิวหยิบซองจดหมายออกมาจากอกน้ำหมึกได้แห้งเหือดไปแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะเขียนเมื่อหลายวันก่อน ซือหยูสงสัย…
ผู้เฒ่าจิวทำนายว่าวันนี้จะมาถึงล่วงหน้ารึ?
“อาณาจักรทมิฬมีกองทัพแข็งแกร่งเท่าใดกัน?”
ซือหยูมองตาผู้เฒ่าจิวขณะที่ถาม
แม้ว่าอาณาจักรทมิฬจะไม่เคยปรากฏตัวในการต่อสู้ครั้งใดแม้จะถูกรายล้อมซือหยูก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะมีความสามารถพอในการต่อสู้กับพวกต่างโลก เพราะอาณาจักรทมิฬคือกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่องครักษ์ของจักรพรรดิจิวโจวก่อตั้งเมื่อยุคสมัยก่อน
ไม่มีใครรู้ว่าอาณาจักรทมิฬแข็งแกร่งขึ้นแค่ไหนในช่วงเวลาที่ผ่านมานั่นก็เพราะพวกเขาไม่เคยปรากฏตัวออกมาให้เห็น
“พวกเขาแกร่งแค่ไหนน่ะรึ?”
ผู้เฒ่าจิวยิ้มอย่างประหลาด
“พวกเขาแข็งแกร่งจนห้าศักดิ์สิทธิ์ที่รอมานานต้องมาพร้อมกับกำลังพันคนยังไงล่ะ!”
ซือหยูเบิกตากว้างหรือพูดอีกอย่างก็คือ…ผู้เฒ่าจิวจะบอกว่าห้าศักดิ์สิทธิ์ได้ซ่อนตัวในก้นบึ้งมังกรก็เพราะกังวลเรื่องอาณาจักรทมิฬน่ะรึ?
อาณาจักรทมิฬแข็งแกร่งเพียงใดกันแน่?
“ตอนนี้ห้าศักดิ์สิทธิ์กำลังจะออกมาแล้วเจ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกอาณาจักรทมิฬ ถึงเวลาที่พวกเขาจะปรากฏตัวแล้ว! เอาจดหมายของข้าไปให้ราชาแห่งความมืด เขารู้ว่าต้องทำยังไง…”
ผู้เฒ่าจิวบอก
ซือหยูแปลกใจมาก
“ผู้เฒ่าจิวราชาแห่งความมืดยังมีชีวิตอยู่อีกรึ? ผ่านมาตั้งหลายร้อยปีแล้วตั้งแต่ที่เขาออกมากำจัดตระกูลตู่ จากนั้นก็ไม่ได้ปรากฏตัวอีกเลย จ้าวแห่งความมืดเองก็ไม่รู้ว่าเป็นตายอย่างไร ท่านแน่ใจรึว่าข้าจะส่งจดหมายไปถึงมือราชาแห่งความมืดได้?”
ผู้เฒ่าจิวหัวเราะ
“เขาน่ะเรอะ?หึหึ ต่อให้ทุกคนตาย เขาก็จะไม่ตาย! ไปส่งจดหมายของขาอย่างสบายใจเถอะ ถ้าเจ้าบอกว่ามันเป็นจดหมายจากข้า อย่างไรก็ต้องมีคนนำมันไปให้ราชาแห่งความมืด”
มันจะเป็นแบบนั้นจริงๆรึ?ซือหยูยิ่งสงสัยเกี่ยวกับเฉินหลง ราชาแห่งความมืดผู้นี้คือตำนานจากหลายยุคสมัย เงาของเขาล้วนแล่นผ่านทุกดินแดนในทั้งทวีปนี้!
ตั้งแต่ที่ซือหยูได้เข้าสู่อาณาจักรทมิฬเขาได้ยินหลายเรื่องราวเกี่ยวกับราชาแห่งความมืด และตอนนี้ซือหยูที่เป็นแค่เด็กน้อยจากเกาะเฉินยี่กำลังจะได้พบตัวตนในตำนานตัวเป็นๆ! แค่คิดก็ทำให้เขาตื่นเต้นแล้ว
“ก็ได้ข้าจะไปอาณาจักรทมิฬ”
ซือหยูพยักหน้า
เขาจะไปขอความช่วยเหลือเพื่อปกป้องทวีปเหนือและคนที่เขารักที่นี่มันเป็นเรื่องสำคัญที่เขาต้องทำ!
ผู้เฒ่าจิวหัวเราะและยื่นจดหมายให้กับซือหยูเขามองซือหยูก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
“ข้ามองดูเจ้ามาตลอดตอนที่เจอเจ้าเมื่อหลายปีก่อน ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมาได้ไกลเท่านี้ ดูเหมือนว่าข้าจะแก่เกินจนสายตาพร่ามัวไปแล้ว”
ซือหยูหัวเราะเบาๆ
“ท่านยังมีศิษย์อย่างกังต้าเหล่ยท่านจะตัดพ้อไปทำไมเล่า? เขามีพรสวรรค์มากนัก ท่านจะต้องภูมิใจแน่นอน”
เขารู้ว่ากังต้าเหล่ยมีพื้นเพที่แปลกกว่าคนอื่นและมีพรสวรรค์มากดังนั้นเขาจึงเข้าใจได้ว่าทำไมผู้เฒ่าจิวจึงรับเขาเป็นศิษย์ นั่นแสดงให้เห็นว่าผู้เฒ่าจิวยังคงมีสายตาที่เฉียบคม
ผู้เฒ่าจิวหยุดนิ่งไปก่อนที่แววตาจะดูซับซ้อน
“กังต้าเหล่ยเขาเป็น…ช่างเถอะ บอกเจ้าไปก็ไม่ได้อะไร เจ้าจงเตรียมพร้อมให้เร็วที่สุด ยิ่งได้กำลังเสริมเท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น”
“แน่นอนข้าจะจัดการกับเรื่องอื่นๆสักหน่อยก่อนจะเริ่มเดินทาง”
ซือหยูไม่ลืมว่าเขายังมีเรื่องที่ต้องทำ
“ผู้เฒ่าจิวข้าขอถามถึงความปลอดภัยของเจ้าตำหนักหลิงจะได้หรือไม่?”
ซือหยูมองผู้เฒ่าจิวด้วยความคาดหวังเพราะเขาไปยังกระโจมเทพสวรรค์ก็เพื่อช่วยชีวิตหลิงเสี่ยวเทียน
ผู้เฒ่าจิวตบหัวตัวเอง
“ข้าเกือบลืมไปเลย!”
เขาหยิบเอาน้ำเต้าเหล้าออกมาจากไหล่เขาเขย่าน้ำเต้า สิ่งที่ออกมามิใช่เหล้าแต่เป็นแสงสีทอง แสงสีทองนี้ใหญ่ขึ้นจนมีขนาดเท่ากับมนุษย์ มันคือโลงศพรูปมังกร!
“ถึงมันจะเป็นสมบัติเทพระดับต่ำที่พังมันก็ดูดซับพลังวิญญาณเพื่อเก็บร่างของคนที่บาดเจ็บได้ เจ้าตำหนักหลิงถึงได้รอดมาจนถึงวันนี้”
ผู้เฒ่าจิวกล่าวชมพลังของโลงศพมังกร
แต่ซือหยูรู้ว่าโลงศพมังกรกับพลังชีวิตที่เหลือนั้นคงไม่พอที่จะทำให้หลิงเสี่ยวเทียนมีชีวิตรอดผู้เฒ่าจิวได้ใส่พลังชีวิตของตัวเองลงไปเพื่อยื้อชีวิตของหลิงเสี่ยวเทียน
“ข้าจะไม่มีวันลืมความปรารถนาดีของท่านผู้เฒ่าจิว”
ซือหยูไม่พูดมากกว่านี้เขาโค้งคำนับต่อผู้เฒ่าจิว
ผู้เฒ่าจิวมองซือหยูด้วยความปลื้มใจและยอมรับ
“เจ้าพร้อมเผชิญหน้ากับความตายเข้าสู่กระโจมเทพสวรรค์เพื่อตอบแทนหลิงเสี่ยวเทียนยากที่จะหาบุรุษอย่างเจ้าในโลกใบนี้”
“ท่านผู้เฒ่าจิวพูดเกินไปแล้ว”
ซือหยูหัวเราะอย่างนอบน้อม
เพราะนี่คือหลักการในการใช้ชีวิตของซือหยูซือหยูคิดว่าสิ่งที่เขาทำไม่ใช่สิ่งพิเศษ
หลังพูดจบซือหยูคุกเข่าและเปิดฝาโลกศพมังกรหมอกทันที

The Divine Nine Dragon Cauldron

The Divine Nine Dragon Cauldron

Status: Ongoing

หนึ่งประสงค์ทำลายสุริยันจันทราและหมู่ดารา ดัชนีเดียวเข่นฆ่าราชันย์สวรรค์ เพียงปริปากทั้งสวรรค์แลสิบภพพลันวินาศ

เด็กยากจนเดินทางออกจากหุบเขาห่างไกลพร้อมกับมังกรนพเก้าและหม้อวิเศษที่ควบคุมกาลเวลาและพื้นที่กว้างใหญ่ เขาใฝ่หาเส้นทางแห่งพระเจ้าเพื่อท้าทายจักรวาลอันไม่มีสิ้นสุดและต่อสู้กับยุคสมัยในตำนาน

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน