ถ้าเกิดเรื่องกับเธอขึ้นจริงๆ ตระกูลอิ๋งจะไม่เอาเรื่องได้เหรอ
อิ๋งลู่เวยไม่ทันสังเกตเห็นว่า หลังจากที่ฟังเธอขู่จบ หัวหน้าก็มองเธอด้วยสายตาที่เหมือนมองคนสติไม่ดี
สายตาของเธอเบนกลับมาที่อิ๋งจื่อจินอีกครั้ง แสยะยิ้มต่อ “แกมันก็ดวงแข็งนะ แบบนี้แล้วยังรอดมาได้ ฉันล่ะเสียใจจริงๆ ตอนนั้นควรเอาแกไปโยนทิ้งให้จมน้ำตายในแม่น้ำเสียก็ดีหรอก!”
แบบนั้นถึงจะเรียกว่าตัดรากถอนโคน
“คุณจื่อจินครับ ไม่อย่างนั้นก็อย่าเสียเวลาพูดเลยครับ” หัวหน้าชักโมโห “ให้คนพาเธอไปขังไว้ในคุกนักโทษอุกฉกรรจ์ดีกว่า”
ลักพาตัวเด็กทารกไปขาย เจตนาฆ่าคน โทษตายก็เพียงพอแล้ว
“คุกนักโทษอุกฉกรรจ์เหรอ แกคิดว่าคุกนั้นมันเข้าง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ” อิ๋งลู่เวยแสยะยิ้ม “อิ๋งจื่อจิน อย่าคิดว่าให้คนจับฉันมาที่นี่ได้แล้วตัวเองจะเก่งเสียเหลือเกินนะ”
“ถ้าแกเก่งจริงฉันยังจะเอาเลือดจากแกได้เหรอ”
หัวหน้าหยิบหน้ากากเหล็กมาใส่ให้อิ๋งลู่เวย
“อื้อๆ!” อิ๋งลู่เวยเบิกตาโพลง สีหน้าซีดเผือด
“ไม่รีบ” ฟู่อวิ๋นเซินยกมือขึ้น ท่าทางเหนื่อยหน่าย “มีบางอย่างที่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอากลับมา”
เขายิ้ม สายตาเย็นชา “หนึ่งปีที่ผ่านมานี้เธอเอาเลือดของเยาเยาไปเท่าไร ต้องคืนกลับมาสิบเท่า”
อิ๋งลู่เวยจ้องเขาเขม็ง ในดวงตาเต็มไปด้วยสีเลือด
“แต่เยาเยาบอกว่า พอเลือดไปอยู่ในร่างกายเธอก็สกปรกแล้ว ไม่อยากได้” ฟู่อวิ๋นเซินสีหน้าเรียบเฉย “ดังนั้นจะให้เธอดื่มมันกลับเข้าไปใหม่”
พูดจบเขาก็หันหน้าไป “ยังจะมองอีกเหรอ”
“ไม่มองแล้ว” อิ๋งจื่อจินลุกขึ้นสวมหมวกเบสบอล “เป็นเสนียดตา”
“วางใจได้ เรื่องนี้ไว้เป็นหน้าที่พวกเรา” หัวหน้าถูมือ “พวกเราเคยจัดการนักโทษระดับสากลมาแล้ว เรื่องแค่นี้เล็กๆ”
อิ๋งลู่เวยเกิดความกลัวขึ้นมาอีกระลอก เธออยากตะโกนเรียกให้อิ๋งจื่อจินหยุด แต่เสียงกลับอุดอู้อยู่ในหน้ากากเหล็ก พูดออกมาไม่ได้สักคำ
คนที่สวมชุดยูนิฟอร์มสองคนก่อนหน้านี้เข้ามาอีกครั้ง ลากตัวเธอไปยังห้องข้างๆ
จากนั้นอิ๋งลู่เวยก็รู้สึกเจ็บที่ข้อมือ มีเลือดไหลออกมาด้วยความเร็วที่เร็วมาก
อิ๋งลู่เวยรู้สึกไม่เชื่อสายตา
เธอเป็นโรคฮีโมฟีเลีย หากเป็นแผลขึ้นมาก็จะหายยาก คนพวกนี้ไม่รู้เหรอ
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นต่อมาทำให้เธอสติแตกยิ่งกว่าเดิม
หลังจากที่เลือดไหลออกมาเต็มแก้วก็มีคนจับเธอกรอกยา
ก็ไม่รู้ว่ายาอะไร สามารถทำให้แผลของเธอหายได้ในสิบกว่าวินาที
“ดื่มเข้าไป”
มีแรงมหาศาลจับอิ๋งลู่เวยเงยหน้า อิ๋งลู่เวยถูกบังคับให้ดื่มเลือดตัวเองทีละอึก
พอดื่มหมดก็ไม่ปล่อยให้เธอได้พูด เอาหน้ากากเหล็กใส่กลับไปอีกครั้ง
ไม่กี่วินาทีต่อมาแขนขวาของเธอก็รู้สึกเจ็บอีกครั้ง
สูบเลือด
ดื่มเลือด
เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา
อิ๋งลู่เวยสติแตกอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ตอนนี้เธอเชื่อแล้วว่าฟู่อวิ๋นเซินพูดจริง ถึงขั้นที่ว่ายังโหดเหี้ยมได้ยิ่งกว่านี้อีก
ส่วนคนพวกนี้ที่ลงมือกับเธอก็เห็นได้ชัดว่าเข้าข้างอิ๋งจื่อจิน
อิ๋งลู่เวยรับความจริงเรื่องนี้ไม่ได้
เห็นๆ อยู่ว่าเธอสืบเรื่องของอิ๋งจื่อจินมาก่อนแล้ว เป็นแค่เด็กบ้านนอกไร้ที่พึ่ง
แล้วทำไมข้างกายถึงมีคนโผล่มาเยอะขนาดนี้
ตอนที่ถูกบังคับดื่มเลือดตัวเองเป็นครั้งที่สี่ อิ๋งลู่เวยก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอกรีดร้องราวกับคนบ้า “ฉันต้องการเจอจงมั่นหวา ฉันต้องการเจอจงมั่นหวา!”
“พี่สะใภ้ใหญ่ของฉัน นายหญิงตระกูลอิ๋ง ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเธอ พาเธอมาเจอฉัน!”
ทว่าราวกับคนของหน่วยอีจื้อไม่ได้ยิน ยังคงไม่หยุดมือ
หัวหน้าขมวดคิ้วเดินออกไปโทรศัพท์ “ฮัลโหล คุณจื่อจินครับ เธอบอกว่าต้องการเจอจงมั่นหวา…ครับ เข้าใจแล้วครับ”
…
ผ่านไปอีกสองวัน ร่างกายและจิตใจของอิ๋งลู่เวยถูกทรมานอย่างรุนแรง ในที่สุดเธอก็ถูกปล่อย
แน่นอนว่าไม่มีทางปล่อยตัวเธอออกไป ก็แค่ปล่อยให้มาพบจงมั่นหวาโดยมีประตูเหล็กกั้น
เดิมทีจงมั่นหวากำลังวุ่นอยู่กับการกู้หน้าให้อิ๋งซื่อกรุ๊ป จนเกือบลืมอิ๋งลู่เวยไปแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะอิ๋งเจิ้นถิงบอกเธอว่า พวกคนที่มาบ้านตระกูลอิ๋งคราวก่อนคือหน่วยอีจื้อ เป็นหน่วยงานที่แม้แต่ตระกูลเศรษฐีของตี้ตูยังไม่กล้ามีปัญหาด้วย เธอก็คงไม่มีทางมาในที่สกปรกอับชื้นแบบนี้
แค่อยู่นานเกินหนึ่งวินาทีเธอก็รับไม่ไหวแล้ว
สีหน้าของจงมั่นหวาเย็นชา สายตารังเกียจ “ได้ยินว่าเธอต้องการพบฉัน มีธุระอะไร”
“หึๆๆ…” พอเห็นสีหน้าแบบนี้ อิ๋งลู่เวยก็รู้แล้วว่าตระกูลอิ๋งทอดทิ้งเธอแล้ว
ก็จริง
ในสายตาของพี่ใหญ่มีแค่ผลประโยชน์
ตระกูลอิ๋งของเราเลือดเย็นมาตลอด นึกถึงแต่ตัวเอง
สีหน้าของอิ๋งลู่เวยซีดเซียว แต่กลับยิ้ม “จงมั่นหวา รู้หรือเปล่าว่าทำไมฉันถึงเอาอิ๋งจื่อจินไปโยนทิ้ง”
จงมั่นหวาอึ้งไป จากนั้นก็หันไปมองรอบๆ
หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใคร เธอก็ขมวดคิ้วพลางพูดตำหนิ “พูดเพ้อเจ้ออะไร คนที่เธอเอาไปโยนทิ้งคือเสี่ยวเซวียนชัดๆ”
“พี่สะใภ้ใหญ่ช่างเก่งจริงๆ ถ้าพูดเรื่องความเลือดเย็น ฉันยังสู้พี่สะใภ้ไม่ได้เลย” อิ๋งลู่เวยยิ้มทั้งน้ำตา “เอาลูกสาวแท้ๆ เป็นลูกเลี้ยง ทั้งยังส่งมาเป็นคลังเลือดให้ฉัน มาถึงขนาดนี้แล้วก็ยังสนใจแต่อิ๋งเย่ว์เซวียน”
“เธออยากพูดอะไรกันแน่” จงมั่นหวาสีหน้าบึ้งตึง “ถ้าเธอแค่อยากพูดอะไรไร้สาระแบบนี้กับฉัน พี่ชายของเธอก็อยากช่วยเธอหรอกนะ แต่คนที่จับเธอมาขังคือหน่วยอีจื้อ ผู้เฒ่าฟู่เชิญมาด้วยตัวเอง พวกเราจะไปทำอะไรได้”
อิ๋งลู่เวยเช็ดน้ำตา “ถูกต้อง เป็นหน่วยอีจื้อ พวกพี่ย่อมจนปัญญา”
ความทุกข์ทรมานในช่วงหลายวันมานี้ทำให้เธอรู้ว่าตัวเองจบสิ้นแน่แล้ว
แต่เธอไม่ยอม เธอต้องการดึงคนทั้งตระกูลอิ๋งมาแปดเปื้อนด้วย
เธอตั้งหน้าตั้งตารอคอยวันที่จงมั่นหวารู้ว่าหน่วยอีจื้อมาเพราะอิ๋งจื่อจินต่างหาก หัวหน้าเล็กของพวกเขาเคารพนบนอบอิ๋งจื่อจินมาก จงมั่นหวาจะสติแตกขนาดไหน
แต่เธอจะไม่บอกจงมั่นหวาตอนนี้ เธอต้องการให้พวกเขาเสียใจ
จงมั่นหวาหมดความสนใจในคำพูดของอิ๋งลู่เวย ลุกขึ้นจะเดินออกไป
“พวกพี่รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องเอาอิ๋งจื่อจินไปทิ้ง” อิ๋งลู่เวยแสยะยิ้ม “เพราะพอเด็กคนนั้นเกิดมา ความสนใจของทุกคนรวมถึงคุณแม่ก็ไปอยู่ที่เด็กคนนั้นหมด”
“ตอนอิ๋งจื่อจินอายุครบหนึ่งเดือนเป็นวันเกิดของฉันพอดี แต่เพราะอิ๋งจื่อจินไม่สบาย ทุกคนก็เลยไปโรงพยาบาลกันหมด ไม่มีใครนึกถึงฉัน”
“พวกพี่เคยนึกถึงความรู้สึกของฉันบ้างไหม”
จงมั่นหวาดวงตาแดงก่ำ “เธอมันเดียรัจฉาน!”
“พี่สะใภ้ อย่าว่าตัวเองแบบนั้นสิ” อิ๋งลู่เวยยิ้ม “พี่ทำกับลูกสาวแท้ๆ ของตัวเองแบบนี้ พี่ยังสู้เดียรัจฉานไม่ได้เลยนะ”
จงมั่นหวาโกรธตัวสั่น “เหลวไหล นั่นเป็นเพราะเธอแสร้งทำตัวน่าสงสารมาหลอกพวกเรา”
จงมั่นหวากระชับเสื้อคลุมแน่น ราวกับทำแบบนี้จะช่วยปกปิดความอับอาย ไม่ฟังอิ๋งลู่เวยพูดอีก เดินออกไปในสภาพที่ย่ำแย่
สายตาของอิ๋งลู่เวยเหม่อลอย มองเพดาน สีหน้าเรียบเฉย
เวลาผ่านไปสิบกว่าปี แต่เธอยังจำคำพูดที่ผู้หญิงคนนั้นมักพูดกรอกใส่หูเธอเสมอ
“ลู่เวย น่าสงสารเธอจริงๆ เลยนะ เดิมทีเธอเป็นคนที่ถูกเอาใจมากที่สุด แต่พอพี่สะใภ้คลอดลูกสาว ขนาดคุณนายผู้เฒ่าก็ยังไม่เหลียวแลเธอ”
“หลานสาวเธออายุยังไม่ถึงขวบ นี่ถ้าโตขึ้น ต่อไปเธอจะเป็นยังไงนะ”
“เฮ้อ ถ้าไม่มีหลานสาว คนที่พี่ชายพี่สะใภ้รวมถึงแม่เธอรักที่สุดก็คงมีแค่เธอคนเดียว น่าสงสาร…”
จากนั้นเธอก็เกิดความคิดชั่วร้าย หาโอกาสเอาเด็กทารกไปทิ้ง
ผู้หญิงคนนั้น…
เห็นทีชาตินี้เธอไม่มีทางได้เจอแล้ว
อิ๋งลู่เวยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ดูแย่เหลือเกิน
สักพักเธอก็ถูกพาออกไปอีกครั้ง
ครั้งนี้เธอถูกพาไปขังคุกนักโทษอุกฉกรรจ์
…
หลังจากพักอยู่สองสามวันอิ๋งจื่อจินก็กลับไปเรียน
พอเธอเข้าห้องสิบเก้าก็มีกลีบดอกไม้จำนวนมากโปรยใส่เธอ
“ยินดีต้อนรับที่พ่ออิ๋งหายดี!”
“อื้อๆๆ พ่ออิ๋ง พวกเราคิดถึงจะตายอยู่แล้ว”
อิ๋งจื่อจินค่อยๆ หันไปก็เห็นลูกน้องสองคนถือตะกร้าใส่กลีบดอกไม้ กำลังโปรยอย่างขะมักเขม้น
“อะแฮ่ม” เจียงหรานกระแอมพลางเดินเข้ามา “พ่ออิ๋งเป็นไงบ้าง”
นี่เป็นคำพูดที่เขาอุตส่าห์เข้าเน็ตไปค้นหาคำพูดต้อนรับกลับมาที่เขาถูกใจที่สุดเลยเชียวนะ
“เชย”
“…”
ซิวอวี่ออกแรงตบบ่าเขา “ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้วว่า ทั้งๆ ที่นายก็รูปหล่อพ่อรวย แต่ทำไมไม่มีแฟน อีคิวแบบนี้ จึ๊ๆ”
“ออกไปเลย!” เจียงหรานทั้งอายทั้งโมโห “เป็นเพราะฉันไม่มีหัวทางนี้ต่างหาก”
ซิวอวี่ยักไหล่ “ต่อให้มีนายก็จีบไม่ติดหรอก”
เจียงหรานเก็บปากเก็บคำ เดินหน้าบึ้งกลับไปนั่งที่ เอาเสื้อนักเรียนคลุมหัวแล้วเริ่มนอน
“เด็กหนุ่มติงต๊อง ศักดิ์ศรีค้ำคอ” ซิวอวี่จับอิ๋งจื่อจิน “พ่ออิ๋ง ฉันเตรียมของบำรุงไว้ให้เธอด้วยนะ”
หลังจากนั่งลงเธอก็พูดขึ้น “ฉันได้ยินข่าวแฉบอกว่าอิ๋งลู่เวยเข้าคุกไปแล้ว ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า”
“อืม” สีหน้าของอิ๋งจื่อจินดูอ่อนเพลีย “เข้าคุกไปแล้ว”
“ทำชั่วได้ชั่ว สมน้ำหน้า” ซิวอวี่แสยะยิ้ม “ตระกูลอิ๋งก็เด็ดขาดจริงๆ ทอดทิ้งยัยนั่นไปแล้ว”
ช่วงหลายวันมานี้อิ๋งซื่อกรุ๊ปก็มีแถลงการณ์ แสดงท่าทีว่าตระกูลอิ๋งตัดขาดกับอิ๋งลู่เวยอย่างรวดเร็ว ทำให้ตระกูลอิ๋งดูเป็นผู้ถูกกระทำ
จากนั้นก็ใช้วิธีกู้หน้าต่างๆ นานา สุดท้ายหุ้นก็ขึ้นกลับมา
อิ๋งจื่อจินไม่สนใจ
ทันใดนั้นลูกน้องที่อยู่ข้างๆ ก็ร้องขึ้นอย่างตกใจ
ซิวอวี่ถีบเขาไปหนึ่งที “จะร้องเสียงดังทำไม”
“พ่ออิ๋ง พี่สาวพ่อ…ไม่สิ!” ลูกน้องเกาหัว กำลังคิดว่าต้องเรียกแบบไหนถึงจะเหมาะสม “ก็คือคุณหนูใหญ่ตระกูลอิ๋ง ลูกพี่ลูกน้องแท้ๆ ของจงจือหว่านก็โพสต์เวยปั๋วด้วย”
“อิ๋งเย่ว์เซวียนน่ะเหรอ” ซิวอวี่ขมวดคิ้ว
พวกเขาย่อมรู้จักอิ๋งเย่ว์เซวียน อยู่คลาสเด็กอัจฉริยะ เป็นนางฟ้าชิงจื้อเหมือนจงจือหว่าน
เพียงแต่ไม่เจอกันหนึ่งปีแล้ว
เธอชะโงกหน้าเข้าไปดูก็เห็นข้อความ
แอทอิ๋งเย่ว์เซวียน : [สวัสดีค่ะทุกคน เป็นครั้งแรกที่ได้พบกับทุกคนในเวยปั๋ว ฉันขอแนะนำตัวก่อนนะคะ ฉันเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลอิ๋ง อิ๋งเย่ว์เซวียน ซึ่งก็คือเหยื่อที่เคยถูกอาตัวเองเอาไปทิ้ง]