ด้วยฝีมือการแฮกของแฮกเกอร์คนนั้น การแฮกเวยปั๋วเป็นเรื่องที่ทำได้ในไม่กี่นาที
อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงลูกพี่ใหญ่ของสมาพันธ์แฮกเกอร์นิรนาม ทั้งยังเคยเจาะเข้าระบบของมหาวิทยาลัยนอร์ตันกับตระกูลลอเรนท์
ถึงแม้สุดท้ายจะถูกไล่ออกมา แต่ยังไงเขาก็เป็นตัวแทนของแฮกเกอร์ชั้นแนวหน้าของโลกนี้
ดังนั้นเวยปั๋วโพสต์นี้จะปรากฏเป็นโพสต์แรกในหน้าหลักของผู้ใช้งานเวยปั๋วทุกบัญชี อยากไม่เห็นก็คงยาก สามรูปนี้สะเทือนเลือนลั่นไปทั้งเวยปั๋ว
ต่อให้ไม่ใส่คำว่าไฮโซสาวอันดับหนึ่ง ลำพังแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่งในสามรูปนี้ก็ทำให้ทัศนคติของชาวเน็ตถึงกับแหลกสลายไปตามๆ กันแล้ว
[โอ้โห แบบนี้ยังเรียกไฮโซสาวอันดับหนึ่งแห่งฮู่เฉิงได้อีกเหรอ ไม่ใช่มารอันดับหนึ่งแห่งโลกมืดจริงๆ เหรอ]
[มิน่าตระกูลเจียงถึงได้ถอนหมั้น นี่ถ้าแต่งเข้าบ้านนะ เกิดวันไหนไม่ถูกชะตาเด็กทารกคนไหนขึ้นมาแล้วเอาไปทิ้งจะทำไง]
[เดิมทีฉันคิดว่าอิ๋งลู่เวยอิจฉาเลยเอากรรไกรไปตัดสายไฟ นึกไม่ถึงว่าเธอจะนิสัยเลวตั้งแต่เด็ก ตอนแปดขวบฉันยังเล่นกระโดดยางอยู่เลย แต่เธอรู้จักติดต่อกับพวกค้ามนุษย์แล้ว]
[เดี๋ยวนะ สรุปว่าอิ๋งลู่เวยอยากฆ่า แอทเกษียณแล้วอย่ากวน ตั้งแต่เด็กเลยเหรอ]
[คอมเมนต์บน เธอเข้าใจผิดแล้ว ในรูปเขียนว่าอิ๋งลู่เวยเอาหลานสาวไปทิ้ง จัดฉากอุบัติเหตุฆ่าคนน่ะหลานสาวที่เป็นลูกเลี้ยง สองคนนี้คนละคนกัน]
[นี่…หลานสาวเธอโคตรน่าสงสารเลย]
หลังจากที่แฮกเกอร์กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหมดไปหนึ่งถ้วยก็หยิบโทรศัพท์มือถือมากดส่งสองข้อความ
[เรียบร้อย! แต่จะว่าไปนะเพื่อน ต่อไปอย่าให้ฉันทำเรื่องแบบนี้อีกเลยได้ไหม เรื่องขี้ปะติ๋วแค่นี่เอง]
[นายรู้หรือเปล่าว่างานล่ารางวัลในเอ็นโอเคน่ะ แค่ฉันออกโรงค่าจ้างเท่าไร]
ฟู่อวิ๋นเซินที่ยังนอนป่วยอยู่บนเตียงเหลือบมอง จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งกดพิมพ์
[เดี๋ยวส่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสใหม่ไปให้]
[รีบบอกสิ เพื่อน ต่อไปเรื่องแบบนี้โยนมาให้ฉันได้เลย!]
ฟู่อวิ๋นเซินเพิ่งตอบเสร็จ โทรศัพท์มือถือในมือก็ถูกดึงไป
“ป่วยอยู่ เล่นโทรศัพท์ให้น้อยๆ หน่อย”
ฟู่อวิ๋นเซินมองเด็กสาวเอาโทรศัพท์ของเขาไปวางบนชั้นที่อยู่ข้างเตียง เหลือบมองเขา จากนั้นก็เอาโทรศัพท์มือถือยัดใส่กระเป๋าเสื้อตัวเอง
“…”
เขานั่งพิงด้านหลัง เลิกคิ้ว “เดี๋ยวนะเด็กน้อย ทำไมพี่ชายรู้สึกเหมือนเธอกำลังล้างแค้นเลยล่ะ”
ขนาดถูกกระสุนปืนเขายังรักษาตัวเองได้ บาดแผลภายในแบบนี้ยิ่งหายเร็ว
พอเขาพูดจบตรงหน้าก็มีตับหมูมาวางหนึ่งจาน
อิ๋งจื่อจินพูดสั้นๆ “บำรุงเลือด”
ฟู่อวิ๋นเซินเริ่มไอ ดวงตาดอกท้อโค้งมน “ไม่เป็นไร พี่ชายผลิตเลือดเก่งมาก เยาเยา เธอเก็บเอาไว้…”
คำพูดที่เหลือชะงัก เพราะเขาถูกยัดด้วยตับหมู
“ดีต่อร่างกาย” อิ๋งจื่อจินคีบต่ออย่างใจเย็น “อย่ากินทิ้งกินขว้าง”
ฟู่อวิ๋นเซิน “…”
ได้…อย่างน้อยเด็กน้อยที่ขี้เกียจแม้แต่จะเดินก็ใจดีป้อนเขาด้วยตัวเอง ยังไงก็ต้องกินให้หมด
“อืม เยาเยา” หลังจากที่ฟู่อวิ๋นเซินกินตับหมูชิ้นสุดท้ายเสร็จก็ค่อยๆ พูดขึ้น “พี่ชายวานให้ผู้เฒ่ามู่ช่วยย้ายชื่อเธอออกจากทะเบียนบ้านตระกูลอิ๋ง จะได้ตัดขาดกับพวกเขาอย่างสิ้นเชิง”
พอได้ยินแบบนี้มือของอิ๋งจื่อจินก็ชะงัก เธอครุ่นคิดชั่วครู่ “ต้องทำแบบนั้นด้วยเหรอ”
“ถ้าไม่ทำแบบนี้กลัวว่าต่อไปพวกเขาจะอ้างเรื่องศีลธรรมกับเธอ” ฟู่อวิ๋นเซินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ความสัมพันธ์ทางกฎหมายสิ้นสุดลง เธอยังมีหน่วยอีจื้อหนุนหลัง พวกเขาไม่กล้าทำอะไรหรอก”
พูดถึงหน่วยอีจื้อก็เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย
อันที่จริงไม่ใช่เพราะเนี่ยอี้ออกคำสั่ง หน่วยอีจื้อถึงลงมือปฏิบัติการ
แต่เป็นเพราะคราวก่อนที่เนี่ยอี้มาฮู่เฉิงก็มีหัวหน้าทีมของหน่วยอีจื้อตามมาด้วยหลายคน
หัวหน้าทีมเหล่านี้หลังจากได้ฟังเนี่ยเฉาเล่าว่า อิ๋งจื่อจินสามารถเอาชนะพวกเขาได้โดยไม่ต้องใช้แม้แต่มือเดียว พวกเขาเลยวิ่งโร่ไปขอท้าเธอ
สุดท้าย…
พวกเขาเจอเรื่องสะเทือนใจหนักสุดนับตั้งแต่เข้าหน่วยอีจื้อมา หนักยิ่งกว่าตอนเนี่ยอี้
เนื่องจากหน่วยอีจื้อยังต้องรักษาความปลอดภัยของชายแดน ความสามารถของสมาชิกจึงสำคัญมาก
คนที่เป็นหัวหน้าทีมได้ วิชาป้องกันตัวย่อมไม่ด้อย
ดังนั้นสุดท้ายอิ๋งจื่อจินจึงมีชื่ออยู่ในหน่วยอีจื้อ
ไม่ต้องทำหน้าที่อะไร มีตำแหน่งลอยๆ
อิ๋งจื่อจินดื่มโค้ก “วุ่นวายจริง”
เวรกรรมใกล้หมดกันเต็มทีแล้ว รอเวรกรรมสุดท้ายจบลง ตระกูลอิ๋งก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธออย่างสิ้นเชิง
นี่ไม่ใช่ในทางกฎหมาย แต่เป็นในทางโชคชะตา
ฟู่อวิ๋นเซินพยักหน้า “ต้องการให้ตระกูลอิ๋ง…”
“ไม่จำเป็น” อิ๋งจื่อจินรู้ว่าเขาจะพูดอะไร “หลุดพ้นก็ดี”
หากยังจะไปเกี่ยวข้องกับตระกูลอิ๋งอีก เธอกับพวกเขาก็จะมีเวรกรรมต่อกันอีก
พอถึงตอนนั้นตัดยังไงก็ตัดไม่ขาดสักที
สิ่งที่เรียกว่าเวรกรรมจะว่าเลื่อนลอยก็เลื่อนลอย แต่มันกลับมีอยู่จริง
คนอื่นมองไม่เห็น แต่เธอมองเห็น
“ได้” ฟู่อวิ๋นเซินเอามือลูบหัวเธอ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไว้เป็นหน้าที่พี่ชาย”
…
เวยปั๋วที่แฮกเกอร์โพสต์อยู่ในอันดับหนึ่งประเด็นร้อนอยู่ตลอด ความนิยมก็สูงขึ้นเรื่อยๆ
ในเวลาเดียวกันหุ้นของอิ๋งซื่อกรุ๊ปก็เริ่มดิ่งเป็นช่วงๆ ดิ่งไปจนหยุดในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน
หลังจากที่เรื่องคลังเลือดมีชีวิตถูกแฉออกมาอีกครั้ง ผู้คนก็เริ่มต่อต้านอิ๋งซื่อกรุ๊ป
ผู้บริหารของทั้งบริษัทต่างวุ่นเป็นพัลวัน แต่กลับติดต่อเจ้านายไม่ได้
เนื่องจากคุณนายผู้เฒ่าอิ๋งหมดสติอยู่ อิ๋งเจิ้นถิงกับจงมั่นหวาจึงยังไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่น
กว่าพวกเขาจะรู้เรื่องนี้ก็เป็นเวลาบ่ายสี่โมงแล้ว
เวลานี้อิ๋งซื่อกรุ๊ปเสียหายไปหลายร้อยล้าน และยังมีพนักงานชำนาญการที่เป็นหัวใจสำคัญจำนวนไม่น้อยได้ขอยื่นใบลาออก บอกว่าไม่กล้าอยู่บริษัทนี้อีกต่อไปแล้ว เกิดวันไหนอิ๋งลู่เวยมาที่บริษัทไม่ถูกชะตาใครขึ้นมาได้จ้างคนมาฆ่าทิ้ง
อิ๋งเจิ้นถิงไม่เคยเล่นเวยปั๋ว เขาโหลดมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
หลังจากเปิดดูเขาก็ลุกขึ้นทันที “เมื่อเช้าที่หน่วยอีจื้อบอกว่าลู่เวยเจตนาฆ่าคนก็คืออุบัติเหตุรถชนเมื่อวานเย็นเหรอ”
อิ๋งลู่เวยบ้าไปแล้ว กล้าแตะต้องแม้กระทั่งคุณชายเจ็ดตระกูลฟู่เลยเหรอ
ตระกูลอิ๋งอยากปกป้องก็คงช่วยไม่ได้แล้ว
แต่เห็นๆ อยู่ว่าเนื้อความที่อยู่ในภาพเขียนว่าอิ๋งลู่เวยจ้างคนไปฆ่าอิ๋งจื่อจิน แต่ทำไมคนที่บาดเจ็บกลับเป็นฟู่อวิ๋นเซิน
อิ๋งเจิ้นถิงไม่อยู่ฮู่เฉิงมาตลอด ไม่รู้เรื่องพวกนี้
จงมั่นหวารู้สึกหนาวไปทั้งตัว แต่ก็แอบโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก “พวกเขาไม่ได้บอกว่าคนที่ถูกทิ้งคือจื่อจิน”
ไม่รู้ที่มาที่ไปของคนกลุ่มนั้น แต่ก็รักษาคำพูด
แต่เรื่องที่พวกเขาพูดว่าต่อไปเธอกับอิ๋งจื่อจินไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก เรื่องนี้จงมั่นหวาแสยะยิ้ม
เธอเป็นแม่แท้ๆ ของอิ๋งจื่อจิน ทำไมจะไม่เกี่ยวข้องกัน
น่าตลกจริงๆ
“งั้นก็ยังมีทางให้แก้ไข” อิ๋งเจิ้นถิงขมวดคิ้วแน่น “หน่วยอีจื้อรักษาคำพูด พวกเขาไม่มีทางมายุ่งเรื่องในครอบครัวคนอื่น”
หน่วยอีจื้อมาได้ยังไง นี่ก็คือคำตอบแล้ว
ในบรรดาสี่ตระกูลเศรษฐีของฮู่เฉิง ตระกูลเดียวที่สนิทสนมกับตระกูลทางตี้ตูก็มีแค่ตระกูลฟู่
เกิดเรื่องขึ้นกับฟู่อวิ๋นเซิน ผู้เฒ่าฟู่ย่อมไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ การที่เชิญหน่วยอีจื้อมาก็สมเหตุสมผล
จงมั่นหวากระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก “เจิ้นถิง…งั้นตอนนี้พวกเราควรจะทำไงดีคะ”
“บอกให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัทเตรียมการไว้” อิ๋งเจิ้นถิงออกคำสั่งอย่างใจเย็น
“สร้างภาพลักษณ์ว่าตระกูลอิ๋งเป็นผู้ถูกกระทำ ยังไงซะคนที่ถูกขโมยลูกสาวไปก็คือคุณกับผม”
จงมั่นหวาพยักหน้า
อิ๋งเจิ้นถิงขมวดคิ้ว “เสี่ยวเซวียนจะกลับมาเมื่อไร”
เขาจำได้ว่าโครงการแลกเปลี่ยนที่ให้ไปยุโรปของชิงจื้อมีระยะเวลาแค่หนึ่งปี
พอพูดถึงลูกสาวที่มีหน้ามีตา ในใจของจงมั่นหวาถึงเริ่มผ่อนคลาย เธอยิ้ม
“ใกล้กลับมาแล้วค่ะ สิ้นเดือนพฤษภาพวกเขาก็ปิดเทอม แต่เสี่ยวเซวียนบอกฉันว่าจะเข้าร่วมโครงการวิจัยวิทยาศาสตร์ เลยจะกลับมาช้าหน่อย”
“โครงการวิจัยวิทยาศาสตร์เหรอ” อิ๋งเจิ้นถิงรู้สึกเหนือความคาดหมาย “งั้นก็มีอนาคตจริงๆ”
นิ่งไปเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “คุณให้เสี่ยวเซวียนเตรียมเวยปั๋วไว้”
…
อิ๋งลู่เวยไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในเน็ต เธอถูกพาตัวไปไว้ในห้องลับที่ปิดมิดชิด
สองวันสองคืนไม่มีใครมา
เธอไม่ได้กินข้าว ไม่ได้ดื่มน้ำ หรือแม้กระทั่งไม่ได้เห็นแสงแม้แต่น้อย
อิ๋งลู่เวยหวาดกลัวขั้นสุด
ตอนแรกเธอยังทุบประตูแหกปากตะโกน ตอนนี้แม้แต่แรงจะยืนยังไม่มี สมองเบลอตาพร่า
เนื่องจากเธออายุน้อยสุดในรุ่น จึงถูกพวกผู้ใหญ่ของสี่ตระกูลเศรษฐีเอาใจตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เคยต้องลำบากแบบนี้มาก่อน และก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องเธอ กลัวว่าโรคฮีโมฟีเลียจะกำเริบ ในขณะที่สภาพจิตใจของอิ๋งลู่เวยกำลังจะรับไม่ไหวแล้วนั้น ในที่สุดประตูก็เปิดออก ยังคงเป็นสองคนที่สวมชุดยูนิฟอร์มก่อนหน้านี้ พวกเขาลากตัวเธอออกไป ให้เธอกินโจ๊กก่อนหนึ่งชาม หลังจากที่ฟื้นเรี่ยวแรงกลับมาได้บ้างถึงพาเธอไปห้องสอบสวน
มือของเธอถูกใส่กุญแจมือไว้ ใบหน้าสกปรกมอมแมม เธอเงยหน้าอย่างยากลำบาก ตอนที่เห็นคนนั่งฝั่งตรงข้าม สีหน้าก็แสดงอารมณ์หวาดกลัวจากนั้นก็ส่งเสียงกรีดร้อง
อิ๋งจื่อจินนวดใบหู สีหน้าเรียบเฉย
หนวกหูจริง
หัวหน้าทีมที่อยู่ด้านข้างย่อมเห็นท่าทางของเธอ
หัวหน้าทีมก้าวขึ้นหน้า ใส่ปลอกคอที่คอของอิ๋งลู่เวย พูดอย่างเย็นชา “นักโทษห้ามร้องโวยวายเสียงดัง”
“แกคิดจะทำอะไร” อิ๋งลู่เวยกรีดร้องอยู่ดีๆ ทันใดนั้นก็สงบลง เธอแสยะยิ้ม “ฉันเป็นโรคฮีโมฟีเลีย พวกแกกล้าแตะต้องฉันเหรอ”
กล้าเหรอ!