คำพูดนี้ของมู่เฉิงทำให้เขารู้สึกเกร็งขึ้นมาทันที
มู่เฉินโจวมองไปทางเมิ่งจิ่งอวี้
เห็นเมิ่งจิ่งอวี้ก็ไม่ได้มีท่าทีจะเดินไปตอนนี้เขาจึงถอยเข้ามุมแล้วคุยโทรศัพท์ต่อ
“คุณมู่เฉิง ผมมู่เฉินโจวครับ คุณเกรงใจเกินไปแล้วครับ”
อันที่จริงมู่เฉิงก็แค่คนรับใช้ที่รับหน้าที่ดูแลกำหนดการของมู่เฮ่อชิงเท่านั้น
แต่เนื่องจากเป็นเพราะมู่เฮ่อชิงก็เลยไม่มีใครมองว่าเขาเป็นคนรับใช้จริงๆ
อยากจะเจอมู่เฮ่อชิงก็ยังต้องผ่านมู่เฉิง
“คุณท่านเคาะวันทดสอบหาผู้สืบทอดแล้วครับ” มู่เฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “วันนี้มีธุระมาหาคุณแม่ของคุณชายพอดีก็เลยถือโอกาสบอกคุณชายล่วงหน้าครับ”
สายตาของมู่เฉินโจวหยุดชะงัก “คุณปู่จะเลือกผู้สืบทอดเหรอครับ”
เรื่องนี้ลือกันมานานในตระกูลมู่ตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว
ข้ามรุ่นของพ่อมู่เฉินโจวไป ตัวเลือกอยู่ในรุ่นหลานของพวกเขา
เพียงแต่มู่เฮ่อชิงไม่เคยพูดอย่างชัดเจนมาตลอด ครั้งนี้สุดท้ายก็พูดออกมาทั้งหมด
ลมหายใจของมู่เฉินโจวเริ่มเร็วขึ้นเล็กน้อย
“ครับ คุณชายเป็นคนแรกที่ได้รับแจ้งข่าวครับ” มู่เฉิงยิ้ม “การทดสอบค่อนข้างยากอีกไม่กี่วันจะมีรายละเอียดออกมา คุณชายเฉินโจวเตรียมตัวให้พร้อมด้วยนะครับ”
ไม่รอให้มู่เฉินโจวได้สติตอบอะไร มู่เฉิงก็วางสาย
เขาอึ้งอยู่นาน
ไม่กี่นาทีต่อมาโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“เฉินโจว ลูกได้รับแจ้งข่าวเป็นคนแรก นี่เป็นเรื่องดีนะ” คุณนายมู่ก็ตื่นเต้นอย่างยากที่จะปิดบัง “คุณปู่น่าจะสนใจในตัวลูก”
ตระกูลมู่เป็นตระกูลใหญ่มาก
เอาแค่รุ่นหลานสายตรงอย่างมู่เฉินโจวก็มีถึงสามสิบคนแล้ว
ยังไม่เคยเห็นมู่เฮ่อชิงให้ความสนิทสนมกับใครมาก่อน
มู่เฉินโจวไม่ใช่คนที่ยอดเยี่ยมที่สุด คนที่นำหน้าเขาอย่างน้อยก็มีอยู่สามคน
หนึ่งในนั้นเป็นผู้หญิง
คุณนายมู่ก็นึกไม่ถึงว่ามู่เฉิงจะบอกเรื่องการทดสอบหาผู้สืบทอดให้มู่เฉินโจวรู้ด้วยตัวเอง
“ลูกมีแขกต้องดูแลงั้นแม่ไม่รบกวนแล้ว” คุณนายมู่ดีใจ “พอลูกผ่านการทดสอบก็จะได้เริ่มสืบทอดตระกูลมู่แล้วนะ”
มู่เฉินโจวมองโทรศัพท์ที่วางสายไปแล้ว เขาขมวดคิ้ว กลับไม่มองในแง่ดีแบบคุณนายมู่
เขาครุ่นคิดอยู่สักพักถึงเดินไปหาเมิ่งจิ่งอวี้
บนตัวเมิ่งจิ่งอวี้คลุมด้วยชุดตัวยาวผ่าอกปักลายสีเขียวเข้มแบบชุดชาวฮั่น ในมือมีพัดหนึ่งอัน
มีกลิ่นอายโบราณ
ดูไม่เข้ากันกับเมืองใหญ่ระดับสากลที่ผู้คนพลุกพล่าน แสงไฟหลากสีแห่งนี้
แต่รูปร่างหน้าตาของเขาโดดเด่น การแต่งกายเช่นนี้ยิ่งทำให้เขาเป็นที่สะดุดตา
คนที่เดินผ่านไปมาอดเหลียวมองอยู่บ่อยๆ ไม่ได้
มู่เฉินโจวเข้าไปหาด้วยสีหน้าเชิงขอโทษ “ขอโทษด้วยครับคุณจิ่งอวี้ ที่ผมเอาทิวลิปดอกนั้นมาให้ไม่ได้”
“ไม่เป็นไร” เมิ่งจิ่งอวี้หยุดเล็กน้อย ทันใดนั้นได้ถามขึ้น “คุณรู้จักคุณหนูคนนั้นเหรอ”
“รู้จักครับ แต่ไม่ถือว่าสนิท” มู่เฉินโจวเห็นเมิ่งจิ่งอวี้ไม่ถือสาก็รู้สึกโล่งอก “เดิมทีเธอเป็นลูกเลี้ยงของตระกูลอิ๋ง แต่ตอนนี้ยกเลิกสถานะรับเลี้ยงดูแล้วครับ”
“อย่างนั้นเหรอ” เมิ่งจิ่งอวี้หมดความสนใจ
แต่หน้าตางดงามมากจริงๆ
มู่เฉินโจวพูดต่อ “ถ้าคุณจิ่งอวี้ชอบทิวลิปดอกนั้นมากจริงๆ ผมวานให้คนช่วยหาในยุโรปได้นะครับ”
“ไม่เป็นไร” ยังคงคำตอบเดิม “คุณไปทำธุระของคุณเถอะ ผมยังมีธุระอีก ขอตัวก่อน”
คำพูดคำจาของเขาก็ให้ความรู้สึกแบบคนยุคโบราณ
มู่เฉินโจวเดาทางของเขาไม่ถูก จึงพยักหน้า “ครับ ถ้าคุณจิ่งอวี้ขาดเหลืออะไรก็ติดต่อผมมาได้นะครับ”
ด้านหน้าโรงแรมมีรถปอร์เช่จอดอยู่
ผู้หญิงที่อยู่ข้างกายเมิ่งจิ่งอวี้เปิดประตูรถให้ เขาเข้าไปนั่ง
หลังจากขึ้นรถเสร็จ สีหน้าของหญิงสาวก็แปรเปลี่ยนเป็นเคียดแค้น “ท่านคะ หลิงจือหิมะ…”
“ฉันไม่ได้บอกว่าฉันจะยอมแพ้” เมิ่งจิ่งอวี้กางพัดในมือออก ยิ้มเล็กน้อย “เธอส่งผู้ติดตามสองสามคนไปชิงเอามาให้ได้ตอนที่เขาไม่อยู่ข้างกายผู้หญิงคนนั้น”
หญิงสาวพูดอย่างนอบน้อม “น้อมรับคำสั่งค่ะท่าน”
พวกเขาไม่รีบร้อนกลับตี้ตู
ควรค่าให้อยู่ต่อเพื่อหลิงจือหิมะที่สามารถชุบชีวิตคนตายได้
เมิ่งจิ่งอวี้พูดพึมพำ “ถ้ารู้ว่าจะมีเรื่องยุ่งยากขนาดนี้คงลงมือไปก่อนหน้าที่งานประมูลจะเริ่มแล้ว”
เขาไม่ใช่แพทย์แผนโบราณแต่เป็นจอมยุทธ์
เมื่อนานมาแล้วเนื่องจากสุขภาพของสมาชิกสายตรงของตระกูลเมิ่งส่วนใหญ่ไม่สู้ดีนัก ตระกูลเมิ่งจึงหารือกับตระกูลหนึ่งในวงการจอมยุทธ์เป็นการเฉพาะ เพื่อให้จอมยุทธ์เก่งๆ หลายคนแต่งเข้าตระกูล
เด็กที่เกิดมาจะต้องแซ่เมิ่ง
หลังจากนั้นตระกูลเมิ่งจะไม่เก็บค่าตรวจรักษาจากตระกูลนี้
แต่แน่นอนว่าไม่รวมถึงสมุนไพรหายาก ตระกูลเมิ่งไม่จัดหาให้
ตระกูลเมิ่งไม่ต้องการเงิน เพราะสำหรับพวกเขาเงินมีความสำคัญน้อยกว่าสมุนไพร
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตระกูลเมิ่งไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน
แม้แต่ตระกูลทำนายดวงชะตาอย่างตระกูลตี้อู่ยังหันไปทำธุรกิจแล้ว
เพียงแต่นายใหญ่ของตระกูลเมิ่งเคารพคำสั่งเสียของบรรพบุรุษ ยืนหยัดไม่เข้าสู่โลกของปุถุชน อยู่แต่ในโลกของแพทย์แผนโบราณมาตลอด มีเพียงสมาชิกส่วนน้อยของตระกูลที่ออกไป
สมุนไพรแต่ละชนิดมีมูลค่าสูงมาก
เมิ่งจิ่งอวี้เป็นหนึ่งในคนรุ่นหลังที่เป็นจอมยุทธ์มีพรสวรรค์
หากว่ากันตามจริงเขาควรเป็นลูกหลานสายตรงของตระกูลจอมยุทธ์ แต่เนื่องจากพ่อเขาแต่งเข้าตระกูลเมิ่ง เขาก็เลยแซ่เมิ่ง
แต่ไหนแต่ไรมาจอมยุทธ์เก่งกล้าไม่กลัวใคร
อะไรที่ใช้กำลังแก้ปัญหาได้ก็ไม่ต้องใช้เงิน
เขาออกไปข้างนอกไม่พกแม้แต่บัตรธนาคาร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเงินสด
เมิ่งจิ่งอวี้กลับนึกไม่ถึงว่า ในฮู่เฉิงเด็กสาวที่ไม่มีภูมิหลังอะไรเรื่องชาติตระกูลจะถูกใจหลิงจือหิมะดอกนั้นเหมือนกัน
ไหนจะผู้ชายคนนั้นอีก…
เขากระแอมเล็กน้อย สายตาลุ่มลึก
“ท่านคะ แต่คุณชายตระกูลมู่คนนั้น…” หญิงสาวขมวดคิ้ว พูดด้วยน้ำเสียงรังเกียจ “ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ นะคะ กับแค่เงินประมูลหลิงจือหิมะก็ยอมเสียให้ท่านไม่ได้ ถ้ารู้ว่าท่านเป็นใครคงได้เสียใจในไม่ช้าก็เร็ว”
“เธอโทษผิดคนแล้ว” เมิ่งจิ่งอวี้พับพัด ยิ้มพลางพูด “เขาน่ะ ก็แค่สมาชิกสายตรงของตระกูลมู่รุ่นนี้เท่านั้น ไม่ใช่ผู้สืบทอดที่แท้จริงของตระกูลมู่ ผู้สืบทอดที่แท้จริงเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติเข้าวงการแพทย์แผนโบราณได้”
“เขาเสียดายจ่ายเงินหลักล้านให้ฉันไม่ได้ก็สมเหตุสมผลแล้ว”
เมิ่งจิ่งอวี้หรี่ตา หยุดเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ไม่ลงไม้ลงมือได้จะดีที่สุด สาวน้อยชอบดอกไม้ เธอให้ทางตี้ตูส่งมาหลายกระถางหน่อย เอามาเปลี่ยนให้เธอ”
หญิงสาวรับคำสั่ง เริ่มติดต่อคนทางตี้ตู
…
หลังจากงานประมูลจบลงคนส่วนใหญ่ก็แยกย้าย
ฟู่หมิงเฉิงกับคุณนายฟู่ย่อมเห็นฟู่อวิ๋นเซินแล้ว แต่พวกเขาไม่ได้สนใจ เดินออกไปทันที
ฟู่อี้หันกลับอยากไปหาฟู่อวิ๋นเซิน แต่เขาหาไม่เจอ ทำได้เพียงเลิกล้มความคิด
“เสี่ยวหร่วน ไปเถอะ กลับบ้าน” ฟู่อี้หันใส่เสื้อคลุม พอหันไปก็เห็นซูหร่วนกำลังมองหาบางอย่างอยู่รอบๆ เขาอึ้ง “เสี่ยวหร่วน?”
“บัตรของฉัน!” ซูหร่วนหาใต้เก้าอี้แล้วก็ไม่พบ ร้อนใจแทบคลั่ง ดวงตาแดงก่ำ “อี้หัน บัตรธนาคารของฉันหายไปแล้ว”
“บัตรธนาคารอะไร” สีหน้าของฟู่อี้หันเริ่มเคร่งขรึม “บัตรที่พ่อกับแม่ให้เหรอ หายไปก็ไม่เป็นไร ทำใหม่ก็ได้”
“ไม่ใช่ บัตรที่ฉันเอามาจากตี้ตู” ขณะซูหร่วนพูดน้ำตาก็ไหลออกมา “บัตรนั้นเป็นบัตรดำทองของธนาคารลอเรนท์ที่ไม่ต้องใช้ชื่อยืนยัน”
สีหน้าของฟู่อี้หันเริ่มเปลี่ยน “หายเหรอ”
“ต้องอยู่ที่นี่แน่นอน” ซูหร่วนยกกระโปรงขึ้น จากนั้นก็วิ่งไปหาที่โต๊ะอาหาร “ฉันจำได้ว่าฉันเอามา แต่ทำไมมันหายไปแล้วล่ะ”
ธนาคารลอเรนท์มีบัตรสีดำทองที่ไม่ต้องลงนาม เป็นเครื่องยืนยันฐานะ มีให้เฉพาะที่ตี้ตู จำนวนจำกัด
แต่คนทั่วไปไม่มีทางใส่เงินไว้ในบัญชีของบัตรนี้เท่าไร ก็แค่เอาไว้เป็นที่ระลึก
ไม่มีชื่อ หายไปแล้วจะยุ่ง
แต่ซูหร่วนมีบัตรดำทองของธนาคารลอเรนท์แค่ใบเดียว บัตรธนาคารอื่นเธอไม่ถูกใจ
โดยเฉพาะปกติเธอเอาออกมาอวดได้ อย่างไรเสียทางฮู่เฉิงก็ไม่มี
ครั้งนี้เธอเอาบัตรนี้มาด้วยเพราะมีงานประมูล พร้อมทั้งโอนเงินเข้าไปไว้ในนั้น
ซูหร่วนใกล้บ้าเต็มที “อี้หัน ฉันยังมีเงินอยู่ในบัตรสิบล้าน ถ้าหายไปจะทำยังไง”
“ใจเย็นก่อน” ฟู่อี้หันเดินเข้าไปที่เคาน์เตอร์บริการ “รบกวนช่วยดูกล้องวงจรปิดในห้องจัดงานให้หน่อยครับ ภรรยาของผมเธอทำบัตรธนาคารหาย สำคัญมาก”
“ได้ค่ะคุณชายใหญ่ รอสักครู่นะคะ”
อีกฝ่ายเป็นตระกูลฟู่ พนักงานเคาน์เตอร์จึงไม่กล้ารอช้า รีบขอคลิปจากห้องคุมกล้องวงจรปิด
ซูหร่วนที่สวมรองเท้าส้นสูงเดินมาด้วยความร้อนใจ ดูกล้องวงจรปิดกับฟู่อี้หัน
ทันใดนั้นเธอก็พูดขึ้น “หยุดตรงนี้”
พนักงานกดหยุด
ภาพบนหน้าจอเป็นตอนที่อิ๋งจื่อจินหยุดอยู่สักพักตอนที่ลุกจากที่นั่งแล้วเดินผ่านซูหร่วน
ดูถึงตรงนี้ซูหร่วนถึงนึกออกว่าเธอจงใจสกัดขาของอิ๋งจื่อจิน เพียงแต่ไม่สำเร็จ แถมยังถูกเหยียบเท้าอีกด้วย
นอกจากนี้เธอก็ไม่ได้ไปทำตัวสนิทสนมพูดคุยกับใครอีก
ภาพจากกล้องก็ไม่เห็นว่าเธอทำบัตรสีดำตก
แต่ก่อนที่งานประมูลจะเริ่มเธอยังใช้บัตรอยู่
เป็นไปได้แค่ว่าบัตรหายตอนงานประมูลใกล้เลิก
“เธอแน่นอน” ซูหร่วนตอบโดยไม่ต้องคิด แสยะยิ้ม “ฉันว่าแล้ว ลูกเลี้ยงที่ไม่มีแม้แต่ชาติตระกูลจะเอาเงินล้านมาจากไหน เธอต้องเอาบัตรของฉันไปแน่”
บัตรสีดำทองไม่มีชื่อกำกับ ใครก็เอาไปใช้ได้
ฟู่อี้หันกลับเงียบไปสักพัก “เสี่ยวหร่วน ใจเย็นก่อน ต้องเข้าใจผิดกันแน่ ลองหาดูอีกทีนะ”
“ไม่ได้เข้าใจผิด” ซูหร่วนแสยะยิ้ม “เดิมทีฉันได้ยินตระกูลอิ๋งเล่าว่า แม่คนนั้นลักเล็กขโมยน้อยจนติดเป็นนิสัย เธอยังอยู่ที่นี่ใช่ไหม เอาเลขห้องมาให้ฉัน ฉันจะไปหาเธอเอง”
ประโยคสุดท้ายพูดกับพนักงานเคาน์เตอร์
พนักงานอึ้งเล็กน้อย “ขอโทษด้วยค่ะคุณนายน้อย ข้อมูลของแขกเป็นความลับ อย่าบังคับพวกเราเลยนะคะ”
“เธอรู้หรือเปล่าว่าบัตรของฉันเป็นบัตรอะไร ของธนาคารลอเรนท์เลยนะ ในนั้นมีเงินสิบล้าน เอาเธอไปขายยังชดใช้ไม่ได้เลย” ซูหร่วนไม่ฟัง “รีบบอกมา ยัยนั่นพักห้องไหน แล้วก็เรียกยามให้ฉันด้วย”
…
ห้องห้องเพรสซิเด้นท์สวีท 908
อิ๋งจื่อจินกำลังคุยสายกับริต้า
“สี่ทุ่มครึ่งแล้วเธออยู่ไหน ฉันว่าวิวของเมืองฮู่เฉิงใช้ได้เลยนะ อยากออกมาเดินเล่นด้วยกันไหม”
ริต้าไม่รู้ว่าตัวเองเดินเล่นอยู่ที่ไหน ทันใดนั้นก็ร้องเสียงตกใจ “ว้าว นี่น่ะเหรอย่านร้านอาหารที่เธอเคยบอก ดูท่าทางน่าอร่อย”
ขณะที่อิ๋งจื่อจินกำลังจะพูดเธอก็เหลือบมองที่ประตู อยู่ๆ ก็หรี่ตาลง
ไม่กี่วินาทีต่อมา ยังไม่ทันที่เธอจะตอบ ริต้าที่อยู่ปลายสายก็พูดขึ้น “ฮัลโหล สายหลุดเหรอ เน็ตเธอไม่ดีเหรอ”
“มีเรื่องนิดหน่อย รอก่อนนะ” อิ๋งจื่อจินตัดสายแล้วลุกขึ้น
ทันใดนั้นเสียงออดประตูก็ดังขึ้นในเวลานี้
อิ๋งจื่อจินกดที่จับประตูแล้วเปิดออก