รู้สึกเหลือเชื่อในชั่วขณะ ผู้ชายคนนั้นลุกพรวดตามมาด้วยเสียงเก้าอี้ล้ม
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเสียบุคลิกมู่เฉินโจวตะลึง คิดว่าเขาโกรธแล้ว
“คุณจิ่งอวี้!”
เมิ่งจิ่งอวี้ไม่สนใจมู่เฉินโจว เขาแค่มองฟู่อวิ๋นเซินราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้สายตาเปลี่ยนไปอีกครั้ง
แต่ท่าทางของเขาเมื่ออยู่ในสายตาคนอื่นก็คือกำลังโมโหมาก พอเห็นเหตุการณ์นี้ซูหร่วนก็แสยะยิ้ม แอบรู้สึกสะใจ เธอหันไปพูดกับฟู่อี้หัน
“คุณดูสิ ปล้นเงินฉันไปห้าแสนต่อมาก็ซื้อดอกไม้เน่าๆ เอาใจสาวในราคาห้าล้าน เขาหมายความว่าไง”
“แล้วนี่ไปล่วงเกินตระกูลทางตี้ตู พวกคุณไม่ไปจัดการหน่อยเหรอ”
ฟู่อี้หันขมวดคิ้ว พูดเสียงขรึม “เสี่ยวหร่วนอย่าทำแบบนี้”
“ฉันเป็นแบบนี้จะทำไม” ซูหร่วนยิ่งพูดก็ยิ่งน้อยใจขอบตาเริ่มแดง
“คุณไม่รู้หรอกว่าเมื่อครู่เขาดูถูกฉันยังไง ให้ฉันซื้อแก้วเส็งเคร็งในราคาห้าแสน แถมยังเป็นเพราะผู้หญิงอื่นด้วย”
หลังจากที่เธอกับฟู่อี้หันกลับมาอยู่ฮู่เฉิง ความน้อยเนื้อต่ำใจทั้งหมดที่ได้รับล้วนมาจากฟู่อวิ๋นเซิน จนถึงตอนนี้เธอก็ยังเข้าห้างเซ็นจูรี่ไม่ได้ลับหลังมีพวกคุณหนูมากมายที่หัวเราะเยาะเธอ ทั้งยังบอกว่าเธอน่าขยะแขยงชั้นต่ำ หมั้นหมายกับคนนึงแต่กลับไปขึ้นเตียงกับอีกคน
ซูหร่วนโมโหมาก
แต่อย่างไรเสียตระกูลซูก็อยู่ไกลถึงตี้ตู ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ไม่ยุ่งเรื่องทางฮู่เฉิง จึงหนุนหลังให้เธอไม่ได้ และก็เพราะเรื่องที่เธอผิดสัญญาแต่งงาน ผ่านมาสองปีกว่าแล้วผู้เฒ่าซูก็ยังคงโกรธเธออยู่
บอกว่าในเมื่อเธอแต่งเข้าตระกูลฟู่ไปแล้วก็ต้องเชื่อฟังฟู่หมิงเฉิงกับคุณนายฟู่ทุกเรื่อง
ลูกสาวที่ออกเรือนไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดรดออกไปต่อไปเธอจะเป็นอย่างไร ตระกูลซูก็ไม่มีทางเข้าไปยุ่งแล้ว ด้วยเหตุนี้ซูหร่วนถึงนึกโทษฟู่อวิ๋นเซินมากเป็นพิเศษ
ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นคนที่เธอหมั้นด้วยคือฟู่อวิ๋นเซิน เธอคงไม่ถึงกับต้องโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งแบบนี้
“คุณใช้แก้วของคนอื่น ชดใช้ก็ถูกแล้ว” ฟู่อี้หันนวดหว่างคิ้ว “เสี่ยวหร่วน เชื่อผม อวิ๋นเซินก็มีชีวิตของตัวเองคุณไม่มีธุระอะไรก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา ขนาดพวกผมยังไม่ยุ่งเลย”
“ก็เพราะพวกคุณไม่ยุ่งนี่แหละฉันถึงต้องยุ่ง” ซูหร่วนไม่ฟังเธอยืนกราน
“ชีวิตนี้ฉันต้องข่มเขาให้ได้ ทำให้เขายอมเรียกฉันว่าพี่สะใภ้ใหญ่”
เธอทำสีหน้าดูถูก รู้สึกสะใจ
“แต่ก็ไม่จำเป็นแล้ว ล่วงเกินตระกูลทางตี้ตูคุณปู่ก็ช่วยไม่ได้หรอก”
ครั้งก่อนตระกูลฟู่ส่งฟู่อวิ๋นเซินไปหลบภัยที่ยุโรปได้ คิดว่าจะสำเร็จทุกครั้งเหรอ เห็นได้ชัดว่าฟู่อี้หันก็ตระหนักถึงปัญหานี้ เขาขมวดคิ้วรู้สึกกังวลมาก
ซูหร่วนยิ้มกว้าง รอดูอีกเดี๋ยวเมิ่งจิ่งอวี้เอาเรื่องฟู่อวิ๋นเซิน
ทว่า…เมิ่งจิ่งอวี้ค่อยๆ ถอนหายใจ พูดเสียงเบา
“ผมไม่มีคุณสมบัติที่จะเอาของชิ้นนี้แล้ว ก่อนหน้านี้ผมผิดเองที่บังคับคนอื่น”
“ก็แค่ดอกไม้ดอกเดียว เดี๋ยวไปหาเอาใหม่ก็ได้”
รอยยิ้มของซูหร่วนค้างเติ่ง
มู่เฉินโจวก็อึ้ง “คุณจิ่งอวี้”
สายตาที่เมิ่งจิ่งอวี้มองมู่เฉินโจวเย็นชาลงเล็กน้อย เขาพูดเพียงว่า “ประมูลต่อ”
“งั้นก็หมื่นเดียวแล้วกัน” ฟู่อวิ๋นเซินละสายตา นิ้วเคาะเบาๆ
“ผมเปลี่ยนใจแล้ว ถ้าใครอยากแข่งประมูลก็เชิญ” เมิ่งจิ่งอวี้ไม่พูด
เขาขมวดคิ้วแน่นหน้าผากที่สะอาดเริ่มมีเหงื่อผุด
มู่เฉินโจวไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมท่าทีของเมิ่งจิ่งอวี้ถึงได้เปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้ แต่ตอนนี้คนที่กระอักกระอ่วนกลับเป็นเขาแล้ว สีหน้าของมู่เฉินโจวเริ่มจนตรอกไม่กล้ามองอิ๋งจื่อจินนั่งตัวแข็งอยู่ตรงนั้นมือเกร็งเล็กน้อย
คนที่ให้ดอกทิวลิปนี้มาประมูลเดิมทีก็ตั้งราคาขั้นต่ำไว้สูงมากอยู่แล้ว ดังนั้นต่อให้เป็นราคาหนึ่งหมื่นก็ถือว่าสูง แต่ประเด็นคือนี่เป็นแค่ดอกทิวลิปธรรมดาๆ
ถ้าเป็นหลิงจือหิมะแบบนั้นราคาจะยิ่งสูง ไม่อย่างนั้นเมิ่งจิ่งอวี้ไม่มีทางมาด้วยตัวเอง นักประมูลเป็นแค่คนรับจ้างทำงาน เขารีบให้เจ้าหน้าที่เอาดอกทิวลิปดอกนี้เก็บเข้ากล่องแล้วเอาลงไป
อิ๋งจื่อจินรับกล่องมา เปิดออกเอามือสัมผัสกลีบดอกไม้เบาๆ ดวงตาวูบไหวเล็กน้อย หลิงจือหิมะดอกนี้สภาพดีกว่าที่เธอคิดไว้ อายุน่าจะห้าร้อยปีได้แล้ว ด้วยเหตุนี้พอไม่อยู่กับดินถึงยังดำรงชีวิตอยู่ได้ อีกทั้งยังรักษาสรรพคุณทางยาไว้ได้อย่างครบถ้วน
น่าจะเพิ่งมีคนค้นพบเมื่อไม่นานมานี้แล้วเด็ดมันออกมา ส่วนมันกลายเป็นดอกทิวลิปพันธุ์ผสมได้อย่างไรนั้นไม่มีใครรู้
เงื่อนไขในการเจริญเติบโตของหลิงจือหิมะกับดอกหนิงเสินมีจุดที่เหมือนกันตรงที่อุณหภูมิต้องติดลบหลายสิบองศา
แต่หลิงจือหิมะขึ้นตามหน้าผา ทางทวีปแอนตาร์กติกามีกลุ่มคนรับจ้างจำนวนไม่น้อยที่รับหน้าที่สำรวจสมุนไพรโดยเฉพาะ เพียงแต่ต่อให้เป็นกลุ่มคนรับจ้าง ขณะที่เดินทางอยู่ในทวีปแอนตาร์กติกาก็ยังต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเหมือนกัน
โลกใบนี้มีวิวัฒนาการมาแล้วหลายพันล้านปีผ่านมาหลายยุคสมัย มีไวรัสดึกดำบรรพ์มากมายที่อยู่ใต้ชั้นน้ำแข็ง แต่เมื่อใดก็ตามที่พวกมันถูกปล่อยออกมาก็ล้วนมีความเป็นไปได้สูงที่จะทำลายล้างโลกทั้งใบ ด้วยเหตุนี้สมุนไพรพวกนี้ที่ขึ้นในทวีปแอนตาร์กติกาจึงมีค่าตัวสูงมากในเว็บบอร์ดเอ็นโอเค
อย่างหลิงจือหิมะก็เริ่มต้นที่ห้าล้านดอลล่าร์แล้ว
เธอซื้อมาในราคาหนึ่งหมื่นก็เท่ากับกำไรมากโข
เยี่ยมมาก!
“ฉันนึกออกเรื่องหนึ่ง” อิ๋งจื่อจินยืดตัวตรงครุ่นคิด
“เคยได้ยินข่าวลือว่าคุณล่วงเกินตระกูลหนึ่งในตี้ตูเลยถูกส่งไปยุโรป ตระกูลเมิ่งเหรอ”
“นั่นไม่ใช่ข่าวลือ” ฟู่อวิ๋นเซินหลับตา “พี่ชายไปจากประเทศจีนจริงหลังจากที่ทำสมาชิกสายตรงคนหนึ่งของตระกูลเมิ่งพิการ”
อิ๋งจื่อจินหันไปมองเมิ่งจิ่งอวี้ “เขาเหรอ”
“ไม่ใช่” ฟู่อวิ๋นเซินพูด “แต่เขามองอยู่ข้างๆ” อิ๋งจื่อจินเลิกคิ้ว
แค่มองดูก็ฝังใจได้ขนาดนี้เลยเหรอ ไม่รู้ว่าตอนนั้นเขาลงมือโหดเหี้ยมขนาดไหน
“ผู้บัญชาการ” คำเรียกนี้ทำให้แววตาของฟู่อวิ๋นเซินหม่นลงเล็กน้อย “ทำไมเหรอ”
อิ๋งจื่อจินปิดกล่อง หันหน้าไป “ว่างๆ ก็มาสู้กันหน่อย”
คนอื่นไม่ได้เรื่องเวลาเธอสู้ต้องคุมแรงเอาไว้
“หืม?” ทันใดนั้นดวงตาดอกท้อของฟู่อวิ๋นเซินก็โค้งมน น้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย
“เอาสิเด็กน้อย พอถึงตอนนั้นก็ออมมือให้บ้างนะ”
เขาหยุดเล็กน้อย “อย่าทำที่หน้าพี่ชายล่ะ แต่ตรงอื่นได้หมด”
“…”
…
ครึ่งหลังของการประมูลผ่านไปอย่างเงียบสงบ และก็เพราะเรื่องแย่งชิงดอกทิวลิปที่เข้ามาแทรก ทำให้ไม่มีใครแย่งตอนอิ๋งจื่อจินประมูลเครื่องเคลือบลายครามแดงที่มู่เฮ่อชิงต้องการ ใครจะกล้าแย่ง!
ไม่เห็นคุณชายเจ็ดนั่งอยู่ตรงนั้นเหรอ วางมาดประมาณว่าใครกล้าแย่งเขาก็จะเอาเงินฟาดๆ
อิ๋งจื่อจินมองเครื่องเคลือบลายครามแดงที่เธอประมูลมาในราคาห้าล้าน เงียบไปชั่วครู่
เธอกดเปิดวีแชทส่งข้อความหามู่เฮ่อชิง
[ผู้เฒ่ามู่คะ ประหยัดเงินไปเยอะเลย]
[?]
[หนูคิดว่าผู้เฒ่ามู่ควรขอบคุณหนู ส่งขนมมาให้หนู]
[…]
มู่เฮ่อชิงทำอารมณ์ไม่ถูก
[ได้ๆ เสี่ยวอิ๋ง ต่อไปฉันจะดูแลเรื่องขนมขบเคี้ยวของเธอเอง อย่าว่าแต่ขนมเลย เธออยากกินข้าวร้านไหนในประเทศฉันก็เลี้ยงเธอได้]
อิ๋งจื่อจินปิดหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ถือกล่องสองใบเดินเข้าลิฟท์กลับขึ้นห้องพัก
ฟู่อวิ๋นเซินรู้ว่าเธอจะไปพบริต้า เบวินตอนเช้ามืด เขาไม่วางใจเรื่องความปลอดภัยจึงจะตามไปด้วย
หลังจบงานประมูลจงมั่นหวาก็ลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็บากหน้าเข้าไปหา
“คุณเมิ่งคะ เรื่องตรวจรักษาที่คุณว่าพูดจริงหรือเปล่าคะ”
ตระกูลเมิ่งเป็นตัวแทนของความเจริญรุ่งเรืองของแพทย์แผนจีนในประเทศจีน
ตอนนั้นมู่เฮ่อชิงเกือบตายไปแล้ว แต่ได้ตระกูลเมิ่งช่วยชีวิตกลับมาได้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาการปวดหัวของคุณนายผู้เฒ่าอิ๋ง
“ตรวจรักษาเหรอครับ” เมิ่งจิ่งอวี้หันมามองสำรวจจงมั่นหวา
สักพักเขาถึงนึกออกว่าเป็นคุณนายตระกูลอิ๋ง สีหน้าของเขายังคงอ่อนโยน โทนเสียงนุ่มลึก อมยิ้ม
“ขอโทษด้วยครับ พวกคุณอาจยังไม่มีคุณสมบัติมากพอ”
ขนาดมู่เฮ่อชิงบางครั้งยังต้องไปหาที่แวดวงแพทย์แผนโบราณด้วยตัวเอง
แล้วตระกูลอิ๋ง? เป็นใครกัน เงินเหรอ ตระกูลเมิ่งไม่ใช่ตระกูลทั่วไป พวกเขาไม่ได้ร้อนเงิน
จงมั่นหวาหน้าซีด อ้าปากค้าง “แต่…”
“หลบหน่อยครับ” เมิ่งจิ่งอวี้ไม่สนใจจงมั่นหวา เขาเดินผ่านไป
มู่เฉินโจวที่อยู่ข้างๆ มองจงมั่นหวาด้วยสีหน้าสับสนแล้วเดินตามเมิ่งจิ่งอวี้ออกไป
จงมั่นหวายืนนิ่งอยู่ที่เดิม ผ่านไปนานก็ยังไม่ได้สติกลับมาหน้าเสียยิ่งกว่าเดิม
“ไปกันเถอะคะแม่” อิ๋งเย่ว์เซวียนดึงแขนเสื้อของเธอ พูดกระซิบ
“อาการป่วยของคุณย่าจะต้องมีหนทางอื่นแน่นอนค่ะ”
จงมั่นหวารีบเดินออกท่ามกลางสายตาของคุณนายคนอื่น และลูกหลานตระกูลเศรษฐี
…
ด้านนอกห้องจัดงาน
ขณะที่มู่เฉินโจวกำลังจะเรียกเมิ่งจิ่งอวี้ ทันใดนั้นกลับถูกเสียงโทรศัพท์มือถือขัดจังหวะ
“แม่” มู่เฉินโจวสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วถึงพูดต่อ
“งานประมูลทางนี้เพิ่งจบ ทุกอย่างปกติดีครับ”
“งั้นก็ดี” คุณนายมู่ยิ้ม
“ลูกฝึกฝนตัวเองได้อีกขั้น วันหน้าได้สืบทอดตระกูลมู่ก็จะมีหลักประกันเพิ่มขึ้นอีกอย่าง”
“ผมยังมีแขกต้องดูแลอีก” มู่เฉินโจวพยักหน้า “ถ้าแม่ไม่มีเรื่องสำคัญอะไรไว้เดี๋ยวผมโทรหานะครับ”
“เฉินโจว เดี๋ยวก่อนลูก” คุณนายมู่รีบเรียกไว้ “คุณมู่เฉิงอยู่ข้างๆ บอกว่ามีเรื่องอยากพูดกับลูก”
มู่เฉินโจวอึ้ง “คุณปู่เหรอครับ”
มู่เฉิงเป็นตัวแทนของมู่เฮ่อชิง สายของเขาก็เท่ากับเป็นสายจากมู่เฮ่อชิง
มู่เฉินโจวยังไม่ได้สติกลับมาปลายสายก็เปลี่ยนเสียงคนพูดแล้ว
“คุณชายเฉินโจว ผมมู่เฉิงนะครับ”