The Divine Nine Dragon Cauldron – ตอนที่ 671-672

ตอนที่ 671-672

DND.671 – ชิงมุกเงิน
“ท่านสนใจมุกเลี่ยงวารีงั้นรึ?”
เจ้าของร้านยิ้มอย่างนอบน้อมเดินมาหาซือหยู
มุกเลี่ยงวารี?ซือหยูแอบดีใจ มุกเงินตรงหน้าเขาดูหม่นแสงลงไปมาก ดูเหมือนมันจะเป็นสมบัติธาตุวารี!
แต่มุกเม็ดนี้คล้ายกับมุกเงินเลี่ยงสายฟ้าในตำนานที่บันทึกของผู้เฒ่าฉิวเขียนเอาไว้อย่างมากมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาไม่คิดเลยว่าจะได้เจอมุกเงินเลี่ยงสายฟ้าในที่ขาดแคลนอย่างทวีปเฉินหลง มันน่าตกใจจริงๆ!
“มันราคาเท่าไหร่รึ?”
ซือหยูพยายามสะกดอารมณ์เอาไว้ทำให้ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้สนใจมันนัก
เจ้าของร้านหลบตาอันมีเล่ห์เหลี่ยมและพูด
“ถ้าท่านอมมุกเลี่ยงวารีเอาไว้ในปากท่านจะอยู่ใต้น้ำได้เป็นสิบวันโดยไม่ต้องหายใจแม้สักครั้ง! มันเป็นสมบัติเทพระดับกลางที่หายากมาก และถ้าท่านมีสมบัติเทพระดับกลางขอย่างอื่นมาแลกล่ะก็…หึหึ…”
มีคนอยู่หลายคนที่นี่และเจ้าของร้านก็ไม่ได้แอบพูด ดังนั้นหลายคนจึงแอบหัวเราะในใจเมื่อได้ยินว่าเขาจะขายมันในราคาของสมบัติเทพระดับกลาง! พวกเขาเริ่มพูดถากถาง…
“สมกับเป็นไอ้โจรน้อยมันโลภมากนัก อยากจะขายสมบัติเทพระดับต้นอย่างมุกเลี่ยงวารีกับสมบัติเทพระดับกลาง!”
“จะมีคนโง่โดนมันฟันกำไรอีกแล้วสินะ!คนทำกำไรที่มีชื่อของหอวารีสวรรค์ก็คือมันนั่นแหละ! สองในสามที่มันขายเป็นของปลอม ส่วนของดีจริงๆก็ขายแพงมาก! มันโกงคนมาเยอะจนชื่อเสียงเน่าเฟะ แต่เด็กนั่นก็มาซื้อของจากมันอีก!”
“เขายังเด็กดูจะยังไม่รู้เรื่องรู้ราวเท่าไหร่นะ…”
“เฮ้อ…เขาได้แต่ยอมรับโชคชะตาเท่านั้นแหละถ้ามาเจอกับไอ้โจรนั่น!”
“แต่ถูกฟันกำไรเสียตอนนี้ก็เป็นบทเรียนที่คุ้มค่าเขาไม่ได้ขาดทุนเท่าไหร่หรอกน่า หึหึ.,..”
สีหน้าของซือหยูไม่ได้เปลี่ยนไปสักนิดเดียวเมื่อได้ยินเสียงของคนรอบๆ
“สมบัติเทพระดับกลางรึ?ข้าไม่มีหรอก”
ซือหยูยักไหล่อย่างหมดหวัง
นี่เป็นเรื่องจริงเขาไม่มีสมบัติเทพระดับกลางเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
“หืม?ดูเหมือนเขาจะไม่ได้โง่นี่ ไปเถอะ ไม่มีอะไรสนุกๆให้พวกเราดูแล้ว…หึหึ…”
บางคนในกลุ่มคนหัวเราะ
เจ้าของร้านหนวดกระตุกเขาลูบมือทั้งสองและหัวเราะขณะที่พูด
“ถ้าท่านไม่มีสมบัติเทพระดับกลางเช่นนั้นแลกกับสมบัติเทพขั้นต้นสามชิ้นก็ได้”
หลายคนหยุดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเขาหวังว่าโจรน้อยจะฟันกำไรจากเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ได้!
“ข้าไม่มีสมบัติเทพระดับต้นเหมือนกัน”
ซือหยูส่ายหน้า
เจ้าของร้านสีหน้าหม่นหมองเขาเริ่มมองซือหยูอีกครั้งและขมวดคิ้ว นั่นก็เพราะเขาเห็นว่าซือหยูดูไม่ธรรมดาและสวมเสื้อผ้าดีที่เหมือนกับมาจากสำนักที่ร่ำรวย! แต่ซือหยูกลับไม่มีสมบัติเทพแม้แต่ชิ้นเดียว เจ้าของร้านรู้สึกท้อแท้
“ท่านลูกค้าร้านข้าไม่ได้ซื้อขายด้วยชื่อเสียงของสำนักใดทั้งนั้น เหตุใดท่านไม่ไปร้านอื่นเล่า?”
เจ้าของร้านแสร้งทำเป็นสุภาพและเป็นมิตรขณะที่พยายามจะไล่เขาไป
ซือหยูไม่คิดจะมีปากเสียงกับเขาเพราะเขาก็ไม่มีสมบัติเทพระดับต้นหรือระดับกลางทั้งนั้น สมบัติระดับต่ำสุดที่ซือหยูมีก็คือสมบัติเทพระดับสูง!
“แล้วสมบัติเทพระดับสูงเล่า?ถ้าเจ้าให้ข้าแลกได้ เจ้าเอาสมบัติเทพระดับต่ำสักสามชิ้นมารวมกับมุกเลี่ยงวารี เจ้าจะว่าอย่างไร?”
ซือหยูพูดและหยิบเอาค้อนเหล็กที่มีควันดำรอบๆออกมา
แรงดันวิญญาณอันรุนแรงปะทุออกมาจากค้อนทุกคนรอบๆที่เพิ่งจะล้อเลียนซือหยูรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล พวกเขาเงียบกริบลงไป
พวกเขาเบิกตากว้างราวกับระฆังพวกเขาตกใจเป็นอย่างมากและจ้องมองค้อนอสูรทมิฬในมือซือหยูตาไม่กระพริบ เสียงคนกลืนน้ำลายดังขึ้นพร้อมกัน เสียงนี้ราวกับฟองน้ำที่แตก
ทวีปเฉินหลงนั้นแร้นแค้นขาดแคลนทรัพยากรเป็นไปไม่ได้ที่คนนอกจากภูติจะมีสมบัติเทพระดับสูง แต่ตอนนี้มีคนหนึ่งคนที่นำสมบัติเทพระดับสูงมาแลกกับมุกเลี่ยงวารี!
แม้แต่เจ้าของร้านก็งุนงงเขาเบิกตากว้าง เขาจ้องมองค้อนอสูรทมิฬด้วยแววตาว่างเปล่า
ราคาของสมบัติเทพระดับสูงนั้นเทียบเท่ากับสมบัติเทพระดับกลางห้าชิ้นการแลกมันกับมุกเลี่ยงวารีและสมบัติเทพระดับต่ำอีกสามชิ้นนับว่าเป็นกำไรอย่างงาม ดังนั้นทุกคนคงจะเป็นบ้าถ้าหากได้รับข้อเสนอเช่นนี้!
แต่หน้าผากของเจ้าของร้านในตอนนี้เต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเฉียบเขาคิดว่าจะทิ้งสมบัติเทพสามชิ้นไปได้อย่างไร
“เอาล่ะเจ้าจะแลกกับข้าหรือไม่? ถ้าเจ้าไม่อยากแลก ข้าก็จะไปร้านอื่นแล้ว”
ซือหยูทำท่าทีราวกับไม่สนใจมุกเลี่ยงวารีเขาหวังว่าเจ้าของร้านจะมองไม่ออก
เจ้าของร้านเริ่มกระวนกระวาย
“ท่านลูกค้าขออภัยที่ข้าไม่รู้จักและดูหมิ่นท่าน ท่านก็เห็นว่าร้านข้าเล็กนัก ข้าซื้อสมบัติเทพระดับสูงของท่านไม่ไหว”
เจ้าของร้านหน้าแดงเขามองซือหยูผิดไปจริงๆ
ซือหยูมองเขาอย่างใจเย็น
“ถ้าเจ้าตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกเจ้าก็ลงเอยด้วยการขายหน้าตัวเองเช่นนี้ เอามุกเลี่ยงวารีมาให้ข้าได้แล้ว…”
ซือหยูพูดกและหันกลับเขาเตรียมจะโยนค้อนอสูรทมิฬให้กับเจ้าของร้าน
“ท่านลูกค้าท่านจะซื้อมันด้วยสมบัติเทพระดับสูงจริงๆรึ?”
ดวงตาของเจ้าของร้านแทบจะหลุดออกจากเบ้า
ทุกคนที่มองดูทั้งคู่ตอบสนองแบบเดียวกันพวกเขาจ้องมองซือหยูด้วยแววตาว่างเปล่า เขาจ้องมองซือหยูผู้ที่กำลังจะโยนค้อนอสูรทมิฬให้กับเจ้าของร้าน!
ซือหยูเริ่มที่จะทนไม่ไหว
“เอามันมาให้ข้า”
เจ้าของร้านกลับมาได้สติเขาดีใจมาก และเขายังตื่นเต้นจนสั่นไปทั้งตัว เพราะเขาจะได้กำไรครั้งใหญ่!
“ขอรับ…”
ทุกคนมองด้วยความอิจฉาและตกใจเจ้าของร้านหยิบเอามุกเลี่ยงวารีให้กับซือหยู
ซือหยูตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้นเขาแทบจะไม่เชื่อว่าเขาจะได้ข้อเสนอนี้มา! แต่เมื่อซือหยูยื่นมือไปรับก็มีสายลมรุนแรงพัดมาที่ด้านหลัง
ตัวสายลมมิได้กว้างนักแต่ก็มีพลังที่รุนแรงมันทำให้ซือหยูรู้สึกว่ามีอันตรายกำลังเข้ามา เขารีบหลบโดยไม่ลังเล
แกร๊ง!
เสียงแหลมใสดังพัดพุ่งเข้าไปกระแทกมุกเลี่ยงวารี พัดถูกถือด้วยมือที่ดูช้ำๆและมีอายุแต่มีนิ้วที่ยาวมาก นิ้วของเขาเปล่งแสงสีอมเขียว มันเป็นมือที่เหมือนกับมือของคนตาย!
“หึหึคิดจะแลกมุกเงินเลี่ยงสายฟ้าขั้นต้นกับสมบัติเทพขั้นสูงแค่ชิ้นเดียวเรอะ? ถูกต้องแล้วรึที่เจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์าหลอกผู้คนแบบนี้?”
เสียงแหบพร่าดังมาจากด้านหลังมันมาพร้อมกับสายลมอันเยือกเย็นที่ทำให้ตัวสั่น
ซือหยูหันไปมองอย่างใจเย็นเขาเห็นใบหน้าซีดของชายหนุ่มตรงหน้า ชายหนุ่มผู้นี้มีผมสีเทาสะท้อนสีอำพัน ใบหน้านั้นดูเหมือนจะมีพลังสีเขียวๆอยู่ด้วย เขาดูไม่เหมือนมนุษย์แม้แต่น้อย ทุกลมหายใจของเขาถูกปล่อยออกมาเป็นความเยือกเย็น
ร่างกายของเขาปล่อยรังสีแห่งความตายที่ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจออกมาเต็มไปหมดชายคนนี้ดูราวกับซากศพเสียยิ่งกว่าราชาโลกดับสูญของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์! แต่ซือหยูมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าวิญญาณของเขาเป็นของสิ่งที่ยังไม่ตายด้วยเนตรวิญญาณ
“จ้าวสาม!”
บางคนตะโกนออกมาครึ่งหนึ่งมีความกลัว อีกครึ่งคือความเคารพนับถือ
ครู่ก่อนพวกเขายังคงตกตะลึงเมื่อเห็นการใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายของซือหยู แต่ตอนนี้พวกเขาต้องเงียบลง หลายคนไม่สังเกตเห็นถึงชายหนุ่มสีเขม่ามาจนถึงตอนนี้
ซือหยูหรี่ตาเขาสงสัยว่านี้คือจ้าวแห่งความมืดลำดับสามคนก่อนที่อาศัยอยู่ในตำหนักเจ็ดจ้าว ซือหยูเบิกตากว้างเมื่อมองดูเขา เขาบอกได้เลยว่าจ้าวสามคือภูติระดับสี่!
เขาเป็นแค่ลำดับสามแต่ก็มีพลังภูติระดับสี่แล้วซือหยูสงสัยว่าลำดับสองกับจ้าวแห่งความมืดคนแรกจะแข็งแกร่งเพียงใด! เพราะทั้งสองยังไม่ได้แสดงตัวออกมา
ฐานพลังของเจ็ดจ้าวแห่งความมืดเหนือกว่าที่คนจากภายนอกคิดเอาไว้ทวีปเฉินหลงมิได้เป็นทวีปบ้านนอกที่มีภูติแค่สามคนอีกแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจ้าวสามจะคิดไม่ดีกับซือหยูเท่าใดนัก
“จ้าวสามรึ?ไม่มีใครสอนเจ้ารึว่าใครมาก่อนได้ก่อน?”
ซือหยูเถียงกลับอย่างเยือกเย็น
“ส่วนเรื่องหลอกเขาหึหึ มุกเงินเลี่ยงสายฟ้าอยู่ที่นี่มานานแต่ก็ไม่มีใครดูออก แต่มีหน้ามาว่าคนที่มีความรู้ที่รู้จักมันทั้งๆที่คนอื่นไม่รู้ได้อย่างไร? คนที่ควรจะถูกหัวเราะเยาะก็คือพวกเจ้าทุกคนที่ไม่รู้จักมันเลย!”
จ้าวสามยิ้มอย่างดุร้าย
“หึมิใช่แค่เจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะมีพลังระดับดี แต่คำพูดคำจาเองก็เองก็ดีไม่น้อยเหมือนกัน”
ซือหยูยิ้มอย่างเยอืกเย็น
“ยังมีเรื่องอื่นอีกที่เจ้าจะต้องตกใจ”
ปั้ง!
ซือหยูสั่นไปทั้งตัวเส้นโลหิตสีทองเผยออกมาเมื่อเขาจะตบพัดทิ้งด้วยมือ
“ถึงคนอยากเจ้าอยากจะปัดพัดของข้า…มันก็แค่…”
จ้าวสามเยาะเย้ยซือหยู
แต่เมื่อฝ่ามือซือหยูสัมผัสกับพัดพลังอันรุนแรงที่เหนือกว่าคาดปัดพัดจนแทบจะหลุดมือของจ้าวสาม มันทำให้เขาอับอายต่อหน้าฝูงชน
แต่จ้าวสามก็เป็นภูติระดับสี่เขาได้ใช้นิ้วก้อยเกี่ยวพัดให้ไม่หลุดมือ เขาพยายามจะชิงมุกเงินเลี่ยงสายฟ้าอีกครั้ง
แต่เพียงเวลาสั้นๆซือหยูก็คีบมันมาไว้ในมือเขาเก็บมันลงในแหวนมิติทันที และตอนนี้มุกเงินเลี่ยงสายฟ้าก็ได้เป็นของเขาแล้ว ถ้าหากมีใครอยากจะขโมยมันก็ต้องชิงไปจากแหวนมิติของซือหยู ซึ่งนั้นก็ต้องข้ามศพของเขาไปก่อน!
“กล้าดียังไงถึงมาทำแบบนี้ทั้งๆที่อยู่ในอาณาจักรทมิฬของข้า!”
จ้าวสามหรี่ตาและเริ่มโกรธแค้นจากความอัปยศเขาชิงมุกเงินเลี่ยงสายฟ้าล้มเหลวต่อหน้าทุกคน
ซือหยูสะบัดเสื้ออย่างใจเย็น
“แม้โลกจะกว้างใหญ่แต่ก็มีกฎที่ต้องทำตามเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาขโมยของของคนอื่นรึ?”
ทุกคนหวาดกลัวเมื่อได้ยินคำพูดของซือหยูแม้ว่าดูเหมือนจ้าวสามพยายามจะขโมยมันจริงๆ คำพูดแบบนี้ก็ไม่ควรพูดออกมาต่อหน้าเขา!
นั่นก็เพราะว่าในบรรดาอดีตเจ็ดจ้าวแห่งความมืดจ้าวสามนั้นมีอารมณ์ที่รุนแรงกว่าใคร และเป็นคนที่โกรธแค้นอย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีจ้าวแห่งความมืดคนใดที่จะยั่วยุเขาในทุกทาง
“จะถูกต้องหรือไม่คนที่ตัดสินก็คือข้า”
จ้าวสามโกรธแค้น
“ข้าจะให้เวลาเจ้าสามลมหายใจเพื่อเอามันคืนมาแล้วออกไปจากอาณาจักรทมิฬซะ มิเช่นนั้น…”
“มิเช่นนั้นอะไรเล่า?ถ้าอยากจะสู้ข้าก็จะสู้กับเจ้า ถึงข้าจะไม่แข็งแกร่ง ข้าก็มีพลังที่มากพอจะจัดการเจ้า”
ซือหยูเยือกเย็นหนักแน่นเขาไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย
จ้าวสามไม่พอใจอย่างมากเขาหัวเราะเยาะ
“เจ้าคิดว่าเจ้าจะดูถูกข้าได้เพราะเป็นเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์เรอะ?ข้าจะบอกเจ้าตรงๆว่าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ของเจ้ามันไม่ได้อยู่ในสายตาตำหนักเจ็ดจ้าวด้วยซ้ำ! พวกเจ้ามันก็แค่ตัวตลก!”
DND.672 – ตบจ้าว
“ตลกสิ้นดีเจ้าใช้ตำแหน่งเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์กล่าวอ้างชัยชนะแค่ครั้งเดียวมาต่อรองขอกำลังเสริมจากอาณาจักรทมิฬ เจ้าจะไม่โอหังไปหน่อยเรอะ? น่าขัน น่าเวทนา เปลืองตาข้ายิ่งนัก!”
จ้าวสามพูด
ซือหยูหัวเราะนี่น่ะรึ ที่ตำหนักเจ็ดจ้าวมองพันธมิตรผู้คุมสวรรค์?
ซือหยูรู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้ของเขาเสียเวลายิ่งนักเขาไม่ได้มาเป็นตัวตลกนะ!
“หึหึไม่ว่าเราจะอ่อนแอแค่ไหน พวกเราก็แข็งแกร่งกว่าเจ้า แม้จะอ่อนแอ พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ก็มีความกล้าหาญที่จะต่อสู้กับข้าศึกด้วยพลังทั้งหมดที่มี เราเอาชนะพวกมันและยึดเอาดินแดนของตัวเองคืนกลับมา แล้วตำหนักเจ็ดจ้าวของเจ้าล่ะ? เจ้ามีพลังที่จะช่วยทั้งทวีป แต่เจ้าก็ซ่อนตัวอยู่ในที่นี่ เจ้าไม่มีสิทธิ์มาหัวเราะเยาะพวกข้า!”
ซือหยูประกาศก้อง
ในตอนนี้ซือหยูเลิกล้มความคิดที่จะขอกำลังเสริมจากอาณาจักรทมิฬแล้วเขามิอาจหวังพึ่งอาณาจักรทมิฬ คนเดียวที่เชื่อใจได้ก็คือตัวเขาเอง
คำพูดของเขาทำให้ผู้คนมากมายที่นี่ละอายใจเขาพูดถูก อาณาจักรทมิฬมีทรัพยากรที่สั่งสมมาเป็นหมื่นปี แต่พวกเขาก็เอาแต่ซ่อนตัวจากศัตรูราวกับเต่าในกระดอง
และจ้าวสามเพิ่งจะดูหมิ่นซือหยูอย่างไร้ยางอายโดยไม่รู้สึกอับอายกับความตาขาวของตัวเองเลย!ไม่มีใครหน้าไหนในอาณาจักรทมิฬทั้งนั้นที่จะมีสิทธิ์ดูหมิ่นพันธมิตรผู้คุมสวรรค์!
“เจ้า…ก็ได้ข้าจะสั่งสอนเจ้าเอง อยากรู้จักว่าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะมีดีอะไรนอกจากลมปาก! ข้าจะใช้หมัดบดขยี้ความมั่นใจของเจ้าในคราเดียว!”
จ้าวสามโกรธจัดเขาดูบ้าคลั่งโดยสมบูรณ์
ร่างของจ้าวสามเริ่มเปล่งแสงราวกับไฟลุกพลังชีวิตไหลออกจากร่างราวกับแม่น้ำเชี่ยวกราก คลื่นพลังแผ่ออกไปในทุกทิศทาง
คนที่ไม่หลบพลังล้วนล้มลงไปกับพื้นคนที่ยืนใกล้ๆมีเลือดไหลออกจากปาก!
ผู้คนหนีด้วยความแตกตื่นเสียงกรีดร้องวุ่นวายดังไปทั่ว
“นี่รึนี่เจ้าปฏิบัติต่อคนของเจ้า?”
ซือหยูถามด้วยแววตาเยือกเย็น
จ้าวสาวไม่สนใจความปลอดภัยของคนบริสุทธิ์อย่างเห็นได้ชัดเขาจะฆ่าใครก็ได้
“มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า!คุกเข่าซะ!”
จ้าวสามสีหน้าเย็นชาจิตสังหารของเขาแข็งกล้ากว่าเดิม
ซือหยูจ้องเขาอย่างเยือกเย็น
“ข้าต่างหากที่ต้องพูดคำนั้น!”
ปั้ง
ซือหยูหยิบขวดหยกออกมาในขวดนี้มีสายฟ้าหลากสีลอยอยู่ภายใน คลื่นพลังอันตรายแผ่ออกมาทุกทิศทาง
ตู้ม!
เสียงสายฟ้าดังออกมาจากขวดผู้คนรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล
เกือบทุกคนสัมผัสได้ว่ากำลังจะถูกฆ่าราวกับว่าขวดหยกเล็กๆนี้เป็นบ้านของสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่งเมื่อหลุดออกมา
พรึ่บ
ซือหยูหยิบเอาชุดเกราะสายฟ้ามาด้วยเขาใช้มันปกป้องฝ่ามือและเปิดขวดหยก
ตู้ม!
สายฟ้าขนาดใหญ่หลากสีที่ปะทุออกมาทำให้หอวารีสวรรค์สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงสายฟ้าเหล่านั้นออกมาจากขวดหยก! สายฟ้ากลายเป็นแหสายฟ้าเข้ารัดรอบตัวจ้าวสาม
จ้าวสามที่ยังโกรธแค้นได้หวาดวิตกเมื่อแหสายฟ้ากำลังจะมัดตัว
“วิบัติอัสนี!”
เขาตะโกน
เขารู้ดีว่าพลังของวิบัติอัสนีน่ากลัวเพียงใดเพราะเขาที่เป็นภูติระดับสี่จะต้องผ่านวิบัติอัสนีด้วยแต่วิบัติอัสนีตรงหนร้าเขานั้นน่ากลัวยิ่งกว่าที่เขาเคยพบเจอ
ที่สำคัญที่สุดก็คือเขารู้ว่าภูติระดับสี่ตามปกติจะใช้พลังชีวิตในการต่อกรกับวิบัติอัสนีแต่วิชาที่เขาบ่มเพาะคือวิชาที่ต้องใช้พลังหยินที่ชั่วร้าย ดังนั้นวิบัติอัสนีจึงเป็นจุดอ่อนของเขา!
ตามปกติเขาต้องเตรียมตัวหลายวันก่อนจะได้เข้าใกล้วิบัติอัสนีแต่ตอนนี้กลับมีคนที่ควบคุมวิบัติอัสนีได้มาอยู่ต่อหน้าต่อตาเขา!
เขาไม่รู้ว่าขวดวิบัติอัสนีนี้เคยใช้กักขังราชาโลกดับสูญผู้มีร่างกายระดับจ้าวเทวะได้สำเร็จมาก่อนแม้ราชาโลกดับสูญจะไม่ตาย แต่มันก็ไม่ใช่กับจ้าวสาว!
ซือหยูคงไม่มั่นใจนักถ้าหากเป็นภูติระดับสี่คนอื่นแต่เขาไม่กลัวที่จะใช้กับจ้าวสามที่มีพลังแห่งความตายคล้ายภูติผี
เปรี๊ยะ
อ๊ากก!
แหสายฟ้าพันรอบจ้าวสามเขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาในทันที เขารู้สึกราวกับถูกเพลิงร้อนลวกทั้งร่าง พลังของเขาระเหยออกมาจากร่างไม่หยุด
จ้าวสามพยายามจะทำให้แหสายฟ้าขาดด้วยพลังชีวิตเมื่อพลังชีวิตของเขาก็มิอาจทำอะไรได้เพราะมันปนเปื้อนไปด้วยพลังด้านลบ
เขาใช้พลังชีวิตไม่ได้เลยภูติระดับสี่ได้แต่สิ้นหวังต่อแหสายฟ้าด้วยประการนี้!
เพี๊ยะ
ตอนนั้นเองฝ่ามือแล่นผ่านใบหน้าจ้าวสาม เขาตกใจเมื่อรู้ตัวว่าถูกซือหยูตบหน้า!
“กล้าดียังไง?”
จ้าวสามตะโกนด้วยความโกรธแค้น
เพี๊ยะ
แต่พอเขาตะโกนก็ถูกตบอีกครั้งพลังนั้นรุนแรงจนทำให้ชั้นหกสั่นไปทั้งชั้น!
“ทำไมข้าจะไม่ตบเจ้าเล่า?”
ซือหยูถามขณะที่จัดชุดเกราะสายฟ้าในมือขวา
เขาสะบัดมือและยิ้มอย่างพอใจ
“เจ้าอยากจะบดขยี้ความมั่นใจของข้าทำไมข้าจะตบเจ้าให้ได้สติกลับมาไม่ได้เล่า?”
“ก็ได้ข้าจะทรมานเจ้าทั้งเป็น!”
จ้าวสามตะโกน
เขาดูหมดท่าเดิมทีเขาแค่จะมาทำให้ซือหยูวุ่นวายเท่านั้น แต่เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นฝ่ายที่ต้องแบกรับความอัปยศ! ความโกรธของเขาระเบิดผ่านดวงตาอันชิงชัง
ซือหยูหยิบเอาชุดเกราะสายฟ้ามาด้วยเขาใช้มันปกป้องฝ่ามือและเปิดขวดหยก
ตู้ม!
สายฟ้าขนาดใหญ่หลากสีที่ปะทุออกมาทำให้หอวารีสวรรค์สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงสายฟ้าเหล่านั้นออกมาจากขวดหยก! สายฟ้ากลายเป็นแหสายฟ้าเข้ารัดรอบตัวจ้าวสาม
จ้าวสามที่ยังโกรธแค้นได้หวาดวิตกเมื่อแหสายฟ้ากำลังจะมัดตัว
“วิบัติอัสนี!”
เขาตะโกน
เขารู้ดีว่าพลังของวิบัติอัสนีน่ากลัวเพียงใดเพราะเขาที่เป็นภูติระดับสี่จะต้องผ่านวิบัติอัสนีด้วยแต่วิบัติอัสนีตรงหนร้าเขานั้นน่ากลัวยิ่งกว่าที่เขาเคยพบเจอ
ที่สำคัญที่สุดก็คือเขารู้ว่าภูติระดับสี่ตามปกติจะใช้พลังชีวิตในการต่อกรกับวิบัติอัสนีแต่วิชาที่เขาบ่มเพาะคือวิชาที่ต้องใช้พลังหยินที่ชั่วร้าย ดังนั้นวิบัติอัสนีจึงเป็นจุดอ่อนของเขา!
ตามปกติเขาต้องเตรียมตัวหลายวันก่อนจะได้เข้าใกล้วิบัติอัสนีแต่ตอนนี้กลับมีคนที่ควบคุมวิบัติอัสนีได้มาอยู่ต่อหน้าต่อตาเขา!
เขาไม่รู้ว่าขวดวิบัติอัสนีนี้เคยใช้กักขังราชาโลกดับสูญผู้มีร่างกายระดับจ้าวเทวะได้สำเร็จมาก่อนแม้ราชาโลกดับสูญจะไม่ตาย แต่มันก็ไม่ใช่กับจ้าวสาว!
ซือหยูคงไม่มั่นใจนักถ้าหากเป็นภูติระดับสี่คนอื่นแต่เขาไม่กลัวที่จะใช้กับจ้าวสามที่มีพลังแห่งความตายคล้ายภูติผี
เปรี๊ยะ
อ๊ากก!
แหสายฟ้าพันรอบจ้าวสามเขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาในทันที เขารู้สึกราวกับถูกเพลิงร้อนลวกทั้งร่าง พลังของเขาระเหยออกมาจากร่างไม่หยุด
จ้าวสามพยายามจะทำให้แหสายฟ้าขาดด้วยพลังชีวิตเมื่อพลังชีวิตของเขาก็มิอาจทำอะไรได้เพราะมันปนเปื้อนไปด้วยพลังด้านลบ
เขาใช้พลังชีวิตไม่ได้เลยภูติระดับสี่ได้แต่สิ้นหวังต่อแหสายฟ้าด้วยประการนี้!
เพี๊ยะ
ตอนนั้นเองฝ่ามือแล่นผ่านใบหน้าจ้าวสาม เขาตกใจเมื่อรู้ตัวว่าถูกซือหยูตบหน้า!
“กล้าดียังไง?”
จ้าวสามตะโกนด้วยความโกรธแค้น
เพี๊ยะ
แต่พอเขาตะโกนก็ถูกตบอีกครั้งพลังนั้นรุนแรงจนทำให้ชั้นหกสั่นไปทั้งชั้น!
“ทำไมข้าจะไม่ตบเจ้าเล่า?”
ซือหยูถามขณะที่จัดชุดเกราะสายฟ้าในมือขวา
เขาสะบัดมือและยิ้มอย่างพอใจ
“เจ้าอยากจะบดขยี้ความมั่นใจของข้าทำไมข้าจะตบเจ้าให้ได้สติกลับมาไม่ได้เล่า?”
“ก็ได้ข้าจะทรมานเจ้าทั้งเป็น!”
จ้าวสามตะโกน
เขาดูหมดท่าเดิมทีเขาแค่จะมาทำให้ซือหยูวุ่นวายเท่านั้น แต่เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นฝ่ายที่ต้องแบกรับความอัปยศ! ความโกรธของเขาระเบิดผ่านดวงตาอันชิงชัง
เพี๊ยะ
จ้าวสามได้รับคำตอบด้วยการตบอีกครั้ง!
“เจ้าพูดเสียงดังได้เท่านี้รึ?”
ซือหยูมองจ้าวสามอย่างเยือกเย็น
ซือหยูหยิบเอากล่องหยกออกมาในกล่องหยกนี้มีเส้นขนสีขาวสามร้อยเส้นอยู่ด้วย
ซือหยูหยิบเอาเส้นขนหนึ่งเส้นออกมาอย่างระมัดระวัง
“ถ้าเจ้าอยากจะทรมานข้าข้าก็ต้องตัดไฟแต่ต้นลม ตายซะเถอะ”
เส้นขนของม้าเมฆามีพิษมากพอที่จะสังหารทุกคนที่ระดับต่ำกว่าภูติระดับสี่แต่ตอนนั้นเองมีสตรีงดงามปรากฏตัวที่ชั้นบน นางเข้ามายืนขวางระหว่างซือหยูกับจ้าวสามในทันที
“เจ้าพันธมิตรซือโปรดเมตตาเขาเถอะข้าขออภัยที่มาต้อนรับท่านช้า”
สตรีงดงามผู้นี้สง่างามและสุภาพอย่างมาก
ซือหยูเหลือบมองนางเมื่อเห็นว่านางยืนขวางตำแหน่งที่เขาจะดีดเส้นขนม้าเมฆาออกไป
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครหลีกไปซะ”
แววตาของเขามองผ่านนางไปยังใบหน้าเกลียดชังของจ้าวสามซือหยูมีเรื่องกับจ้าวสามจริงๆ เขาไม่มีเหตุที่จะต้องเมตตา
นางหัวเราะอย่างขมขื่น
“ฐานะของข้าอาจจะต่ำต้อยกับท่านแต่โปรดไว้ชีวิตจ้าวสามเพราะเห็นแก่อาจารย์ปรุงโอสถสามท่านที่ช่วยท่านปรุงยาเถอะ ข้าจะชดใช้ทุกอย่างที่จ้าวสามทำกับท่าน”
ซือหยูลังเลเมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูดเขาเก็บเส้นขนม้าเมฆาโดยไม่พูดอะไร
ซือหยูเหลือบมองจ้าวสาม
“พร้อมตายเมื่อไหร่ก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ!วันนี้เจ้าโชคดีที่รอดไปได้!”
ใบหน้าจ้าวสามแดงก่ำด้วยความโกรธเมื่อได้ยินคำพูดดูหมิ่นของซือหยูเพราะเขาคือจ้าวสามผู้ได้รับความนับถือจากคนมากมาย แต่เขากำลังถูกขู่จากคนที่ไม่ได้อยู่ในอาณาจักรทมิฬด้วยซ้ำ!
แต่เขาก็รู้สึกถึงจิตสังหารจริงๆของซือหยูตั้งแต่ก่อนที่เขาจะถูกช่วยเอาไว้เขาไม่กล้าจะโต้เถียงอะไรออกมา เขาทำได้แค่กลืนศักดิ์ศรีและยอมรับคำดูหมิ่นจากซือหยู
“เจ้าเป็นใคร?แล้วไป่จงอยู่ที่ไหน?”
ซือหยูถามและยกมือเก็บเอาวิบัติอัสนีสู่ขวดหยก
เมื่อใช้งานไปแล้ววิบัติอัสนีดูอ่อนแอลงไปบ้าง ดูเหมือนว่ามันจะใช้ได้อีกครั้งเดียวเท่านั้น แม้ซือหยูจะคิดว่ามันสูญเปล่า เขาก็ไม่ได้แสดงออกมาทางใบหน้า
สตรีวัยกลางคนผู้งดงามยิ้ม
“ข้าเป็นจ้าวหอวารีสวรรค์ที่ที่ท่านยืนอยู่เป็นของข้าเอง”
นางมองความเสียหายรอบๆและหัวเราะอย่างขมขื่น
ซือหยูรู้สึกผิดขึ้นมาในทันที
“ขออภัยที่ข้าสร้างปัญหาให้มากมายเช่นนี้โปรดให้ข้าชดเชยที่ท่านสูญเสียเถอะ”
“ข้ามิอาจรับการชดเชยจากท่านหรอก!”
จ้าวหอวารีสวรรค์แปลกใจกับความสุภาพของซือหยูดังนั้นนางจึงรีบลนลานปฏิเสธเขา
“เป็นเกียรติของข้าแล้วที่ท่านมาที่นี่ข้ายินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง! ถ้าท่านไม่ถือสาก็โปรดขึ้นมาชั้นบนเถอะ ข้ามั่นใจว่าโอสถของท่านจะเสร็จในอีกไม่นาน”
ซือหยูโบกมือ
“ไม่ต้องหรอกข้าจะรอที่นี่แหละ”
จ้าวหอวารีสวรรค์รู้สึกหมดหวังนางไม่มีทางเลือกนอกจากไล่ทุกคนออกจากที่นี่เพื่อจะได้คุยกับซือหยูตามลำพัง
“จ้าวสามท่านควรจะออกไปด้วย ข้าหวังว่าท่านจะมาก่อเรื่องที่หอวารีสวรรค์แค่ครั้งนี้เท่านั้น จะไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว!”
นางเตือน
แม้ว่าฐานพลังของนางจะไม่ได้ใกล้เคียงกับจ้าวสามน้ำเสียงของนางก็ดูหนักแน่นเมื่อส่งคำเตือน จ้าวสามถอนหายใจแรงด้วยความไม่พอใจ เขาเหลือบมองซือหยูกับจ้าวหอวารีสวรรค์อีกครั้งก่อนจะออกไปด้วยความหงุดหงิด
“จ้าวพันธมิตรซือนี่มันน่าอายนัก จ้าวสามมักจะใช้เวลาอยู่ใกล้กับสุสานและบ่มเพาะเพื่อให้ได้พลังแห่งความตายมา อารมณ์ของเขาเลยแปลกกว่าใครอื่น เป็นเหตุให้เขาจู่โจมท่าน มิเช่นนั้นอาณาจักรทมิฬก็คงจะต้อนรับท่านเป็นอย่างดี”
นางอธิบายกับซือหยู
ต้อนรับข้าเรอะ?ซือหยูคิดถึงตอนที่ผู้เฒ่าขาวดำหน้าตำหนักเจ็ดจ้าวปฏิบัติต่อเขา เขาหัวเราะเยาะตัวเองเมื่อคิดถึงสิ่งที่จ้าวสามทำกับเขาเมื่อครู่
บางทีอาณาจักรทมิฬอาจจะเป็นการมีอยู่ของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์เป็นแค่เรื่องตลกทั้งสองกำลังอยู่ในทวีปเฉินหลงมาช้านาน แต่พลังนั้นแตกต่างกันมาก
คนที่ต้อนรับเขาจริงๆก็คือไป่จงกับจ้าวหอวารีสวรรค์และคนที่ระดับต่ำกว่าส่วนในสายตาของคนระดับสูงในอาณาจักรทมิฬ ซือหยูเป็นแค่เจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ที่ไม่ได้มีดีอะไรนัก
“อย่างนั้นรึ?ฒ”
ซือหยูถามและหัวเราะเบาๆเขาไม่พูดอะไรอีกหลังจากนั้น
จ้าวหอวารีสวรรค์ดูเหมือนจะรู้ว่าซือหยูรู้สึกอย่างไรนางจึงแค่ยืนเงียบๆใกล้ซือหยูโดยไม่พูดอะไรอีก ผ่านไปครึ่งชั่วยาม มีคนสวมชุดแดงวิ่งมาทางพวกเขา
นั่นคือไป่จงเขายิ้มอย่างดีใจและถือกล่องหยกสองใบอยู่ในมือ
หนึ่งในนั้นคือกล่องหยกที่มีโอสถสีม่วงอยู่ภายในมันมีรอยบางๆเก้ารอยที่ดูคล้ายกับหางวิหคเพลิงในเม็ดโอสถด้วย มันคือโอสถหางวิหคเพลิงม่วง!
ส่วนอีกกล่องมีโอสถที่สว่างจ้าราวกับแสงจันทร์เต็มดวงมันคือโอสถจันทร์ลับอดุล!
กล่องแรกที่สิ่งที่ไป่จงสัญญาว่าจะให้มันกับซือหยูส่วนอีกกล่องเป็นโอสถที่เพิ่งจะปรุงขึ้นมา ในที่สุดเขาก็ได้โอสถสำหรับช่วยชีวิตผู้เฒ่าฉิวแล้ว!
“เจ้าพันธมิตรซือโชคดีที่อาจารย์ปรุงโอสถทั้งสามท่านยอมปรุงโอสถให้”
ไป่จงพูดขณะที่ยื่นกล่องหยกทั้งสองให้กับซือหยูเขายังปฏิบัติต่อซือหยูด้วยความยำเกรงเช่นทุกครั้ง
ซือหยูรับโอสถไปด้วยความยินดีการเดินทางครั้งนี้ไม่ถือว่าสูญเปล่าแล้ว!
ซือหยูมองไป่จงด้วยความขอบคุณอย่างสูงเหล่าคนระดับสูงของอาณาจักรทมิฬไม่อยากจะเจอตัวเขาด้วยซ้ำ และมีแค่ไป่จงเท่านั้นที่ช่วยเหลือซือหยูอย่างไม่เห็นแก่ตัว ถ้าไม่มีไป่จง ซือหยูก็คงไม่รู้เรื่องสมบัติหมื่นปีของอาณาจักรทมิฬ
“หัวหน้าผู้ตรวจการไป่ท่านช่วยเหลือข้ามาตั้งแต่แรก แต่ท่านก็มิได้รับสิ่งใดตอบแทนเลย โปรดรับสิ่งนี้เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆจากข้าเถอะ…”
ซือหยูหยิบเอาสว่านเล็กๆที่คมกริบออกมา
สว่านนี้มีพลังวิบัติอัสนีอัดแน่นอยู่ภายในมันน่ากลัวยิ่งกว่าวิบัติอัสนีที่ใช้ต่อกรกับจ้าวสามเมื่อครู่เสียอีก ใครก็ตามที่เป็นภูติต่ำกว่าระดับสองจะต้องกลายเป็นฝุ่นผงเมื่อต้องเจอกับสว่านนี้
“สมบัติกึ่งวิญญาณ!”
จ้าวหอวารีสวรรค์อุทานด้วยความตกใจ
จ้าวหอวารีสวรรค์สายตาหาไร้แววนางบอกระดับของสิ่งที่ซือหยูหยิบออกมาได้ทันที นางแปลกใจอย่างมากกับสิ่งที่ซือหยูจะให้กับไป่จงจนออกมาทางสีหน้า

The Divine Nine Dragon Cauldron

The Divine Nine Dragon Cauldron

Status: Ongoing

หนึ่งประสงค์ทำลายสุริยันจันทราและหมู่ดารา ดัชนีเดียวเข่นฆ่าราชันย์สวรรค์ เพียงปริปากทั้งสวรรค์แลสิบภพพลันวินาศ

เด็กยากจนเดินทางออกจากหุบเขาห่างไกลพร้อมกับมังกรนพเก้าและหม้อวิเศษที่ควบคุมกาลเวลาและพื้นที่กว้างใหญ่ เขาใฝ่หาเส้นทางแห่งพระเจ้าเพื่อท้าทายจักรวาลอันไม่มีสิ้นสุดและต่อสู้กับยุคสมัยในตำนาน

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท