เสียงที่อยู่ในสายไม่คุ้นเคย
เป็นเสียงของผู้ชาย
น้ำเสียงสุภาพ เสียงทุ้มต่ำ
“สวัสดีน้องจื่อจิน ขอโทษนะที่โทรมารบกวนเวลานี้” เขาพูด “นี่พี่อิ๋งเทียนลี่ว์นะ”
อิ๋งจื่อจินเอียงหน้า พูดเสียงแข็ง “ฉันไม่ใช่น้องสาวของคุณ”
คำพูดเย็นชาสุดขั้ว
ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ และไม่มีความอบอุ่นให้
ชวนให้ยากที่จะจินตนาการได้ว่าเคยผ่านเหตุการณ์เลวร้ายอะไรมา ถึงได้กลายเป็นแบบนี้
อิ๋งเทียนลี่ว์ที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยรู้จักการทะนุถนอมสิ่งใดทั้งสิ้นรู้สึกใจหาย
ถึงแม้เขาจะเคยเจออิ๋งจื่อจินแค่ครั้งเดียว แต่ตอนนั้นเธอยังยิ้มให้เขา
รอยยิ้มไม่กว้าง แต่จริงใจ
อิ๋งเทียนลี่ว์เงียบไปเล็กน้อย “ขอโทษที ไม่ได้ตั้งใจจะเรียกเธอแบบนี้”
อ้ำอึ้งอยู่ชั่วครู่แล้วพูดต่อ “ฉันรู้เรื่องที่คุณแม่ทำกับเธอทั้งหมดแล้วนะ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณแม่จะทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้”
“สร้างความเสียหายไปแล้ว ฉันรู้ว่าพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ ฉันเองก็จะไม่ขอให้เธอยกโทษ เพียงแต่หวังว่าจะได้ชดเชยให้เธอบ้าง”
ผู้เฒ่าจงที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหารเหลือบมองอิ๋งเทียนลี่ว์
หลังจากแน่ใจแล้วว่าอิ๋งเทียนลี่ว์ไม่ใช่พวกเดียวกับอิ๋งเจิ้นถิงและจงมั่นหวาถึงได้ถอดแว่นสายตายาวออก หยิบไอแพดขึ้นมาท่องเว็บ
ขณะเดียวกันผู้เฒ่าจงก็กำลังลังเลว่าจะบอกความจริงให้อิ๋งเทียนลี่ว์รู้ดีหรือไม่
อิ๋งจื่อจินบอกเขาว่าเธอออกจากตระกูลอิ๋งมาแล้ว ไม่อยากมีความเกี่ยวข้องกับใครหน้าไหนในตระกูลอิ๋งอีก
เขาต้องเคารพการตัดสินใจของเธอ
ขณะที่อิ๋งเทียนลี่ว์กำลังจะเอ่ยปากก็ได้ยินเสียงเด็กสาวพูดอย่างใจเย็น “ไม่ต้องชดเชย ฉันสบายดี ขอแค่พวกคุณอย่ามายุ่งกับฉัน”
“เรื่องเพชรสีชมพูคุณแม่บุ่มบ่ามเกินไปจริงๆ” อิ๋งเทียนลี่ว์นวดหว่างคิ้ว ถอนหายใจ “ฉันก็ไม่ได้จะมาขอร้องอะไรแทนคุณแม่ คุณแม่ทำอะไรไปตั้งมากขนาดนั้น สมควรถูกขังให้สำนึกสักสองสามวันจริงๆ”
พอเขาพูดจบก็ถูกตัดสาย
อิ๋งเทียนลี่ว์มองหน้าจอสนทนาแล้วยิ้มเศร้า
หากเขาไม่ได้ใช้โทรศัพท์มือถือของผู้เฒ่าจง สงสัยแม้แต่สิทธิ์จะคุยกับอิ๋งจื่อจินก็ไม่มี
เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าในหนึ่งปีมานี้จงมั่นหวาจะบังคับอิ๋งจื่อจินให้บริจาคเลือดให้อิ๋งลู่เวยถึงสิบสามครั้ง โดยที่ไม่สนใจว่าเธอจะยินยอมหรือไม่
อิ๋งเทียนลี่ว์นวดขมับ คืนโทรศัพท์ให้ผู้เฒ่าจง “ขอบคุณครับคุณตา”
“เอาล่ะ” ผู้เฒ่าจงพยักหน้า “นั่งลงกินข้าวเถอะ”
อิ๋งเทียนลี่ว์นั่งลง มองอิ๋งเย่ว์เซวียนที่ดูเหมือนกำลังเหม่อลอย จึงเรียก “วานวาน คิดอะไรอยู่”
“อ๋อ ค่ะ” อิ๋งเย่ว์เซวียนค่อยๆ ได้สติกลับมาแล้วนั่งลง
คนรับใช้เอาอาหารขึ้นโต๊ะเสร็จเรียบร้อย มีแค่สามคน กินกันไม่ได้เยอะ
อิ๋งเย่ว์เซวียนกินอย่างเหม่อลอย เอาแต่กินข้าวเปล่า ไม่แตะกับข้าว
ใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึกว่าผู้เฒ่าจงไม่ได้ทำตัวเป็นกันเองกับเธอแบบเมื่อก่อนแล้ว
เธอแทบจะรู้ได้ทันทีว่า ผู้เฒ่าจงรู้ว่าเธอไม่ใช่หลานสาวแท้ๆ ของเขาแล้ว
ถ้าไม่ใช่แบบนี้ ไม่มีทางที่ผู้เฒ่าจงจะมีท่าทีแบบนี้กับเธอ
แต่ทั้งๆ ที่ตอนนั้นจงมั่นหวากับอิ๋งเจิ้นถิงก็บอกแล้วว่าจะปิดบังคนอื่น
แล้วผู้เฒ่าจงรู้ได้อย่างไร
“เป็นอะไรไป” ผู้เฒ่าจงวางตะเกียบลง “ไม่ถูกปากเหรอ”
อิ๋งเย่ว์เซวียนส่ายหน้า “เปล่าค่ะ”
“สงสัยเพราะเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกก็เลยไม่ค่อยชินน่ะครับ” อิ๋งเทียนลี่ว์ไม่สังเกตเห็นความผิดปกติของอิ๋งเย่ว์เซวียน เขาครุ่นคิด “คุณตาครับ จื่อจินยังอยู่ที่ชิงจื้อไหมครับ”
“แกคิดจะทำอะไร” ผู้เฒ่าจงทำเสียงฮึดฮัด “ฉันขอบอกแกไว้ก่อนเลยนะ จื่อจินไม่อยากเจอพวกแก อย่าคิดจะไปรบกวนเธอ”
“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นครับคุณตา” อิ๋งเทียนลี่ว์ยิ้มจนปัญญา “คุณแม่ทำเกินไปแล้ว ผมต้องชดเชยให้เธอบ้าง”
“ไม่จำเป็น” ผู้เฒ่าจงส่ายมือ “จื่อจินพูดกับตาแล้วว่า แค่ไม่เจอพวกแกก็สบายหูสบายตามากแล้ว”
อิ๋งเย่ว์เซวียนไม่พูดอะไร ยังคงก้มหน้าเขี่ยข้าว รู้สึกละอายต่อความคิดของตัวเองเมื่อครู่
อิ๋งจื่อจินต่างหากที่เป็นคุณหนูตัวจริงของตระกูลอิ๋ง เธอเป็นแค่คนที่มาแทนที่
เธอมีความคิดแบบนี้ได้อย่างไร ไม่สมควรเลย
อิ๋งเย่ว์เซวียนเงยหน้า เรียกด้วยความลังเล “พี่คะ”
อิ๋งเทียนลี่ว์กำลังคิดหาวิธีแก้ไข พอได้ยินก็หันไป “มีอะไรเหรอ”
“อันที่จริงฉัน จริงๆ แล้วฉัน…” อิ๋งเย่ว์เซวียนเม้มริมฝีปาก “เปล่าค่ะ ก็แค่รู้สึกปวดท้อง ฉันไปห้องน้ำก่อนนะคะ”
เธอกลืนคำว่า ‘ฉันไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ ของพี่’ กลับไป
เธอกลัวเหลือเกินว่าหลังจากที่อิ๋งเทียนลี่ว์รู้แล้วจะไม่ดีกับเธอแบบนี้อีก
…
อีกด้านหนึ่ง
ฟู่อวิ๋นเซินเลิกคิ้ว พูดเสียงเนือย “ พี่ชายเธอเหรอ”
อิ๋งจื่อจินก็เลียนแบบเขาด้วยการพิงรั้วระเบียง มองท้องฟ้า ท่าทางดูเหมือนไม่ใส่ใจ
แสงแดดตกกระทบผิวพรรณที่ขาวผ่องของเธอ เปล่งประกายเป็นสีทองอ่อนๆ
“อืม” เธอยื่นไพ่มาตรงหน้าเขา “งั้นก็หยิบเถอะพี่ชาย”
มือของฟู่อวิ๋นเซินชะงัก
เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงของเธอราบเรียบ ยังคงเย็นชาเช่นเคย ราวกับแค่พูดลอยๆ
ทว่ากลับคล้ายขนนกที่ปลิวมาสัมผัสหัวใจชวนให้หวั่นไหว
คล้ายมีสายลมอ่อนๆ พัดผ่านใบหู คลื่นลมปั่นป่วนเล็กน้อย ให้ความเคลิบเคลิ้ม
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเรียกเขาแบบนี้อย่างเป็นทางการ
อานุภาพสูงมาก
ฟู่อวิ๋นเซินกำมือวางตรงริมฝีปาก กระแอมสองที “เยาเยา เกินไปแล้ว”
“เกินไปเหรอ” อิ๋งจื่อจินหันหน้ามา เงียบไปสองวินาที เธอเข้าใจแล้ว “คุณไม่ไหวแล้วสินะ”
“?”
“แค่เรียกทีเดียวคุณก็ไม่ไหวแล้ว ต่อไปยิ่งไม่ไหวเข้าไปใหญ่”
แววตาของฟู่อวิ๋นเซินค่อยๆ ขรึมลง ดวงตาลุ่มลึกดุจมหาสมุทร “ต่อไปเหรอ”
“อืม ดูอารมณ์ก่อน ต่อไปอาจจะเรียกอีก คุณจะได้ชิน” อิ๋งจื่อจินไม่พูดอะไรอีก ยังคงเป็นสองคำนั้น “หยิบไพ่”
“…”
ฟู่อวิ๋นเซินจับศีรษะ พบว่าความคิดของเขากับเด็กน้อยไปกันคนละทาง
เขามันเป็นสัตว์ป่า
เขายกมือเลือกไพ่มาสามใบ
หลังจากอิ๋งจื่อจินเปิดไพ่ เป็นครั้งแรกที่เธอเข้าสู่ห้วงแห่งความเงียบ
ต่อให้เป็นตอนที่ทำนายหาร่องรอยของนอร์ตัน เธอก็ไม่รู้สึกติดขัดอะไร
แต่ครั้งนี้แค่ทำนายเรื่องของฟู่อวิ๋นเซิน กลับรู้สึกเป็นอุปสรรคมาก
ฟู่อวิ๋นเซินมองไพ่เปล่าสามใบในมือเธอพลางขมวดคิ้ว “เยาเยา ซื้อออนไลน์ร้านไหนมา เธอถูกหลอกแล้วนะ ไม่มีภาพเลยสักใบ”
อิ๋งจื่อจินเก็บไพ่ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ไม่ทำนายแล้ว”
“หืม?”
“อย่ามาพูดกับฉัน ตอนนี้ฉันไม่อยากสนใจคุณ”
“…”
…
หลังจากผ่านพ้นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็เป็นช่วงสอบปลายภาคของนักเรียนมอห้าและมอหก
สอบเสร็จก็เป็นการปิดเทอมภาคฤดูร้อนอย่างเป็นทางการ
แต่เนื่องจากเตรียมขึ้นมอหกแล้ว นักเรียนชั้นมอห้ายังต้องเรียนเสริมอีกหนึ่งเดือน
การสอบปลายภาคครั้งนี้เนื่องจากไม่มีอิ๋งจื่อจิน ผลสอบของคลาสเด็กอัจฉริยะจึงมีการคูณเพิ่มเข้าไปด้วย
จงจือหว่านก็กลับมาเป็นที่หนึ่งของสายชั้นอีกครั้ง
แต่เธอได้รับความสนใจน้อยกว่าปกติลงไปมาก ส่วนใหญ่ในเว็บบอร์ดโรงเรียนจะคุยกันเรื่องอิ๋งเย่ว์เซวียนที่เพิ่งกลับมา และยังมีเรื่องอิ๋งจื่อจินที่ครองตำแหน่งเทพตลอดกาล
“พ่ออิ๋ง หลายคนกำลังเดาว่าทำไมพ่ออิ๋งไม่เข้าสอบ” ซิวอวี่อ่านกระทู้ “จึ๊ นี่ยังมีคนหาว่าเธอทุจริตอยู่อีกเหรอเนี่ย ฉันว่าพวกเขาความจำปลาทองนะ ลืมการถามตอบครั้งนั้นไปแล้วเหรอ”
เจียงหรานกระดกโค้กลงคอ แสยะยิ้ม “ใครสงสัย งั้นก็จับคลุมกระสอบเอามาอัดเลย”
อิ๋งจื่อจินเงยหน้า “เท้า”
เจียงหรานหุบปากทันที
เขาไม่รู้ว่าแม่ของเขาพูดอะไรกับเพื่อนๆ ในห้องเขา ทำให้ตอนนี้เขาถูกคุมเข้มกระดิกตัวแทบไม่ได้
“พ่ออิ๋ง ทำอะไรอยู่เหรอ” ซิวอวี่ชะโงกหน้าเข้ามา “วาดภาพเหรอ”
“อืม” อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “ออกแบบ”
เธออยู่ว่างๆ เลยออกแบบเสื้อผ้าให้บริษัทเครื่องแต่งกายในเครือชูกวงมีเดีย เพื่อส่งไปร่วมประกวดการแข่งขันออกแบบที่ยุโรป
อย่างไรเสียก็มีเงินให้
“เมื่อก่อนฉันไม่เชื่อนะว่ามีคนที่เก่งทุกอย่างจริง จนกระทั่งได้มาเจอพ่ออิ๋งนี่แหละ” ซิวอวี่ถอนหายใจ “ทำไมความแตกต่างระหว่างมนุษย์ด้วยกันถึงมากได้ขนาดนี้นะ”
อิ๋งจื่อจินใช้ดินสอวาดไปเรื่อยพลางพูด “ให้เวลาเธอสามร้อยปีเธอก็จะทำเป็นทุกอย่างได้เหมือนกัน”
“…” ซิวอวี่สำลัก “ไม่ล่ะๆ ฉันยังอยากไปเกิดชาติอื่น”
เดิมทีเธอไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับการเรียนเสริม แต่มีอิ๋งจื่อจินอยู่เธอเลยเต็มใจอยากมาโรงเรียน
ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ ซิวอวี่หันไปมองเจียงหราน “นายควรกลับตี้ตูไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ไม่อยาก” เจียงหรานฟุบกับโต๊ะ รู้สึกหงุดหงิด “ปีหน้าค่อยว่ากัน”
ตี้ตูวุ่นวายขนาดนั้น สู้ทางนี้ที่สงบๆ ไม่ได้
เขากลับไปก็ช่วยอะไรไม่ได้
…
หลังเลิกเรียนอิ๋งจื่อจินก็กลับไปเยี่ยมผู้เฒ่าจง
ผู้เฒ่าจงก็นึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “จื่อจิน ตาว่าเทียนลี่ว์ไม่ใช่คนแบบนั้น หลานว่าเล่าเรื่องให้เขาฟังดีไหม”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ” อิ๋งจื่อจินจับดินสอ ไม่ได้เงยหน้า “ไม่จำเป็น”
เวรกรรมหมดได้ยาก แต่การผูกเวรกรรมกลับง่ายมาก
ถ้าเธอรับการชดเชยของอิ๋งเทียนลี่ว์ เธอกับตระกูลอิ๋งก็จะมีเวรกรรมต่อกันอีกครั้ง
“ก็ได้” ผู้เฒ่าจงถอนหายใจ “งั้นก็ไม่ต้องสนใจเรื่องของครอบครัวพวกเขาแล้ว แต่เทียนลี่ว์เป็นเด็กดีนะ”
อิ๋งจื่อจินอยู่เป็นเพื่อนผู้เฒ่าจงสองชั่วโมง ร่างแบบเสร็จไปหนึ่งแผ่น
เธอหยิบขึ้นมาส่องไฟดู รู้สึกว่าทุเรศพอสมควร
เธอขยำโยนทิ้งถังขยะแล้วเดินออกจากห้องทำงาน
พออิ๋งจื่อจินออกไปแล้วจงจือหว่านถึงกล้าเข้ามา
ระยะนี้เธอก็ไม่กล้าก่อเรื่องอะไรอีก อยากเอาใจผู้เฒ่าจง งานของคนรับใช้เธอก็ไปแย่งทำ ในที่สุดก็ทำให้ผู้เฒ่าจงกลับมามีท่าทีอบอุ่นกับเธอบ้าง
“คุณปู่ ขยะเต็มแล้วหนูเอาไปทิ้งให้นะคะ”
ผู้เฒ่าจงขานรับ
จงจือหว่านเม้มริมฝีปาก เดินไปนั่งข้างถังขยะ ขณะที่กำลังจะหยิบถุงก็สังเกตเห็นกระดาษที่ยับยู่ยี่
เธอมองดู เห็นเป็นแบบร่างที่ถูกทิ้งแล้ว